หลังจากที่ ASUS เปิดตัว ROG Ally รุ่นแรก ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดเครื่องเล่นเกมพกพาระบบ Windows ไม่น้อย แม้จะไม่ใช่ผู้บุกเบิกคนแรก เพราะก่อนหน้านั้นมี Steam Deck ออกมาก่อนแล้ว แต่ต้องยอมรับว่า “จุดประกายในไทย” จริง ๆ คือ ROG Ally รุ่นแรก ที่ทำให้หลายคนเริ่มสนใจเครื่องเล่นเกมพกพาบน Windows กันอย่างจริงจัง
แม้รุ่นแรกจะมีจุดอ่อนอยู่บ้าง แต่ ASUS ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะในรุ่น ROG Ally X ได้อัปเกรดและแก้ไขหลายจุดจนดีขึ้นชัดเจน ถึงอย่างนั้นก็ยังมีข้อจำกัดบางอย่าง โดยเฉพาะชิปประมวลผลที่เริ่มดูเก่าไปตามเวลา
จนมาถึงปีนี้ กับการเปิดตัว ROG Xbox Ally X เวอร์ชันอัปเกรดที่เรียกได้ว่ามา “ยกเครื่องใหม่ทั้งระบบ” พร้อมการจับมือกับ Xbox อย่างเป็นทางการครั้งแรก เพื่อผลักดันประสบการณ์การเล่นเกมพกพาให้ใกล้เคียงคอนโซลมากที่สุด และวันนี้เราได้มีโอกาสลองสัมผัสเครื่องจริงแบบสั้น ๆ มาดูกันว่ารุ่นนี้มีอะไรใหม่ และความรู้สึกแรกหลังได้ลองเล่นจะเป็นยังไงบ้าง

ดีไซน์จับถนัดมือขึ้นมาก ๆ
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงชัดที่สุดของ ROG Xbox Ally X คงหนีไม่พ้นเรื่อง “ดีไซน์” เพราะรอบนี้ ASUS ปรับทรงตัวเครื่องใหม่ โดยเฉพาะส่วน ด้ามจับ (Grip) ที่ถูกยืดให้ใหญ่และยาวขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ทำให้รูปทรงโดยรวมมีความใกล้เคียงกับ จอย Xbox Controller มากที่สุด ซึ่งเป็นจอยที่เกมเมอร์ทั่วโลกคุ้นเคยอยู่แล้ว

ผลลัพธ์คือจับถนัดขึ้นมากจากเดิมที่รุ่นแรกจะค่อนข้างแบนและ Grip บาง เวลาเล่นนาน ๆ จะเมื่อยมือจนรู้สึกเหมือนถือแท็บเล็ตอยู่ แต่ในรุ่นใหม่นี้ น้ำหนักและทรงที่ใหญ่ขึ้นช่วยให้จับมั่นคงและบาลานซ์มือมากกว่าเดิมอย่างชัดเจน

แน่นอนว่าการเพิ่มขนาดและวัสดุให้แน่นขึ้นก็มีผลกับน้ำหนักเช่นกัน โดย
- ROG Xbox Ally X หนัก 715 กรัม
- ROG Ally X หนัก 675 กรัม
- ROG Ally รุ่นแรก หนัก 608 กรัม

แม้ตัวเครื่องจะหนักขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับความสบายในการจับถือ ถือว่าเป็นการแลกที่ “รับได้” สำหรับคนที่เน้นเล่นนาน ๆ เพราะช่วยให้จับถนัดและมั่นคงกว่าเดิมมาก แต่ถ้าใครชอบเครื่องที่เบาและคล่องตัวรุ่นนี้อาจจะรู้สึกว่าขนาดและน้ำหนักเพิ่มขึ้นพอสมควร ต้องลองจับจริงก่อนตัดสินใจ

