[บทความนี้แอบมีสาระและยาวมาก]
และแล้วในที่สุด Google ก็เริ่มทำการแก้ปัญหาเรื่องของ Fragmentation ที่เป็นปัญหาสุดฮอตฮอตฮิตสำหรับผู้ใช้ Android สำหรับคนที่ไม่เข้าใจ Fragmentation นั้นมันก็คือความหลากหลาย(ที่มากเกินพอดี) ของทั้ง Hardware และ Software บนระบบปฏิบัติการนี้ที่เปิดให้ทุกคนทุกค่ายสามารถนำไปใช้ได้ ซึ่งถ้ามองในแง่ดีก็คือค่ายมือถือต่างๆไม่จำเป็นต้องมาลงทุนสร้าง OS ของตัวเองมากมาย มี Application เสริมรองรับการใช้งาน จะใช้อุปกรณ์ชิ้นใดๆก็ได้ตามแต่ที่ต้องการ จะทำการปรับแต่งซอร์สโค้ดเพิ่มความสามารถอะไรให้เข้าไปเองก็ทำได้เช่นกัน แต่ในทางกลับกัน การที่มีคนนำไปใช้ได้มากมายนี้ ก็ทำให้เกิดความหลากหลาย และเกิดปัญหาในการเขียนโปรแกรมให้รองรับอุปกรณ์และซอฟท์แวร์เหล่านี้ตามมาด้วยนั่นเอง
ปัญหาที่เด่นชัดที่สุดจาก Fragmentation ที่เราสามารถได้เห็นกันคือ
1. เรื่องการอัพเดทเฟิร์มแวร์ – เสียงบ่นและเรียกร้องจะออกมาแทบจะทันทีเมื่อมีการออกอัพเดทเฟิร์มแวร์ให้สู่ผู้ใช้ “จะได้อัพหรือเปล่า” “เมื่อไหร่จะได้ซักที” “ทำไมไม่ยอมอัพให้”
2. เรื่องการใช้งาน software – เฟิร์มแวร์เราต่ำกว่าที่ต้องการเล่นไม่ได้ หาโปรแกรมในมาร์เก็ตไม่เจอ แสดงผลผิดเพี้ยน ฯลฯ
3. ความสมบูรณ์ของ Rom ในแต่ละค่าย – ทำไมแอนดรอย์ค่ายนี้มันรีสตาร์ทบ่อยจัง เล่นแล้วหน่วงหรือกระตุกตลอดเวลา หนังดูได้บ้างไม่ได้บ้าง ฟีเจอร์ของค่ายนี้มีแต่อีกค่ายนึงไม่มี
ปัญหาเหล่านี้เป็นเพียงแค่ด้านผู้ใช้เท่านั้นไม่ได้รวมถึงฝั่งนักพัฒนา และปัญหาเหล่านี้ก็มีที่มาและที่ไป เดี๋ยวจะมาตอบให้อีกทีครับ กลับเข้ามาสู่ข่าวก่อน
ทาง Google เค้าก็ทราบถึงปัญหานี้ดี และก็รู้ว่าเป็นปัญหาที่คาราคาซังมานาน ซึ่งก็มีข้อจำกัดหลายๆอย่างที่ทำให้เค้ายังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ในที่สุดถ้าไม่ตัดสินใจทำอะไรเลยก็คงจะไม่ไหวแล้วจึงได้เริ่มออกนโยบาย “Anti-Fragmentation” ออกมาเพื่อควบคุมให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟ์ทแวร์ดำเนินการไปในทางเดียวกันมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งตอนนี้ก็ได้มีการเซ็นสัญญากันในส่วนนี้ไปเรียบร้อยกับเหล่าผู้ผลิต CPU ที่จะควบคุมให้การเรียกชุดคำสั่งเป็นไปในทางเดียวกันและง่ายต่อนักพัฒนามากขึ้น
แล้วดราม่ามันเกิดตรงไหน และปัญหามันคืออะไร
