สถิติปัจจุบันคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานมากถึงกว่า 5 ล้านราย แต่ว่าประเทศเรามีผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตาเพียงแค่ 1,400 รายเท่านั้น จึงทำให้การรักษาไม่เพียงพอต่อผู้ป่วย ซึ่งวันนี้ได้มีการจับมือร่วมตกลง เซนต์สัญญา MOU กันระหว่าง Google และ UN-ESCAP นำเทคโนโลยีระบบ AI ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยทำประโยชน์ให้กับสังคมในเอเชียแปซิฟิก และสำหรับประเทศไทย ตอนนี้ก็กำลังร่วมพัฒนากับโรงพยาบาลราชวิถีเรื่องการวิเคราะห์ตคัดกรองภาวะเบาหวานขึ้นตาให้ผู้ป่วยอยู่ค่ะ
ถ้าลองมองกันดีดีโครงการนี้เป็นที่น่าสนใจอย่างมาก ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย เพราะทุกประเทศในเอเชียแปซิฟิกก็มีการตื่นตัว และ เริ่มปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีที่กำลังค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว บางคนอาจจะยังไม่ตื่นตัว หรือ ยังไม่เข้าใจ อยากให้ลองมองย้อนกลับไปเมื่อ 5 – 10 ปีที่แล้ว เทคโนโลยีก็เข้ามาเปลี่ยนชีวิตพวกเราเช่นกัน ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ หรือ เรียกว่าแทบจะทุกเรื่องเลยก็ว่าได้
ลองมองจากกรณีของโทรศัพท์มือถือก็ได้ เมื่อสิบปีที่แล้วมาจนถึงตอนนี้ เทคโนโลยีได้นำพาความเปลี่ยนแปลงเข้ามาเยอะมาก ค่อยๆเปลี่ยน ค่อยๆพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เกิดโซเชียลมีเดีย การขายของออนไลน์ การติดต่อสื่อสารที่รวดเร็วมากขึ้น และพวกเราก็ค่อยๆซึมซับ และ ปรับตัวให้เข้ากับมันได้ จนถึงตอนนี้เทคโนโลยี AI ก็กำลังเข้ามาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้เช่นกันค่ะ
อย่างที่เกริ่นไว้ว่าสำหรับประเทศไทยทาง Google ได้สนใจการพัฒนาเรื่องการตรวจเบาหวานขึ้นตาของผู้ป่วย โดยเป็นการร่วมมือกับโรงพยาบราชวิถี ทั้งนี้เพราะบ้านเราเองมีฐานทรัพยากรทางข้อมูลอยู่เยอะมากเพียงพอให้ทางกูเกิ้ลนำไปต่อยอด ต้องบอกว่าจริงๆ แล้วทางรัฐบาล และ กระทรวงสาธารณะสุขเองก็มีเป้าหมายในการลดจำนวนผู้ป่วยที่เกิดอาการเบาหวานขึ้นตาจนถึงขั้นตาบอดจากโรคเบาหวานไว้ในแต่ละปีอยู่แล้วด้วย ประจวบเหมาะกับการที่กูเกิ้ลยื่นมือเข้ามาช่วยกันพัฒนาเรื่องนี้ให้กลายเป็นสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นได้ จากเทคโนโลยี และ ทรัพยากรที่มีอยู่
สำหรับระบบที่กำลังพัฒนาอยู่นี้จะทำงานโดยการถ่ายรูปจอตาเรตินาของผู้ป่วยโรคเบาหวาน แล้วจะใช้ระบบ AI มาวิเคราะห์ โดยเจ้า AI จะได้เรียนรู้ Deep Learning จากการที่กูเกิ้ลจ้างผู้เชี่ยวชาญทางดวงตามาวิเคราะห์ภาพเรตินาของผู้ป่วยกว่า 130,000 ภาพ และ วินิจฉัยอีก 880,000 ครั้ง เพื่อนำข้อมูลนั้นไปฝึกเพื่อเรียนรู้อัลกอริธึม มีการจัดเลเวลระดับความเสี่ยงในการเกิดอาการเบาหวานขึ้นตาทั้งหมด 5 ระดับ
ซึ่งจากการเรียนรู้ครั้งนี้ทำให้ AI สามารถทำงานได้รวดเร็ว และ แม่นยำมากถึง 90% มากกว่าผลจากการฝึกบุคคลากรที่มีความแม่นยำประมาณ 85% และ รวดเร็วกว่าประมาณ 70% แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อความแม่นยำ และ ประสิทธิภาพสูงสุง ต้องเกิดจากการทำงานร่วมกันของทั้งบุคคลากร และ AI ไม่ใช่การมาแทนของสิ่งใดหรือสิ่งหนึ่ง ทั้งสองอย่างยังคงต้องมีการทำงานร่วมกัน