ผิวสัมผัสของตัวเครื่องมีความด้านประมาณหนึ่ง คล้ายรุ่นเดิม ช่วยให้จับถนัดมือและไม่ลื่นหลุดได้ง่าย แต่ถ้าเทียบกับจอย Xbox แท้ ๆ ยังถือว่าด้านน้อยกว่าเล็กน้อย ความพิเศษคือ ASUS เพิ่มดีเทลเล็ก ๆ ด้วยการ สกรีนคำว่า “ROG” และ “Xbox” ลงไปทั่วพื้นผิวเครื่อง ในบริเวณที่เป็นลวดลายขรุขระ เพิ่มความรู้สึกพรีเมียมและเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้กับรุ่นนี้ได้อย่างลงตัว

ส่วนตำแหน่งปุ่มและจอยยังคงจัดวางคล้ายเดิม มีหน้าจออยู่ตรงกลาง พร้อมปุ่มควบคุมซ้าย-ขวาใน Layout เดียวกับ Xbox Controller และที่ด้านหลังยังคงมีปุ่มพิเศษสองปุ่มที่สามารถตั้งค่าได้ผ่านซอฟต์แวร์ Armoury Crate SE

จุดที่เพิ่มเติมเข้ามาในรุ่นนี้คือ ปุ่ม Xbox ที่กดแล้วเข้าสู่ Xbox App ได้ทันที ช่วยให้ประสบการณ์ใช้งานเชื่อมโยงกับระบบ Xbox มากขึ้นอีกขั้น

ส่วนด้านบนของตัวเครื่อง ยังคงจัดวางพอร์ตไว้ครบเหมือนเดิม แต่รอบนี้อัปเกรดมาใช้พอร์ต USB 4.0 ความเร็วสูง 40 Gbps ที่รองรับการเชื่อมต่อกับ External GPU (eGPU) ได้โดยตรง รวมถึงยังมีพอร์ต USB 3.2 Gen 2 ความเร็ว 20 Gbps สำหรับต่ออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ เพิ่มเข้ามาด้วย

นอกจากนี้ยังมี ช่องหูฟัง 3.5 มม., ช่องอ่าน microSD Card (ที่แก้ปัญหาความร้อนสะสมจากรุ่นแรกเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ ROG Ally X), ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่ม Power พร้อมตัวสแกนลายนิ้วมือในตัว โดยบริเวณนี้ยังคงเป็นตำแหน่งของช่องระบายความร้อนหลักเช่นเดิม

Gamepad และ Controller
ในส่วนของคอนโทรลเลอร์ ยังคงใช้ Layout แบบเดียวกับ Xbox Controller ทุกประการ ทั้งตำแหน่งปุ่มและคันโยก ทำให้คนที่คุ้นกับจอย Xbox อยู่แล้วสามารถหยิบมาเล่นได้ทันทีโดยไม่ต้องปรับตัวมากนัก ความรู้สึกตอนกดปุ่มต่าง ๆ ก็ใกล้เคียงกับ Xbox Controller รุ่นล่าสุดอย่างมาก

ตัวคันโยกแอนะล็อกมีขนาดและน้ำหนักการต้านที่พอ ๆ กัน ส่วนปุ่ม D-Pad ให้สัมผัสที่แน่นขึ้น ไม่ก๊องแก๊งหรือยวบยาบเหมือนรุ่นแรก แต่ก็ยังไม่เฟิร์มเท่าจอย Xbox ตัวล่าสุด ทั้งนี้ ASUS ยังไม่ได้ระบุชัดเจนว่าปุ่มคันโยกเป็น Hall Effect หรือไม่
ด้านบนของตัวเครื่อง ปุ่ม LB / RB ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้กดได้ทั่วทั้งปุ่ม พร้อมพื้นผิวแบบลายกันลื่นช่วยให้สัมผัสแน่นขึ้น เวลากดจะมีเสียงดังชัดกว่าเล็กน้อย แต่จังหวะการตอบสนองใกล้เคียงกับ Xbox Controller รุ่นล่าสุดมาก