หลังจากที่มีข่าวนี้ออกมา ก็มีหลายๆสำนักข่าวออกมาตีรวนเรื่องของการให้ไลเซนส์ “non-fragmentation clauses” ซึ่งเข้าใจว่าเป็นอีกหนึ่งสัญญาที่เพิ่มขึ้นมาสำหรับเหล่าค่ายผู้ผลิตมือถือต่างๆ (ที่ต้องใช้คำว่าเข้าใจเพราะหาข้อมูลเพิ่มเติมไม่มีจริงๆ มีเพียงข่าวเดียวที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาคือทาง Bloomberg ที่ใช้คำกล่าวอ้างว่ามีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือบอกมาอีกที) ที่จะบีบให้แต่ละค่ายนั้นมีอิสระในการออกแบบและพัฒนา User Interface ของตนได้น้อยลงกว่าเดิม และยังต้องส่งโค้ดเข้าไปให้ทาง Google นั้นตรวจสอบก่อนอีกด้วย สร้างความไม่พอใจให้แก่ค่ายต่างๆมากมาย รวมถึง Facebook ที่มีข่าวลือว่าจะออกโทรศัพท์มาโดยใช้พื้นฐานจาก Android OS นั่นเอง และการกระทำเช่นนี้คนก็มองว่ามันขัดกับความที่บอกว่า Android เป็นระบบปฏิบัติการแบบเปิดหรือไม่ และดราม่าก็เริ่มต้นจากตรงนี้ ด่าสวดกันยกใหญ่ไปให้ทั่วกัน
มาลองวิเคราะห์เป็นข้อๆไปกันดูครับ
1. เรื่องแรกเลยคือเรื่อง non-fragmentation clauses มันมีความเป็นไปได้ขนาดไหน
– สิ่งแรกที่ผมอ่านเลยคือจริงเหรอ?? พยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมแล้วก็เจอแต่เรื่อง Anti-Fragmentation ที่ทำการเซ็นสัญญาไปแล้วกับทั้ง ARM, MIPS, Texus ซึ่งข่าวก่อนหน้านี้จาก digitime ก็เคยโจมตีว่าจะทำแค่เพียงกับ ARM เจ้าเดียวซึ่งก็ไม่ใช่ความจริงเพราะทาง MIPS ก็ได้ให้สัมภาษณ์แก้ให้แล้ว และถึงแม้ว่า non-fragmentation clauses นี้เป็นจริง Google มีการจำกัดในส่วนของการออกแบบ UI เองเมื่อไหร่ ก็มีโอกาสที่ค่ายมือถือต่างๆจะไม่อยากเอาด้วยกับทาง Google ต่อนักเนื่องจากจะไม่สามารถสร้างความแตกต่างของแต่ละแบรนด์ได้เลย และยังต้องมาทำราคาตบกันเองอีก ถ้ามีการจำกัดจริงน่าจะเป็นในเรื่องของการแก้ไขโค้ดระบบหลักเลยมากกว่า เช่น การพัฒนาฟีเจอร์บางตัวเพิ่มที่แม้แต่ Android แท้ๆมันยังไม่สามารถทำได้ (เช่นตัว text selection ที่เราเห็นบน Galaxy S ซึ่งทาง Samsung ทำออกมาให้ได้ใช้ตั้งแต่ Froyo และทาง Android เพิ่งมาเพิ่มให้ตอน Gingerbread) และที่ขัดใจเป็นพิเศษสำหรับข่าวนี้ ที่มันดูเลื่อนลอยพิกลหาข้อมูลเพิ่มเติมได้น้อยมาก แต่ละเว็บที่พยายามตีข่าวนี้ก็มีที่มาจาก Bloomberg เพียงเจ้าเดียวเท่านั้น ยังไงต้องคอยติดตามกันว่าสุดท้ายจะเป็นไปตามที่เค้าได้เขียนไว้หรือไม่ครับ
2. หากต้องการใช้ Google Services ต้องทำการส่งโค้ดให้ตรวจก่อน
– เรื่องนี้ก็ต้องดูที่รายละเอียดลึกๆว่าตรวจขนาดไหนอย่างไร เพราะมันก็มองได้สองด้านอยู่ อย่างด้านที่ไม่ดีบอกว่า Google ปิดกั้นเกินไปนั้นก็อาจจะใช่ แต่มันก็คือนโยบายในการใช้งานบริการของ Google ที่ต้องการควบคุมคุณภาพและประสบการณ์ใช้งานของ Android ที่ไม่ใช่ว่าโทรศัพท์กากๆที่ไหนก็สามารถนำเอา Google Services ไปใช้ได้ และมันก็เป็นสิทธิ์ของทาง Google ที่จะออกนโยบายนี้ ถ้าไม่อยากทำตามก็ไม่ต้องใช้ มีบริการอื่นๆให้เลือกอีกมากมาย และยังสามารถดึงซอร์สโค้ดของระบบปฏิบัติการไปใช้ได้เหมือนเดิม
