Galaxy Buds+ หูฟัง True Wireless ที่เพิ่งเดินทางมาเปิดตัวและเคาะราคาอย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยเปิดราคามาที่ 4,990 บาท วันนี้เอง ผมก็ได้มีโอกาสลองสัมผัส และลองใช้งานเจ้าหูฟังไร้สายสุดเท่นี้แล้วครับ ส่วนจะเป็นยังไงบ้าง ฟังเพลงดีไหม และใช้คุยสนทนาจะโอเคหรือเปล่า? มาดูกันครับ

แกะกล่อง

ก่อนจะลองเล่น ก็ต้องแกะกล่องกันก่อนเป็นธรรมเนียมอยู่แล้ว โดย Galaxy Buds+ ที่ผมได้มา เป็นเครื่องสีขาวครับ ภายในกล่องจะมีคู่มือ, จุกยางให้เลือกขนาด S | M | L, สายชาร์จแบบ USB A to USB C และแน่นอน ตัวหูฟัง Galaxy Buds+ พระเอกของเรานั่นเอง

เมื่อวางหูฟังเข้ากับตัวเคส มันก็จะชาร์จแบตให้อัตโนมัติทันทีเลย โดยตัวหูฟังสามารถฟังต่อเนื่องได้นานสูงสุด 11 ชั่วโมง และชาร์จจากเคสได้อีก 11 ชั่วโมง รวมเป็น 22 ชั่วโมง หรือเกือบ 1 วันเต็มๆ

 

การเชื่อมต่อ

อันนี้หากใครใช้มือถือ Samsung Galaxy อยู่แล้ว ก็สบายเลย เพราะ Galaxy Buds+ เชื่อมต่อง่ายมากๆ เพียงแค่นำเจ้าหูฟังไปอยู่ใกล้ๆ โทรศัพท์ เท่านี้ก็จะมีหน้าแจ้งเตือน ขึ้นให้กดยอมรับการเชื่อมต่อ ซึ่งพอกดปุ๊บ ก็จะมีเมนูบอกสถานะยอดคงเหลือของแบตเตอรี่ของหูฟังแต่ละข้าง แต่ละเคสหูฟังครับ ว่าเหลือเท่าไหร่ กี่เปอร์เซนต์

แต่ถ้าใครไม่ได้ใช้ Samsung Galaxy ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเชื่อมต่อยาก หรือวุ่นวายอะไรนะ เพราะ Galaxy Buds+ สามารถเชื่อมต่อกับมือถืออื่นๆ ได้ตามปกติ เหมือนกับหูฟังบลูทูธทั่วไปเลย โดยเข้า Pairing Mode หรือโหมดเชื่อมต่อด้วยการแตะค้างไปที่ Touchpad ของหูฟังทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน จากนั้นก็ให้กดเชื่อมต่อจากมือถือได้เลย

ส่วนวิธีการสั่งงานต่างๆ จากตัวหูฟังก็มีมากมายหลายแบบ ทั้งเล่นเพลง, หยุดเพลง, เปลี่ยนเพลง, เรียกผู้ช่วย ฯลฯ ซึ่งเงื่อนไขในการกดก็มีตามนี้ครับ

  • แตะ 1 ที = เล่น | หยุดเพลง
  • แตะ 2 ที = เปลี่ยนเป็นเพลงถัดไป | รับสาย | วางสาย
  • แตะ 3 ที = ย้อนกลับไปเพลงที่แล้ว
  • แตะค้าง = เรียกผู้ช่วยอัจฉริยะ Google Assistant หรือ Bixby | เข้าโหมด Ambient Sound | กดปฏิเสธสายโทรศัพท์ | Mute ไมค์
  • กดค้าง = เข้า Pairing Mode สำหรับจับคู่กับอุปกรณ์

 

คุณภาพเสียง

ในเรื่องการฟังเพลง Galaxy Buds+ ถือว่าทำออกมาได้ดีตามมาตรฐานเลยครับ จากที่ลองฟังเพลงหลายๆ แนว ตั้งแต่แนว House, Pop, Rock หรือ Metal ก็พบว่าได้ยินเสียงเครื่องดนตรีชัดเจน มาครบ เบสค่อนข้างตึ้บ และเสียงนักร้องใส ชัดเจนกว่ารุ่นที่แล้ว เพราะ Buds+ เพิ่มลำโพงขึ้นมาเป็น 2 ตัวในหูฟังแต่ละข้าง (Bass + Treble) อันนี้ไม่รู้จะถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือยังไง แต่จากที่ลอง ผมว่า Galaxy Buds+ เป็นหูฟังไร้สายที่เสียงโอเคตัวนึงเลย ถ้าเทียบกับค่าตัว 4,990 บาท ของมัน