ขณะที่ปุ่ม LT / RT ถูกยืนยันแล้วว่าเป็นแบบ Hall Effect Trigger ให้ความรู้สึกกดสั้นกว่าเล็กน้อย แต่แรงต้านและน้ำหนักการกดยังอยู่ในระดับเดียวกับจอย Xbox ช่วยให้ควบคุมเกมแข่งรถหรือเกมที่ต้องใช้แรงกดแบบแปรผันได้แม่นยำขึ้น

นอกจากนี้ ยังมี Haptic Feedback เฉพาะที่ปุ่มไก คล้ายกับ Xbox Controller รุ่นใหม่ ทำให้รู้สึกถึงแรงสั่นตามจังหวะในเกมได้จริง เพียงแต่ความแรงของการสั่นจะอยู่ราว ๆ 50% เมื่อเทียบกับจอย Xbox ตัวเต็ม
ส่วนระบบมอเตอร์สั่นภายในตัวเครื่องก็มีมาให้เหมือนกัน แต่จากการลองเล่นรู้สึกว่าสั่นค่อนข้างเบา อาจเพราะขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่กว่าทำให้แรงสั่นกระจายไม่ทั่วถึงเท่าจอยขนาดมาตรฐาน

ลำโพงและอะแดปเตอร์
ลำโพงของ ROG Xbox Ally X ถูกวางไว้ด้านหน้าตัวเครื่องแบบยิงเสียงตรงเข้าหาผู้เล่นโดยตรง ให้เสียงดังชัดเจนมาก เรียกได้ว่าดังเกินคาด เสียงโดยรวมมีความคมและใสตามสไตล์ของ ASUS คุณภาพถือว่าอยู่ในระดับเดียวกับสมาร์ตโฟนเรือธงเลยก็ว่าได้
โทนเสียงจะเน้นความใสและความชัดเจนมากกว่าเบสแน่น ดังนั้นเสียงเบสอาจจะมีให้พอได้ยิน แต่ไม่ได้หนักแน่นมากนัก จุดที่น่าชมคือมิติเสียงแยกซ้ายขวาได้ชัด ทำให้เวลาเล่นเกมรู้ทิศทางเสียงได้ดีและเสียงดังมาก ถือเป็นลำโพงที่ให้คุณภาพเสียงดีเกินคาดสำหรับเครื่องเกมพกพา

ส่วนอะแดปเตอร์ที่ให้มาเป็นแบบ USB-C 65W ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งาน แต่คงต้องบอกว่าน่าเสียดายนิดหน่อย เพราะยังเป็นแบบเดิมที่ต้องต่อสายแยก ไม่ใช่แบบหัวชาร์จชิ้นเดียวเหมือนในซีรีส์ Zenbook หากใช้ดีไซน์แบบใหม่คล้ายที่ชาร์จมือถือ น่าจะสะดวกและพกพาง่ายกว่านี้มาก

หน้าจอสัมผัส ดีเหมือนเดิมเลย
ROG Xbox Ally X มาพร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ความละเอียด FHD (1920 x 1080) อัตราส่วน 16:9 พาเนล IPS แบบ Glossy ให้สีตรงตามมาตรฐาน sRGB 100% รองรับ Refresh Rate 120Hz และความสว่างสูงสุด 500 nits พร้อมเทคโนโลยี AMD FreeSync Premium ที่ช่วยลดอาการฉีกขาดของภาพระหว่างเล่นเกม
ภาพที่ได้ยังคมชัด สีสด และให้ความลื่นไหลดีมากเหมือนรุ่นก่อน เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในจอที่ดีใช้ได้เลย แต่ก็มีจุดที่น่าเสียดายเล็กน้อยตรงขอบจอบนล่างที่ยังคงหนาอยู่ ถ้าหาก ASUS ปรับอัตราส่วนจอเป็น 16:10 หรือขยายพื้นที่แสดงผลขึ้นอีกสักนิด น่าจะทำให้ภาพรวมดูเต็มตาและทันสมัยมากยิ่งขึ้น