3. Android จะไม่ใช่ OpenSource อีกต่อไป
– หลังจากที่เริ่มมีดราม่าเรื่องที่ AOSP ของ Honeycomb ยังไม่ได้ปล่อยออกมาให้ได้โหลดมาใช้งานกันซักที ทั้งๆที่เปิดตัวมาตั้งแต่เดือนมกราคมแล้วนั้น ทาง Andy Rubin ก็เคยได้ออกมาให้สัมภาษณ์แล้วว่า “มันยังไม่พร้อมที่จะปล่อยออกมาให้ได้ใช้กันเพราะมันยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งถึงแม้จะว่ามีการเอาไปขายแล้วก็จริง แต่บางส่วนเช่น การเอาไปใช้กับโทรศัพท์ก็ยังไม่การันตี กลัวว่าจะได้รับประสบการณ์อันเลวร้ายตอบกลับมา” อันนี้ก็น่าคิดว่ามีเหตุมีผลขนาดไหน ผมก็คงไม่กล้าที่จะไปฟันธงหรอกว่า Google จะไม่ทำการทรยศคนทั่วไป ถอด Android ออกจากการเป็น OpenSource หรือไม่ ก็ได้แต่ติดตามว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปมากกว่าว่า Google จะ “be Evil” อย่างที่หลายๆคนกลัวรึเปล่า แต่ถ้าคิดจะทำจริงก็จะเรียกว่าเป็นการกลืนน้ำลายครั้งใหญ่และเชื่อว่า Google จะเสียแฟนไปอีกหลายกลุ่มกันเลยทีเดียว
สรุปส่งท้าย ไม่ว่าเรื่องราวจะลงเอยอย่างไร แต่งานนี้ผมสนับสนุนให้ Google จัดการไปตามใจเถอะ ยังดีกว่าที่ปล่อยให้ปัญหา Fragmentation มันเกิดขึ้นไปเรื่อยๆและไม่ได้รับการแก้ไข ไม่ว่าจะเดินทางใดเข้าใจว่ายังไงก็โดนด่าอยู่ดี แต่ทางเลือกที่เค้าจะไปนั้นถูกหรือผิดผลลัพธ์มันก็จะออกมาให้ได้เห็นเองเร็วๆนี้
[ไร้สาระจาก April Fools Day มาเลยขอจัดหนักๆให้ได้อ่านกัน ถ้าเกิดว่าใครมีข้อมูลเพิ่มเติมส่วนใดหรือข้อโต้แย้ง ก็เชิญมาเม้นท์ข้างล่างกันได้เต็มที่เลยครับ]
sources:
Do Not Anger the Alpha Android by Bloomberg
Google Holds Honeycomb Tight by Bloomberg
MIPS Releases Statement on Google’s UI Crackdown by AndroidGuys
MIPS Q&A on Android Anti-fragmentation
images courtesy:
http://www.visionmobile.com/blog/2010/05/the-many-faces-of-android-fragmentation/
http://www.businessweek.com/magazine/content/11_15/b4223041200216.htm
..ยำยำ
ไว ไว
ทั้งสองอย่างคือบะหมี่สำเร็จรูป…
Ps. พูดแล้วหิวเลย เอิ้กๆ 😛
ไม่มีความรู้เรื่องนี้แหะ ๕๕๕
ในเรื่องของ Cpu + gpu คิดว่าควรจะมี Source Code ในส่วนของสเปคนั้นๆ แล้วหลังจากนั้นก็ปล่อยให้แต่ละยี่ห้อ หรือนักพัฒนาเอาไปพัฒนาต่อ
ถึงมันจะเหมือนเป็นสเปคตายๆสำหรับสเปคเครื่องแบบนั้น แต่มันก็สามารถอัพเดทได้
ผมก็แค่อยากให้นักพัฒนาสามารถนำไปพัฒนาสิ่งต่างๆต่อได้ แต่ผมก็อยากได้รับการอัพเดทเหมือนกัน