การเล่นเกม, ฟังเพลง, ดูหนัง หรือคุยสนทนา LINE, Facebook หรือโทรปกติ ผมว่าดีกว่า Galaxy Buds ตัวก่อนอยู่พอสมควร อันนี้ทดลองจากงานเปิดตัวที่มีคนอยู่เยอะในที่แคบๆ ด้วยนะ สัญญาณไม่ตีกัน ใช้ได้ดีเลยล่ะ แต่ที่ยังไม่ได้ลองแบบจริงๆ จังๆ ก็การใช้เล่นเกม ว่ามันมีช่วงเวลาหน่วงขนาดไหน เพราะส่วนมากหูฟังไร้สายรุ่นใหม่ๆ พอใช้ดูหนังและเล่นเกมทั่วไปได้แบบไม่ค่อยสังเกตอาการหน่วงนัก แต่จะเริ่มสังเกตได้เวลาเล่นเกมประเภทที่ต้องกดปุ่มให้ถูกต้องตามจังหวะเพลง เพราะอาการหน่วงแค่เสี้ยววินาทีจะทำให้เล่นยากมาก หรือเล่นไม่ได้ไปเลยนั่นเอง

 

การใช้งานสนทนา

Galaxy Buds+ พัฒนาขึ้นกว่าเดิมมากๆ จาก Galaxy Buds ตรงนี้อาจเพราะ Samsung ใส่ไมค์เพิ่มเข้ามาเป็นข้างละ 3 ตัว ทำให้การใช้งานสนทนาดีขึ้นเยอะพอสมควร จากที่ทดสอบใช้โทร LINE, Facebook หรือโทรแบบปกติ ก็พบว่า ปลายสายได้ยินเสียงของผมแบบชัดเจน แม้ว่าขณะที่โทรอยู่ ผมจะอยู่ในที่แออัด มีคนผ่านไปมาค่อนข้างเยอะ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องรอดูในรีวิวแบบเต็มๆ ว่า ใช้งานบนรถไฟฟ้า BTS หรือ MRT จะเวิร์คหรือเปล่า เพราะ Galaxy Buds รุ่นที่ผ่านมา ถือว่ายังสอบตกในจุดนี้อยู่

 

การตัดเสียง

แม้ว่า Galaxy Buds+ จะไม่ได้มาพร้อมกับฟีเจอร์ Active Noise Cancellation แต่การตัดเสียงรบกวนภายนอกของหูฟังรุ่นนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีพอสมควรเลยนะ เปิดเสียงเพลงดังประมาณ 60 – 70% ก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงข้างนอกแล้ว ทั้งนี้น่าจะมาจากการที่ Galaxy Buds+ เป็นหูฟังแบบ In-Ear ด้วย อย่างไรก็ดี ถ้าใครอยากได้ยินเสียงภายนอกด้วย ไม่ต้องคอยถอดหูฟังออกเวลาจะคุยกับคนอื่น, ใส่วิ่งออกกำลัง, ปั่นจักรยาน แล้วกลัวไม่ได้ยินเสียงรถรอบข้าง Galaxy Buds+ ก็ยังมากับฟีเจอร์ Ambient Sound ให้เปิดใช้ โดยสามารถไปตั้งค่าได้ที่แอป Wearable นะครับ

แบตเตอรี่

Galaxy Buds รุ่นก่อน สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องสูงสุด 6 ชั่วโมง ซึ่งตามมาตรฐานของหูฟัง True Wireless ถือว่าก็เยอะแล้ว ทว่า.. มารอบนี้ แบตเตอรี่ของ Galaxy Buds+ กลับอึดขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก ฟังต่อเนื่องได้นานสูงสุดอยู่ที่ 11 ชั่วโมงเลยทีเดียว ทั้งนี้น่าจะมาจากการที่ Galaxy Buds+ นั้น มาพร้อมกับความจุแบตเตอรี่ข้างละ 85 มิลลิแอมป์ ซึ่งถือว่ามากกว่ารุ่นก่อนอย่าง Galaxy Buds ที่มีแบตเพียงแค่ข้างละ 58 มิลลิแอมป์ อยู่เกือบๆ เท่าตัวเลยทีเดียว แต่จุดนี้ยังไม่ได้ทดสอบให้นะครับ เพราะมีเวลาได้ลองเล่นแค่ไม่นานเท่านั้น เอาไว้ในตัวรีวิวฉบับเต็มน่าจะทดลองได้มากกว่านี้

 

สรุป 

จากที่ลองเล่นประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็พบว่า Galaxy Buds+ ถือเป็นหูฟังไร้สายอีกหนึ่งรุ่นที่มีคุณภาพเสียงสมราคา และคุยสนทนาได้ดีกว่ารุ่นเดิมพอสมควร ใครที่กำลังมองหาหูฟังดีๆ สักอัน ที่ราคาไม่แพงแบบกระเป๋าฉีก ผมแนะนำเลยว่า Galaxy Buds+ ตอบโจทย์ เพราะฟังได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 11 ชั่วโมงด้วย ไม่ต้องคอยกังวลว่าแบตจะหมดตลอดเวลา เรียกได้ว่าในย่านราคาไม่เกิน 5 พันนี้ ผมว่า Galaxy Buds+ เป็นหูฟังที่คุ้มค่าคุ้มราคาตัวนึงเลยล่ะ