Software
หนึ่งในหัวใจสำคัญที่ทำให้เครื่องเล่นเกมพกพาเป็น “เครื่องเล่นเกมจริง ๆ” ไม่ใช่แค่โน้ตบุ๊กทรงจอย ก็คือซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการเล่นเกม และ ROG Xbox Ally X ก็ยังคงทำได้ดีในจุดนี้ เพราะมาพร้อม Armoury Crate SE เวอร์ชันปรับแต่งพิเศษ ที่ออกแบบ UI ให้ใช้งานกับจอยได้สะดวกกว่าเดิม รองรับการปรับโหมดการทำงานของเครื่อง การควบคุมไฟ RGB ปุ่มคอนโทรลเลอร์ ทางลัดเข้าเกม รวมถึงอัปเดตซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้จากหน้าจอเดียว
ส่วน ปุ่มเมนูลัด ที่อยู่บนตัวเครื่องก็ยังคงใช้งานได้ดีเหมือนเคย กดเรียกขึ้นมาได้ทั้งการเปลี่ยนโหมดพลังงาน เปิดคีย์บอร์ดบนหน้าจอ ถ่ายภาพหน้าจอ หรือปรับระดับเสียงและความสว่างได้รวดเร็วโดยไม่ต้องออกจากเกม

อีกจุดที่รู้สึกชอบมากคือหน้าจอ OSD Monitor ที่สามารถดูข้อมูลการทำงานของเครื่องแบบเรียลไทม์ เช่น FPS อุณหภูมิ และการใช้พลังงาน ซึ่งรอบนี้ ASUS ปรับดีไซน์ให้ดูสะอาดตาและเข้าใจง่ายขึ้น แสดงเฉพาะข้อมูลที่ผู้เล่นควรรู้จริง ๆ
โดยรวมแล้ว ถือว่าเป็นซอฟต์แวร์ที่ออกแบบโดยคำนึงถึงการใช้งานของผู้เล่นเป็นหลัก ใช้งานง่าย เสถียร และให้ประสบการณ์ที่ครบที่สุดในบรรดาเครื่องเกมพกพา Windows ตอนนี้ นอกจากนี้ ASUS ยังเพิ่ม ปุ่ม Xbox ไว้ตรงกลางเครื่องเหมือนจอย Xbox Controller จริง ๆ ซึ่งสามารถกดเพื่อเรียก Xbox Overlay (Win + G) ได้ทันที เพิ่มความสะดวกระหว่างเล่นเกมได้มากทีเดียว

อีกส่วนที่โดดเด่นคือการร่วมมือกับ Xbox ที่ไม่ใช่แค่ด้านฮาร์ดแวร์หรือดีไซน์เท่านั้น แต่รวมถึงซอฟต์แวร์ด้วย โดยตัว Xbox App ที่ติดมากับเครื่องเป็นเวอร์ชันพิเศษ ออกแบบ UI ให้รวมคลังเกมทุกแพลตฟอร์มไว้ในที่เดียว ทั้ง Steam, Epic Games, และ Xbox เองก็สามารถเปิดเกมผ่านแอปนี้ได้ทั้งหมด ไม่จำกัดเฉพาะเกมของ Xbox เท่านั้น
ถ้าใครใช้ PC Game Pass อยู่ก็จะยิ่งสะดวก เพราะสามารถเข้าถึงและดาวน์โหลดเกมจากคลังได้โดยตรงผ่านแอปนี้ ฟังดูอาจคล้ายกับ Armoury Crate SE ในแง่การเป็นศูนย์รวมเกม แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับความชอบของผู้ใช้ว่าชอบอินเทอร์เฟซแบบไหนมากกว่า