เฮ้ออ~
มา ม่า
FF
ชอบรูปประกอบรูปแรกมาก สื่อ fragment ได้เข้าใจง่ายดี
สำหรับเนื้อหาข่าวผมว่า Google(GG) ทำไม่ถูกในการที่จะให้แต่ละค่ายส่ง source code มาให้ GG ตรวจ เพราะเอกสิทธิ์ ความคิด ที่แต่ละบริษัทใช้ในการพัฒนารอม กลับถูก GG ล้วงลูกไปดูได้หมด
แทนที่จะบังคับให้เปิดเผย sourcecode GG ควรจะออก tool เพื่อใช้ในการตรวจสอบว่าผ่านตามมาตรฐานของ GG หรือไม่ และแจกจ่ายให้กับค่ายที่ต้องการใช้งาน GG service มากกว่า ถ้าผ่านจึงอนุญาติให้แปะตรา GG หลังเครื่องได้
จากนั้นก็ประกาศนโยบายไปเลยว่ามือถือที่ได้ตรา GG แปะอยู่หลังเครื่องจะเป็นมือถือที่มอบอรรถรสของ Android ให้คุณได้มากที่สุด แต่ละค่ายจะได้ใช้จุดนี้เป็นตัวแข่งขันและดึงยอดขายของตัวเอง ทำให้ทุกค่ายยังสามารถสร้างจุดต่าง และ GG ก็การันตีคุณภาพของ Android ได้อีกด้วย
ในส่วนของเรื่องส่ง source code มานั้น ผมยังหาข่าวยืนยันได้ไม่เจอเลยนะ มีเพียง Bloomberg เขียนข่าวมาให้อ่านเจ้าเดียวเท่านั้น
แต่ที่ชัวร์คือของ MIPS ที่ยืนยันว่ามีการทดสอบโดยใช้การรันผ่าน Compatibility Test Suite (CTS) ไม่ใช่ส่ง source code เข้าทดสอบครับ
เห็นด้วยว่ามันไม่เข้าท่าถ้าจะให้ส่งเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งจริงๆไม่น่าจะมีใครยอมซะด้วยซ้ำ…รออ่านข่าวครับว่ามีใครแถลงยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงรึเปล่าต่อไป
"non-fragmentation clauses" เป็นภาษากฎหมายซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะแปลว่า "ข้อตกลง" ครับ จะเป็นสัญญาขึ้นมาใหม่อีกฉบับหนึ่ง แยกออกจากสัญญาเดิม หรือ จะเป็นข้อตกลงข้อใดข้อหนึ่งที่อยู่ในสัญญาหลักก็ได้ ก็จะถือว่าเป็น Clauses เหมือนกันครับ เช่น Liability clauses (ข้อตกลงเรื่องความรับผิด) , Arbitration clauses (ข้อตกลงในการใช้อนุญาโตตุลาการ) เป็นต้นครับ 🙂
ของผมใช้ iphone 2G appใหม่ๆตอนนี้หลายตัวผมยังใช้ได้ลื่นเลย ไม่เหมือนน้อง driod ผมเลย เศร้าๆ หนับหนุนคับ
ขายได้ละtop 2G เน่าๆอะ
แอพใหม่ๆนี่อะไรบ้างครับ แล้้วรันบน OS อะไร
ผมว่าถ้าระดับ Hardware ชุดคำสั่งให้เหมาะกับ Android ก็โอเคนะ
เหอๆ อึ้งเลย
แต่ถ้า เป็นงั้นจริงๆ O_o
มันจะเหมือน ios กับ WM7 ไหมหนอ
มาลงชื่อว่าอ่านจบแล้ว
ปัญหาส่วนนี้ ผู้ใช้ก็รับไปเองอยู่แล้วนิครับ
จะมาจำกัดเสป็คทำไม
มีทุนมากก็ ได้เครื่องเสป็คดี รองรับ App ได้หลากหลาย
ถ้ามีทุนน้อย ได้เครืองเสป็คต่ำ ก็อดเล่น App ดีๆ กินเสป็คสูงๆ ไป
หรืออยากจะยกระดับ OS ให้เป็นไฮโซ เทียบเท่า OS อื่นๆ
Be evil ตั้งแต่ลอกโปรแกรมไปลงอยู่ใน OS แล้วล่ะมั้ง?