จากผลเปอร์เซนต์ที่อ้างอิงด้านบน ต้องบอกว่านี่คือการศึกษา และ พัฒนาจากข้อมูลที่มีอยู่แล้วจากรูปเรตินาของผู้ที่เข้าร่วมทดลองโครงการ มีรูปเก็บอยู่ในคลัง ไม่ได้เกิดจากการวินิจฉัยแบบเรียลไทม์ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็อาจจะยังตอบไม่ได้ ว่าความแม่นยำ และ ประสิทธิภาพของหน้างานเมื่อตรวจจริงๆ จะเป็นอย่างไร โดยกระบวนการจะเป็นการอัพโหลดภาพเรตินาขึ้นไปในคลาวให้ AI ประมวลผลจากฐานข้อมูลทั้งหมดอีกครั้ง (ลืมแบบเดิมๆ ไปได้เลย ที่ต้องตรวจ หรือ เอ็กซเรย์แล้วเอาข้อมูลใส่ซีดีไปให้หมอวินิฉัย) ต้องรอดูกันว่าหากหลังจากนี้การพัฒนาที่เดินหน้าอยู่จะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง
เทคโนโลยีนอกจากจะล้ำสมัย รวดเร็ว เฉลียวฉลาดแล้ว เรื่องความปลอดภัย หรือ การถูกนำไปใช้อย่างผิดวิธีก็เป็นอีกเรื่องที่ทั้งกูเกิ้ล และ ประเทศต่างๆก็มีขอบเขตออกมารองรับตรงนี้เพื่อป้องกันไว้เช่นกัน อย่างเช่น พรบ. Sandbox หรือ กระบะทราย ที่เป็นการอนุญาติให้นำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ ในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อให้รู้ถึงผลกระทบที่เกิด หรือ กฏของทางกูเกิ้ลเองก็เช่นกัน ข้อมูลที่ได้มาจะไม่มีการระบุตัวตน จะไม่นำข้อมูลไปเผยแพร่ มีขอบเขต และ วัตถุประสงค์ เท่าไหน ทำอะไร ไม่ทำอะไร ไม่นำข้อมูลที่ได้ไปทำอย่างอื่น
ทาง Google Health เองก็ยินดีอย่างยิ่งสำหรับโครงการนี้ที่ร่วมกันกับโรงพยาบาลราชวิถี นำร่องการใช้เทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ป้องกันอาการเบาหวานขึ้นตา ไม่ให้เกิดการสูญเสีย หรือพยายามลดให้น้อยลง เพื่อประโยชน์กับสังคม ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ได้รับความร่วมมือจากทั้งทางกูเกิ้ล ทุนจากกูเกิ้ล ทางรัฐบาลไทย ผู้สนับสนุนเครื่องมือ ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ และ ฮีโร่อย่างคุณหมอ และ พยาบาลผู้เสียสละ เข้าร่วมโครงการนี้
นอกจากทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว หลายๆ ประเทศในเอเชียแปซิฟิกก็มีโครงการที่นำ AI มาใช้ เป็นที่นิยม และ น่าสนใจเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น หากใครสนใจ อยากจะเรียนรู้โครงการของประเทศอื่นๆ หรือ มีไอเดียที่อยากจะนำ AI มาต่อยอด ก็สามารถส่งไอเดียให้ทางกูเกิ้ลได้ที่นี่เลยค่ะ AI Google impact challenge
ดีงามครับ แต่ที่ยากมากคือคนที่ยังสายตาปกติมักไม่ให้ความสำคัญกับการตรวจคัดกรองเบาหวานขึ้นตาประจำปี
น่ายินดีที่ประเทศไทยได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยให้โลกนี้ให้ดีขึ้นครับ
แต่เรื่องความปลอดภัยก็สำคัญนะหวังว่าข้อมูลม่านตาจะไม่ถูกเก็บไปใช้ในทางอื่น
ทาง Google เองยืนยันว่าข้อมูลที่ได้จะไม่มีการระบุตัวตน ได้รับการยินยอมจากเจ้าของ และ จะไม่นำข้อมูลไปทำอย่างอื่นข้ามขอบเขตค่ะ ^^
ก็ไม่รู้จะมั่นใจคำยืนยันได้แค่ไหน เรื่องเก่าๆที่ข้อมูลหลุดก็บริษัทที่น่าเชื่อถือทั้งนั้น
ก็ดีนะครับ รพ รัฐ หมอรักษาเบาหวานสั่งให้พบหมอตา เพื่อตรวจเบาหวานขึ้นตา กว่าจะได้คิวตรวจ ต้องรอ 5 เดือน