ความพิเศษอีกอย่างคือ ROG Xbox Ally X ใช้ Windows เวอร์ชันพิเศษ ที่เรียกว่า Xbox Full Screen Experience ซึ่งปรับแต่งให้เหมาะกับการเล่นเกมโดยเฉพาะ ตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้ระบบดูสะอาดและเบาขึ้น รีดพลังของเครื่องได้เต็มที่โดยลดการทำงานของ Background Process ที่ไม่จำเป็นออกไป คล้ายกับ Windows เวอร์ชัน IoT หรือตัว Tiny ที่นักม็อดนิยมใช้กัน
แน่นอนว่าถ้าอยากกลับไปใช้ Windows Desktop แบบปกติ ก็สามารถสลับได้ แต่ระบบจะมีข้อความเตือนก่อนออกจากโหมดเกม และถ้าสลับกลับมาก็ยังทำได้ เพียงแต่อาจต้องรีสตาร์ทเครื่องเพื่อให้กลับมาทำงานเต็มประสิทธิภาพตามที่ผู้พัฒนาออกแบบไว้

จากที่ได้ลองใช้งานจริง แม้จะเป็นเฟิร์มแวร์เวอร์ชัน Beta แต่โดยรวมรู้สึกว่า UI ลื่นขึ้น และตอบสนองได้ไวกว่า Windows ปกติชัดเจน ส่วนประสิทธิภาพเฟรมเรตในเกมไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่ประสบการณ์ใช้งานทั่วไปดูดีขึ้นมาก ถือว่าเป็นแนวทางที่น่าสนใจของ ASUS ที่พยายามทำให้ Windows กลายเป็น “OS สำหรับเล่นเกมพกพา” ได้จริง
สเปกเครื่องที่ให้มา
ROG Xbox Ally X มาพร้อมชิป AMD Ryzen AI Z2 Extreme 8 คอร์ 16 เธรด ที่ออกแบบมาเพื่อเครื่องเกมพกพาโดยเฉพาะ มาพร้อมแรม LPDDR5X ขนาด 24GB (on board) ซึ่งไม่สามารถอัปเกรดเพิ่มได้ และใช้ SSD แบบ M.2 PCIe 4.0 ความจุ 1TB ขนาด 2280 ที่หาง่ายและสามารถเปลี่ยนเองได้ในภายหลัง
จากสเปกโดยรวมถือว่าเป็นหนึ่งในเครื่องพกพาที่ใช้ชิปประมวลผลสำหรับเล่นเกมที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็ว่าได้ ถึงแม้จะมีรุ่น Ryzen AI Max+ อยู่เหนือขึ้นไป แต่ในแง่สมดุลด้านพลังงานและประสิทธิภาพก็ยังจัดว่าลงตัวมาก หากถามว่ามาช้าไปไหม…ก็อาจจะ “นิดหน่อย” เพราะตามไทม์ไลน์ปลายปีนี้อาจมีชิปรุ่นใหม่เปิดตัว แต่ในช่วงเวลานี้ก็ยังถือว่าไม่สายเกินไป เพราะยังไม่มี Ryzen Z3 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ส่วนฝั่ง Intel อย่าง Core Ultra 300 Series ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีรุ่นที่มี iGPU แรง ๆ แต่กินไฟต่ำออกมาเมื่อไหร่

แรมขนาด 24GB อาจดูตัวเลขแปลกตา แต่ถ้าแบ่งออกเป็น 16GB สำหรับระบบหลัก และ 8GB สำหรับ GPU จะเห็นว่าการออกแบบนี้มีเหตุผล เพราะในรุ่นแรกที่มีแรมแค่ 16GB มักเจอปัญหาถูกเบียดทรัพยากรระหว่างระบบกับกราฟิก ทำให้เครื่องหน่วงหรือไม่สามารถปรับกราฟิกในเกมได้เต็มที่ รุ่นใหม่นี้จึงแก้ปัญหานั้นได้ดีขึ้น
สำหรับกราฟิกชิปเป็นแบบ RDNA 3.5 จำนวน 16 Compute Units ซึ่งถึงแม้ ASUS จะไม่ได้ระบุชื่อรุ่นชัดเจน แต่เมื่อเทียบสเปกแล้วจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับ Radeon 890M ให้พลังใกล้เคียง GeForce RTX 2050 ในโน้ตบุ๊กระดับเริ่มต้น