ปํญหาหลักที่ end user คือ resolution screen นะ ส่วนระดับ OEM ไม่ทราบได้ คงเยอะกว่านั้นอย่างที่เขียนในบทความ
สุดท้ายแล้วก็ต้องควบคุมประสพการณ์ กลับมาเป็นแบบที่เคยว่าแอปเปิลไว้ เป้าหมายต่อไปของการควบคุมประสพการณ์ผู้ใช้คงไม่พ้น Market (รออยู่่ กวาดล้างซักทีก็น่าจะดีมั้ง)
ผมว่าน่าจะจัดการกับเรื่อง UI บ้างนะครับ ขนาดมือถือเสป็คดีๆ อย่าง Liquid Metal ยังอืดเพราะ UI เลย
อันนั้น Acer เค้าทำอืดเอง . .
โดยส่วนตัว สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ส่งผลดีต่อทั้ง google,OEM,Developer ยันผู้ใช้งานเป็นแน่
ยิ่งอนาคตต่อไป รุ่นจะออกเยอะ อาจจะมีมือถือกากๆ โผล่มาทำเสียเพราะการแข่งด้านราคาก็ได้
สิ่งที่ผมต่อไปนี้ มือถือทุกเครื่องต้อง Pure Android คือแบบว่า Repo จาก Soure
มาลงได้เลย โดยต้องใช้งานขั้นพื้นฐานได้ และต่อไปก็มี Driver อุปกรณ์ต่างๆ
ซึ่งสุดท้ายมันคงจะกลายเป็นแบบ Windows ที่เราเอามาลงกันเอง Driver ก็เอาที่เว็บผู้ผลิต
พวก Home พวก App ของยี่ห้อต่างๆ ก็เหมือนโปรแกรมบันเดิลที่มา เหมือนกับ
Notebook ปัจจุบัน
ถ้าทำได้ตามนี้จะเลิศมากเลย ไหนๆ google ก็อยากให้มือถือทำได้อย่างที่ notebook
มันทำอยู่แล้วนี่
แอบเห็นด้วยแบบเบาๆ ครับ
ทำให้เป็น Pure Google ไปเลย จะได้ไม่ต้องมีปัญหาอะไรอีก แต่ขอ google อย่างเดียว อย่าทิ้งลูกค้าก็พอครับ
ถ้าเป็นอย่าง คุณ darkleonic ว่า เราก็จะได้เป้นอิสระจากการที่ผู้ผลิต ไม่ยอม อัพเดท firmware ได้ซักที
ได้อย่าง ก็ต้องเสียอย่างครับ ผมก็งงๆ
Fragmentation กับอิสรภาพมันไม่เคยอยู่ด้วยกันได้ในโลก Software
Google evil ไม่ได้อยู่แล้ว
รายได้หลักมาจาก ads – search engine
ถ้าคนไม่เชื่อมั่น ไม่ใว้ใจ ปริมาณ traffic ก็จะลดลง หน้าที่เขาก็เลยต้องทำทุกทางให้ ผู้ใช้งาน ศรัทธาต่อไป
ผมเข้าใจนะว่าผู้ผลิตต้องจำกัด Function หรือ การ upgrade ของ Google Phone ในแต่ละรุ่น เนื่องด้วยเรื่องของราคาเป็นหลัก เพื่อความหลากหลายในตลาด เป็น Google เหมือนแต่ใช้บางอย่างได้ไม่เหมือนกัน
แต่ก็นั่นล่ะ ทำให้มันเกิดปัญหาตามมาว่าทำไมรุ่นนี้ upgrade ได้ รุ่นนี้ไม upgrade ไม่ได้ แม้จะซื้อรุ่นแพงมาก็ตาม .. -_-!!
