ในที่สุด Huawei ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวมือถือซีรีส์เรือธงช่วงครึ่งปีหลังอย่าง Mate 40 Series กันซักที โดยคราวนี้ยังคงมาพร้อมกันหลายรุ่นอีกเช่นเคย ทั้งรุ่นธรรมดา Mate 40, รุ่นพี่ Mate 40 Pro, รุ่นพี่ใหญ่ Mate 40 Pro+ และรุ่นท็อปสุดๆ ที่ไปจับมือกับค่ายรถหรู Porsche ออกมาเป็น Mate 40 RS อีกเช่นเคย ซึ่งทั้งสเปคและฟีเจอร์ต่างๆ ยังคงจัดมาให้เต็มเหนี่ยวไม่เสียชื่อ Huawei แน่นอน…ว่าแล้วก็มาดูกันครับ ว่าคราวนี้จะมีอะไรมาให้เราได้ตื่นตาตื่นใจกันอีก
ดีไซน์เครื่อง
Huawei Mate 40 Series ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมด้วยการใช้ดีไซน์เครื่องแบบ The Iconic Symmetry หรือดีไซน์แบบสมมาตร ด้วยโมดูลกล้องแบบวงกลมที่มีชื่อว่า Space Ring Design สำหรับวางกล้องทั้งหมดเอาไว้บนวงกลมรอบนอก
หน้าจอ
Mate 40 Pro และ Mate 40 Pro+ ใช้หน้าจอแบบขอบโค้ง 88 องศา ทั้ง 2 ฝั่ง เพิ่มความหรูหรา และพรีเมี่ยมให้กับตัวเครื่องมากขึ้นไปอีก แต่คราวนี้ไม่ต้องกลัวว่าการใช้งานกับจอขอบโค้งแบบนี้แล้วอุ้งมือจะไปโดนขอบจอให้ทัชลั่น เพราะ Huawei ได้พัฒนาซอฟต์แวร์ออกมาเพื่อป้องกันเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วนั่นเอง
ส่วนขอบจอที่โค้งลงมาก็ไม่ได้ทำไว้เท่ๆ เท่านั้น แต่เราสามารถใช้นิ้วไถที่บริเวณนั้นเพื่อปรับระดับเสียงแทนการใช้ปุ่มจริงๆ ได้ ซึ่งใช้ได้ทั้งมือซ้าย และมือขวา
Huawei Mate 40 ทุกรุ่นมีรีเฟรชเรทหน้าจอที่ 90Hz ซึ่งให้ความลื่นไหล และสมูทของภาพเคลื่อนไหวที่แสดงผลบนหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม หรือการไถหน้าจอไปมา โดย Huawei บอกว่าจริงๆ แล้วจะใส่รีเฟรชเรท 120Hz มาก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่เพื่อการใช้งานได้อย่างยาวนานต่อการชาร์จแบต 1 ครั้ง รีเฟรชเรทแค่ 90Hz จะเหมาะที่สุด
หน้าจอของ Huawei Mate 40 Series ใช้พาเนลแบบ Flex OLED ที่รองรับการแสดงผล DCI-P3 HDR โดยรุ่น Mate 40 มีขนาดอยู่ที่ 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2376 x 1080 ส่วน Mate 40 Pro และ Mate 40 Pro+ จะมีขนาดใหญ่ขึ้นมาเป็น 6.76 นิ้ว ความละเอียด 2772 x 1344
ลำโพงคู่ Super Bass Stereo
Mate 40 Series ทุกรุ่นมากับลำโพงคู่สเตอรีโอพร้อมระบบ Super Bass Stereo เพิ่มความตึ้บ และความแน่นของเสียง Bass มากกว่าปกติถึง 150% ทำให้การฟังเพลง ดูหนัง หรือเล่นเกมไม่ต้องพึ่งพาลำโพงบลูทูธอีกต่อไป
มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น
Huawei Mate 40 Pro และ Pro+ ได้รับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 ซึ่งสามารถลงน้ำจืดได้ลึก 1.5 เมตร เป็นเวลา 30 นาที ส่วนรุ่นน้อง Mate 40 ได้รับมาตรฐานที่ลดลงมาเป็น IP53 ซึ่งการใช้งานตามปกติ แทบจะไม่ต้องกังวลเลยว่าฝนจะตก ลมจะแรงฝุ่นตลบ หรือทำตกแอ่งน้ำ เพราะว่าไม่มีปัญหากับมือถือซีรีส์นี้แน่นอน