จุดที่น่าสนใจคือชิปนี้มีคำว่า AI ต่อท้าย หมายความว่ามาพร้อม NPU ความแรง 50 TOPS สำหรับงานประมวลผลด้าน AI เช่น การ Upscale ภาพหรือการจัดการระบบเบื้องหลังบางอย่าง ซึ่งถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของเครื่องเกมพกพายุคใหม่ที่เริ่มนำพลัง AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยไม่กินพลังงานมากนัก
ทดสอบการเล่นเกมเป็นไงบ้าง
ในการทดสอบครั้งนี้ใช้โหมด Turbo 35W พร้อมกำหนด VRAM 8GB และความละเอียดจอ Full HD (1920×1080) โดยไม่ได้ปรับแต่งเพิ่มเติม เพื่อให้เห็นประสิทธิภาพจริงจากการใช้งานเริ่มต้นของเครื่อง
- Cyberpunk 2077 (Steam Deck, FSR 3.0 : Balance, FSR Frame Generation)
- เสียบปลั๊ก ได้เฟรมเฉลี่ย 74.03 FPS
- ไม่เสียบปลั๊ก ได้เฟรมเฉลี่ย 69.46 FPS
- Xbox Mode เสียบปลั๊ก ได้เฟรมเฉลี่ย 71.49 FPS
- Xbox Mode ไม่เสียบปลั๊ก ได้เฟรมเฉลี่ย 70.37 FPS
- GTA V Enhanced (Maximum RT, FSR 3.0 : Balance, FSR Frame Generation)
- เสียบปลั๊ก ได้เฟรม 45-50 FPS
- ไม่เสียบปลั๊ก ได้เฟรม 35-45 FPS
- Xbox Mode เสียบปลั๊ก ได้เฟรม 45-50 FPS
- Xbox Mode ไม่เสียบปลั๊ก ได้เฟรม 40-47 FPS
- Forza Horizon 5 (Extreme, FSR 2.2: Quality)
- เสียบปลั๊ก ได้เฟรมเฉลี่ย 74 FPS
- ไม่เสียบปลั๊ก ได้เฟรมเฉลี่ย 69 FPS
- Xbox Mode เสียบปลั๊ก ได้เฟรมเฉลี่ย 76 FPS
- Xbox Mode ไม่เสียบปลั๊ก ได้เฟรมเฉลี่ย 71 FPS
- Zneless Zone Zero (High + Medium) ได้ไป 40-50 FPS

โดยรวมแล้วต้องบอกว่า ROG Xbox Ally X ทำผลงานได้อยู่ในระดับเริ่มต้นสำหรับการเล่นเกม AAA กล่าวคือ “เล่นได้” แต่ยังไม่ถึงขั้นลื่นหรือเปิดกราฟิกสูงสุดได้ทุกเกม หลายเกมจำเป็นต้องลดรายละเอียดกราฟิกลงมาระดับกลางหรือต่ำเพื่อให้เฟรมเรตคงที่ แต่ด้วยขนาดหน้าจอที่เล็ก การลดคุณภาพภาพลงไม่ได้ส่งผลมากนักต่อประสบการณ์โดยรวม ยังดูสวยและเล่นได้สนุกอยู่ดี เรียกได้ว่าเข้าใจขีดจำกัดของเครื่อง แล้วจะเพลิดเพลินได้มากขึ้น
แต่บางเกมอย่าง GTA V Enhanced แม้จะสามารถปรับกราฟิกสูงสุดได้ แต่ยังเจอบั๊กและอาการภาพขาด (Tearing / Ghosting) อยู่พอสมควร ซึ่งน่าจะมาจากการที่เกมยังไม่ Optimize กับ FSR 3 ได้เต็มที่ และตัวเครื่องเองก็อาจไม่แรงพอสำหรับการเปิด Ray Tracing เต็มรูปแบบ หลังจากลองปรับลดลงมาเป็น Very High ปิด FSR และ Ray Tracing พบว่าเฟรมเรตกลับเสถียรกว่า