ผมว่า google ต้องทำระบบกลางให้เหมือนกัน โดยกำหนดจาก spec hardware เริ่มต้นก่อนว่าขั้นต่ำต้องการแค่ไหน แล้วรุ่นที่จะ upgrade ได้ในอนาคต คือ spec ไหน อาจต้องมี commitment กับผู้ผลิตโทรศัพท์ และแจ้งอย่างเป็นทางการกับผู้ซื้อด้วย จะได้ตัดปัญหาได้บ้าง
ไม่อยากให้เป็น apple ที่ทั้งโลกอยู่อยู่ spec หลักเดียวกัน (ต่างกันนิดเดียว) ใช้ทั่วโลก มา 4 รุ่นแล้วววว ไม่เอาาาาาา ..
เป็นสิ่งที่สมควรทำที่สุด เพราะรุ่นเก่าๆจะเหมือนรู้สึกถูกทิ้งเพราะค่ายมือถือจะอัพ ให้แค่ 2-3 รุ่น ให้รุ่นเก่ามองรุ่นใหม่ตาค้างซึ่งไม่เป็นผลดีกับ android แน่ๆ ในขณะที่ทาง ios สามารถอัพได้เรื่อยๆ ถ้า hardware มันไม่รองรับได้จริงๆถึงไม่ได้อัพ ซึ่งกรณีนี้ android ควรทำ os ให้เป็นตัวกลางมากที่สุด แบบที่เครื่องรุ่นเก่าถ้าค่ายมือถือไม่ทำ firmware ใหม่ให้ ก็ยังสามารถใช้ android พื้นฐานของ google เองได้
เห็นด้วยกับคุณ darkleonic ครับ
อย่างน้อยต้องมีมาตราฐาน pure Android ที่สามารถ Update ROM จากทาง Google ได้โดยตรง
ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานเป็นอิสระมากขึ้น
ขอบคุณสำหรับข่าวสารครับ
ต้องติดตามกันต่อไป
อ่านแล้วก็ยังงงๆมึนๆ แต่ก็เหมือนจะมีทั้งข้อดีที่มันจะทำให้มีมาตรฐานมากขึ้น และข้อเสียที่จำกัดเสรีภาพมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ผมไม่เห็นว่า Fragmentation จะส่งผลเสียอะไร เนื่องจากความที่มันเป็นโอเพนชอส
ค่ายมือถือที่นำไปพัฒนาต่อต้องรับความเสี่ยงในเรื่องนี้อยู่แล้ว เช่น milestone กว่าจะออก 2.2 ก็รอกันข้ามปี
ถามว่าคนโทษกูเกิลหรอ? ไม่นิเค้าก็ไปโทษ moto โน้น
ผมคิดว่ามันเป็นการถอยหลังลงคลองซะมากกว่า
อ่าว นี่ผมหน้าแตก สินะ แง่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ขอให้มันลง rom จาก google ver ใหม่ๆ ได้ตลอดก็จะแจ่มเป็ดมากละคร้าบบบ
1. ต้องลง ROM มาตรฐานของ Google ได้โดยไม่ Brick และใช้ H/W ได้ตามมาตรฐาน
2. ผู้ผลิตแต่ละค่าย จะทำ ROM ของตัวเอง เพื่อเปิด Features พิเศษของตัวเองก็ตามสะดวก
คอนเฟิร์มว่า honeycomb ยังไม่พร้อมจริงๆ มากๆด้วย
เรื่อง fragmentation ก็เริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ความละเอียดหน้าจอก็ยังเป็นปัญหาถึงทุกวันนี้ เอา app ไปเปิดบน honeycomb นี่เดี้ยงสนิท
กล้องหน้าก็เป็นอีกปัญหา แต่ละแบรนด์ทำกันเอง app อย่าง fring หรือ tango ก็เลยใช้กับเครื่องได้ไม่กี่รุ่น developer ต้องมาตามเช็คกันเอาเองว่ารุ่นไหนเรียกใช้กล้องหน้ายังไง
บางเจ้าอยากทำ app call/contact เองก็ทำ ฐานข้อมูลไม่ตรงกับมาตราฐาน พอ app อื่นมาเรียกแล้วใช้ไม่ได้ก็มี developer ไม่มีปัญญาไปหาเครื่องมาลองได้ทุกรุ่นหรอกครับ โดนด่าในคอมเมนต์ก็ต้องปล่อยไป
เรื่องพวกนี้เป็นความจริงที่เกิดขึ้น สนันสนุนให้กูเกิลแก้ปัญหา แม้จะโดนด่าว่าขัดกับหลักการที่เคยวางไว้บ้าง
เข้ามากด Like!