ระบบปลดล็อคเครื่องด้วยนิ้วมือ และสแกนใบหน้า 3D
Mate 40 ทุกรุ่น มากับเซ็นเซอร์สแกนนิ้วมือใต้หน้าจอ แต่สำหรับรุ่นพี่ Mate 40 Pro และ Mate 40 Pro+ จะมีลูกเล่นที่สูงกว่าด้วยกล้องเซลฟี่คู่ที่สามารถสแกนใบหน้าแบบ 3D สำหรับปลดล็อคเครื่องได้ด้วยความแม่นยำ และปลอดภัยกว่า
สีตัวเครื่อง
Huawei Mate 40 Series มีสีสันให้เลือกมากมายหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นสีเงิน Mystic Silver ที่ไม่ใช่แค่สีเงินธรรมดาๆ แต่มันจะเปลี่ยนสีได้ตามแสงที่ตกกระทบ, สีดำ Classic Black, สีขาว Classic White, วัสดุแบบ Vegan Leather สีเหลือง กับสีเขียว
Mate 40 Pro+ ใช้วัสดุ Nano-Tech Ceramic ที่มีความเงางามและวิ้งวับเหมือนเพชรพลอย แถมยังมีความแข็งแกร่งระดับพลอย Sapphire อีกด้วย โดยรุ่นนี้มีให้เลือก 2 สี 8nv Ceramic White และ Ceramic Black
ชิป Kirin 9000
ชิปไฮเอนด์รุ่นล่าสุดของ Huawei อย่าง Kirin 9000 ที่อยู่ในมือถือ Huawei Mate 40 Pro และ Pro+ ผลิตบนสถาปัตยกรรมขนาด 5nm ที่มี Transistor มากถึง 15.3 พันล้านตัว มากกว่าที่มีในชิป A14 ของ Apple ถึง 30% โดย Huawei เคลมว่าชิปรุ่นนี้ทรงพลังกว่า Snapdragon 865+ ถึง 10%
ส่วน GPU Mali-G78 ที่ใช้ในการประมวลผลกราฟิก ก็ทรงพลังกว่า GPU ที่ใช้กับ Snapdragon 865+ ถึง 52% และระบบประมวลผล AI หรือ NPU ก็ทรงพลังไม่แพ้กัน เพราะสูงกว่า Snapdragon 865+ ถึง 2.4 เท่า ซึ่งแน่นอนว่าการใช้พลังงานต่างๆ ก็มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมเช่นกัน
แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ
Mate 40 Series มีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้อย่างยาวนานต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง โดย Mate 40 Pro ให้แบตเตอรี่มาที่ขนาด 4400 mAh บวกกับการทำงานของชิป Kirin 9000 ที่ประหยัดพลังงานกว่าเดิม ทำให้สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานถึง 9.7 ชั่วโมง
นอกจากนี้ยังมีระบบชาร์จไวสุดๆ โดย Mate 40 Pro และ Pro+ รองรับการชาร์จแบบมีสาย Huawei Wired SuperCharge สูงสุดถึง 66W
ส่วนการชาร์จแบบไร้สาย Huawei Wireless SuperCharge สำหรับ Mate 40 Pro และ Pro+ ทำได้สูงสุดถึง 50W
กล้องหลัง LEICA ที่มากับฟีเจอร์เพียบ
Huawei Mate 40 มีกล้องหลังทั้งหมด 3 ตัว ประกอบด้วย
- กล้องหลัก Ultra Vision 50MP (f/1.9), เซ็นเซอร์ขนาด 1/1.28 นิ้ว, RYYB, ทางยาวโฟกัส 23มม.
- กล้อง Ultra Wide 16MP (f/2.2), ทางยาวโฟกัส 17 มม.
- กล้อง Telephoto 3x Optical 8MP (f/2.4), OIS, ทางยาวโฟกัส 85 มม.
- Laser Sensor
Huawei Mate 40 Pro ก็มีทั้งหมด 3 ตัว เช่นกัน ประกอบด้วย
- กล้องหลัก Ultra Vision 50MP (f/1.9), เซ็นเซอร์ขนาด 1/1.28 นิ้ว, RYYB
- กล้อง Ultra Wide Cine 20MP (f/1.8), ทางยาวโฟกัส 18 มม.
- กล้อง Telephoto 5x แบบ Periscope 12MP (f/3.4), OIS, ทางยาวโฟกัส 125 มม.