เกมที่เล่นได้ฟินสุดคงต้องยกให้ Forza Horizon 5 ที่ให้ภาพสวย ลื่นตา และตอบสนองได้ดีมาก แม้ไม่ได้เปิดกราฟิกสุดทุกอย่าง แต่ก็เพียงพอให้ได้อารมณ์เหมือนเล่นบนเครื่องเกมใหญ่เลยทีเดียว
ส่วน Zenless Zone Zero ที่เป็นเกมออนไลน์ที่เน้นกราฟิกและแอคชัน ก็ทำได้ดีเช่นกัน แค่ลดการตั้งค่าบางอย่างลงนิดหน่อย ก็เล่นได้ลื่นไม่มีอาการเฟรมดรอปจนหงุดหงิดเหมือนบนมือถือ เรียกได้ว่าเล่นได้สนุกสบาย ๆ ทุกที่ทุกเวลา
หมายเหตุ : เฟิร์มแวร์ และไดร์เวอร์เป็นเวอร์ชันทดสอบ ไม่ใช่เวอร์ชันขายจริง
เฟิร์มแวร์จริงตัวเต็มมาวันที่ 16 ต.ค. 2025
ความร้อน
จากการทดสอบในห้องแอร์อุณหภูมิราว 26 องศาเซลเซียส ตัวเครื่องมีอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 80 องศา ถือว่าควบคุมความร้อนได้ดีมาก ไม่มีอาการ Thermal Throttling หรือแรงดรอปเพราะความร้อนให้เห็นเลย เฟรมเรตระหว่างเล่นเกมก็เสถียรตลอด
ลองเล่นในห้องอุณหภูมิปกติที่ไม่มีแอร์ ผลที่ได้ก็ยังทำได้ดีไม่ต่างกัน จุดที่น่าประทับใจคือความร้อนที่แผ่ออกมาบนบอดี้เครื่องจะมีเพียงบริเวณช่องระบายอากาศเท่านั้นที่รู้สึกร้อน ส่วนพื้นที่รอบอื่น ๆ แค่ “อุ่นเบา ๆ” เท่านั้น ซึ่งถือว่าพัฒนาได้ดีมากเมื่อเทียบกับรุ่นแรกที่จับแล้วแสบมือในบางจังหวะ

อย่างไรก็ตาม เสียงพัดลมยังค่อนข้างดังอยู่ โดยเฉพาะตอนเครื่องเร่งรอบเต็มในโหมด Turbo อาจจะได้ยินชัดเจนถ้าเล่นในห้องเงียบ ๆ แต่ถือเป็นการแลกกับการระบายความร้อนที่ทำได้ดีขึ้นมาก
แบตอึดเล่นได้ราว 2 ชั่วโมง++
แบตเตอรี่ที่ให้มามีขนาด 80Wh จัดว่าใหญ่ใช้ได้เลย เรียกได้ว่าใหญ่กว่าโน้ตบุ๊กบางรุ่นด้วยซ้ำ ถือเป็นหนึ่งในการอัปเกรดที่เห็นผลชัดเจนที่สุดของรุ่นนี้
จากการทดสอบเล่นเกมกราฟิกสูงแบบต่อเนื่องตลอดเวลา พบว่าใน 1 ชั่วโมง แบตเตอรี่ลดไปประมาณ 50% หากคำนวณคร่าว ๆ แล้ว จะเล่นได้ราว 2 ชั่วโมงขึ้นไปต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งถือว่าทำได้ดีมากเมื่อเทียบกับรุ่นแรกที่เล่นได้เพียงราว 1 ชั่วโมงเท่านั้น และยังให้ระยะเวลาการใช้งานใกล้เคียงกับ ROG Ally X รุ่นอัปเกรดก่อนหน้าอีกด้วย