ผมว่าอันนีงชัดๆ เรื่อง fragment เช่น led flash แต่ละเจ้า ต้องลองไล่โหลด app ไฟฉายไปเรื่อยๆ เพราะแต่ละ app ใช้ไม่ได้กับทุกรุ่น ปัญหามาตกอยู่ที่ผู้ใช้อยู่ดี แล้วในอนาคตมี hardware ใหม่อีกไม่รู้เท่าไหร่ แต่ละเจ้าใช้คนละอย่าง ใช้วิธีเข้าถึงกันคนละอย่าง app ใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง dev ปวดหัว user ปวดตับ
ผมอยากให้ทำเหมือนการลงวินโดวส์ใน PC
ประมาณว่าฝังไดรเวอร์สำหรับอุปกรณ์ต่างๆ มาใน Android OS ด้วยเลย
ถ้าเป็นอุปกรณ์ใหม่ๆ ไม่มีไดรเวอร์ ก็ไปหาในเว็บของผู้ผลิตแล้วมาลงเองอะไรแบบนี้
ไม่ก็ให้เซิร์จหาในมาร์เก็ตได้ ลงเสร็จแล้วรีเครื่อง เล่นเกมฉลุย
คิดๆดูแล้ว มันก็น่าจะเป็นหนทางที่จะทำให้ลง Pure Google Android
ในมือถือรุ่นต่างๆได้แบบหลากหลายมากขึ้น เพราะฮาร์ดแวร์ที่ใช้ก็มีอยู่ไม่กี่รุ่นเอง
ซอฟท์แวร์ก็ให้ทาง Dev เขียนมาให้ปรับขนาดได้เองตามความละเอียดต่างๆ
ผู้ใช้จะได้มีทางเลือกได้อีก ว่าจะลงแอนดรอยด์เวอร์ชั่นล่าสุดแบบพื้นๆ จากกูเกิล
หรือแบบปรับแต่ง UI อะไรต่างๆ จากผู้ผลิต ซึ่งต้องใช้เวลารอซักหน่อย
อันนี้ผมมองแบบพื้นๆนะครับ ไม่ได้มองเชิงลึก ไม่รู้ว่าจะมีอะไรยุ่งยากกว่านั้นอีกหรือเปล่า
มันเป็นแนวทางในฝันครับ และที่ windows โบราณทั้งหลายช้าและแฮงบ่อยก็เพราะเรื่อง driver กับ kernel ที่ทำมาให้รองรับกับ hardware แทบทุกอย่างบนโลกเนี่ยแหละ
ปัจจุบันเครื่องคอมที่ใช้กัน แม้จะเป็น windows 7 64 bit ultimate ก็ยังดึงความสามารถจากเครื่องมาใช้ได้น้อยมาก เมื่อเทียบกับระบบฝังตัว
ส่วนในกรณีมือถือ การที่แต่ละเจ้าทำ ปรุง rom เพื่อสร้าง value added ในแง่ดีคือการแข่งขันกันเพื่อพัฒนาอย่างแท้จริง เพราะ จะเห็นได้ชัดว่า HTC ก็เริ่มต้องดิ้นรนเพิ่มขึ้นเมื่อมีคู่แข่งในด้านนี้ ส่วนมือถือถูกกว่าอย่าง A99 ก็ต้องทนใช้ rom ง่อยๆไป
กรณีที่จะให้ google ออกตัวมาตรฐานแนวเดียวกับ wp7 ผมว่าเจ๊ง เพราะถ้าใครได้ลอง rom จาก xda จะรู้ว่า stock rom เปลือยๆจาก google นั้นแย่แค่ไหนเมื่อเทียบกับ CM หรือ MIUI ซื่อเกิดจาก fragmentation นั้นเองที่ทำให้ google ไม่สามารถปรับแต่ง rom ขึ้นมาซักตัวให้ใช้ได้ดีกับมือถือทุกรุ่น ดังนั้นมันเลยใช้ได้ดีกับ nexus เพียงอย่างเดียว ที่ขำคือ rom nexus s ยังต้องปรับอีกเยอะด้วยซ้ำกว่าจะใช้ได้ดับ Nexus one ทั้งๆที่ google ก็ทำมาเอง
no fragmentation = ไม่ต้องมานั่งอัพเดท apps ทุกครั้งที่มีมือถือรุ่นใหม่ออก