สำหรับใครที่เล่นเกมแนวเบา ๆ หรือเกมที่ไม่กินกราฟิกมากนัก เช่น เกมอินดี้ เกม 2D หรือเกมจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ จะสามารถเล่นได้นานกว่านั้นอีกพอสมควร เรียกได้ว่าการเพิ่มความจุแบตเตอรี่รอบนี้ให้ผลลัพธ์จริง ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาษ ตัวเครื่องจัดการพลังงานได้ฉลาดขึ้นมาก
การชาร์จไฟ
ROG Xbox Ally X รองรับการชาร์จไฟสูงสุด 100W ทำให้สามารถดึงไฟได้เต็มที่ขณะชาร์จ ซึ่งเมื่อเทียบกับความจุแบตเตอรี่ขนาด 80Wh แล้ว ถือว่าเหมาะสมและช่วยให้ชาร์จได้เร็วขึ้นพอสมควร แต่ถ้าหากใช้หัวชาร์จ 65W ที่แถมมา อาจรู้สึกว่าการชาร์จช้าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับกำลังไฟสูงสุด
สิ่งที่ต้องชมคือ ไม่จำเป็นต้องใช้อะแดปเตอร์เฉพาะของ ASUS อีกต่อไป เพียงใช้อะแดปเตอร์ USB-C ที่จ่ายไฟได้ตั้งแต่ 65W ขึ้นไป ก็สามารถดันประสิทธิภาพสูงสุดได้เหมือนกัน ต่างจากรุ่นก่อนที่ต้องใช้หัวชาร์จเดิมเท่านั้นถึงจะปลดล็อกโหมดนี้ได้

จากการทดสอบพบว่า การใช้หัวชาร์จ 100W กับ 65W ให้ประสิทธิภาพโดยรวมใกล้เคียงกันมาก ความแรงไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จึงไม่จำเป็นต้องหาหัวชาร์จใหม่ให้ยุ่งยาก
อีกจุดที่น่าประทับใจคือ รุ่นนี้ไม่จำเป็นต้องเสียบปลั๊กตลอดเวลาเพื่อรักษาประสิทธิภาพสูงสุด เพราะสามารถเปิด โหมด Turbo 35W ได้แม้ขณะใช้แบตเตอรี่ ให้ความแรงใกล้เคียงกับตอนเสียบปลั๊ก ต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถือเป็นการพัฒนาใหญ่จากรุ่นก่อนที่เมื่อถอดปลั๊กแล้วประสิทธิภาพจะลดลงทันที

ราคาและการวางจำหน่ายในประเทศไทย
ASUS เปิดขายอย่างเป็นทางการจะเป็นวันที่ 17 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป มีทั้งหมด 2 รุ่นคือ
- ROG Xbox Ally (สีขาว) – 18,990 บาท
- ROG Xbox Ally X (สีดำ) – 29,990 บาท
สำหรับใครที่อยากลองจับเครื่องจริงก่อนตัดสินใจซื้อ สามารถไปทดลองได้ก่อนที่งาน Thailand Game Show 2025 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายในงานยังมีกิจกรรมพิเศษสุดอย่าง แจกเครื่อง ROG Xbox Ally (สีขาว) วันละหนึ่งเครื่องอีกด้วย
หรือถ้าไม่สะดวกไปงานก็สามารถแวะไปดูเครื่องจริงได้ที่ร้านค้าไอทีชั้นนำทั่วประเทศได้เลยของจะทะยอยเข้าหลังวันที่ 17 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป รายละเอียดเพิ่มเติม ASUS
Comment