ปล. เบื่อและเซ็ง เมื่อ data หมดไปกับการอัพเดท apps ทั้งๆที่จริงๆมันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
พูดได้โดนใจครับ
ฮา…. ผมมานั่งคิดๆดูแล้ว พบสิ่งแรกที่ทำคือการเข้า Market ไปดูว่ามี App อะไร Update บ้าง มันกลายเป็นงานหลักซะแล้วล่ะครับ ยิ่งกว่าการเช็คข่าวอะไรซะอีก
ปล. แต่ส่วนใหญ่จะใช้ Wifi
ต้องเอาเวอร์ชั่น 4.3.1 มาลงกะเครื่องพวก 2G -3G ได้ด้วยครับ จะได้เป็นมาตรฐาน
เหมือนเพื่อนผมพยายามจะเล่น อินฟินิตี้เบรด บน ไอฝน2G ทามปายได้ T_T
แง่ะ…..ผิดหมวดนิหว่ากำ………>,< งุงิ
ปล.ในเมื่อฮาร์ดแวร์มันไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแบบนี้ OS จะตามทันป่ะเนี่ย
ถ้าซื้อ ฮาร์ดแวร์ที่ว่าเจ๋งตอนนี้ อีก สองเดือนก็มี super extra special มาอีก
แล้ว OS มันจะทำเวอร์ชั่นไปข้างหน้าตาม
หรือมานั่งครุ่นคิดเพื่อรุ่นที่อยู่ข้างหลังอีกบานเบอะ ดีนะ??
ดีนะที่ผมเปลี่ยนมือถือบ่อย ไม่ค่อยซีเรียส มันไม่ได้ ก็เปลี่ยนแม่..มซะเรยมือถือ
ระหว่างที่ใช้รุ่นนี้ ก็เก็บเงินรอรุ่นใหม่ไปในตัว
ไม่ไปเตรดเตร่รัชดา สัก2-3 เดือนก็เหลือเก็บละคร้าบ เพ่น้องเอ๋ย..
Xilisoft PDF to PowerPoint Converter is a professional PDF conversion application for PDF (incl. Adobe Acrobat, Adobe Reader) and Microsoft® PowerPoint users. The PDF to PowerPoint Converter can load a batch of PDF files and convert them one by one to editable PPT slideshows with original tables, images, hyperlinks and layouts preserved so you can edit and modify the PDF contents while PDF files cannot make it. You can also specify the page range of PDF files that you want to convert. Only drag and drop your PDF files and it doesn't require Adobe Acrobat or Adobe Reader while converting PDF to PPT. Xilisoft PDF to PowerPoint Converter has high compatibility with Microsoft PowerPoint 2010, 2007 and 2003.
http://www.xilisoft.com/pdf-to-powerpoint-converter.html
อ่านแล้วก็รู้สึกว่าดีเหมือนกัน เพราะเพิ่งเคยลองใช้ android ตัวแรกก คือ 2X ก็รู้เลยว่า rom 2.2 จากศูนย์มันแย่แค่ไหน
แบตก็ไม่พอใช้ในแต่ละวัน (ต่อให้ไม่ต่อ wifi , เล่นเกมด้วย ลำพังจะใช้โทรคุยก็ไม่พอแล้ว)
ระบบ UI ที่สุดแสนจะห่วยแตก เครื่องแรงกว่า ไอโฟน 2-3 เท่า แต่กลับเล่นได้กระตุก และช้ากว่าไอโฟน 4-5 เท่า