- Laser Sensor
ส่วนรุ่นพี่อย่าง Huawei Mate 40 Pro+ จะเหนือกว่ารุ่นน้องด้วยกล้อง 4 ตัว ประกอบด้วย
- กล้องหลัก Ultra Vision 50MP (f/1.9), เซ็นเซอร์ขนาด 1/1.28 นิ้ว, RYYB, OIS, ทางยาวโฟกัส 23 มม.
- กล้อง Ultra Wide Cine 20MP (f/2.4), เลนส์แบบ Free-form, ทางยาวโฟกัส 14 มม.
- กล้อง SuperZoom 10x แบบ Periscope 8MP (f/4.4), OIS, ทางยาวโฟกัส 240 มม.
- กล้อง Telephoto 3x 12MP, (f/2.4), OIS, ทางยาวโฟกัส 70 มม.
- เซ็นเซอร์ 3 มิติ ToF
กล้อง SuperZoom สูงสุด 10x Optical
ฟีเจอร์ SuperZoom 10x ของ Mate 40 Pro+ ให้ความคมชัดสูง และยังสามารถเก็บรายละเอียดได้ครบถ้วน หากนำไปเทียบกับมือถือรุ่นอื่นๆ
กล้อง Ultra-Wide ที่มีพิกเซลขนาดใหญ่
กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 20MP ของ Mate 40 Pro และ Mate 40 Pro+ มีพิกเซลขนาดใหญ่ถึง 1.6 ไมครอน ทำให้ภาพที่ออกมามีความคมชัดและสว่างกว่า เมื่อถ่ายในสภาวะแสงน้อย และถ้าหากถ่ายในสภาพแสงปกติ ภาพที่ได้จะยิ่งสวยงามสว่างไสว และสีสันที่เป็นธรรมชาติ
Huawei Mate 40 Pro+ ยังใช้เลนส์แบบ Free-form ที่สามารถลดความบิดเบี้ยวของภาพที่เกิดจากเลนส์ Ultra wide ได้แบบเนียนๆ
นั่นรวมไปถึงการถ่ายภาพบุคคล ซึ่งมือถือรุ่นอื่นๆ มักจะมีปัญหาคนที่อยู่ขอบๆ แล้วหน้าเบี้ยว แต่สำหรับ Mate 40 Pro+ ที่ใช้เลนส์ Free-form มั่นใจได้เลยว่าจะอยู่มุมไหน หน้าก็จะออกมาเป็นปกติแน่นอน
กล้องเซลฟี่ที่กว้างกว่า และฉลาดกว่า
กล้องเซลฟี่ความละเอียด 13MP ของ Mate 40 Pro และ Mate 40 Pro+ ก็มีพิกเซลที่ใหญ่ไม่แพ้กันที่ 1.22 ไมครอน ทำให้การถ่ายเซลฟี่สามารถเก็บภาพได้ในมุมที่ทั้งกว้าง และชัดเจน เก็บรายละเอียดได้แบบครบๆ แถมยังฉลาดกว่า เมื่อมีการตรวจพบว่ามีบุคคลเพิ่มมาในเฟรม ก็จะขยายมุมมองให้กว้างออกไปอีก
ถ่ายวิดีโอระดับโปรด้วย Cine Camera
กล้อง Ultra Wide และกล้องเซลฟี่ของ Mate 40 Pro และ Pro+ เป็นกล้องแบบ Cine Camera ที่สามารถถ่ายวิดีโอได้ในอัตราส่วน 3:2 ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกันกับที่ใช้ในการถ่ายภาพยนตร์
ถ่ายวิดีโอย้อนแสงได้อย่างชัดเจนด้วย XD Fusion HDR Engine
และยังมีระบบ XD Fusion HDR Engine ที่ช่วยให้การถ่ายวิดีโอ 4K แบบ HDR ออกมาสว่างไสว และได้รายละเอียดชัดเจนแม้จะถ่ายย้อนแสง
โฟกัสวัตถุอัตโนมัติด้วยฟีเจอร์ AI Tracking Mode
อยู่คนเดียวก็ตั้งกล้องถ่ายวิดีโอชัดๆ ได้ด้วย AI Tracking Mode ที่จะใช้ระบบ AI ช่วยในการจับโฟกัสของวัตถุได้อย่างแม่นยำ แม้จะเคลื่อนที่ไปมาภายในเฟรม
สุดนิ่งด้วยระบบกันสั่น Super Steady Shot
ส่วนระบบกันสั่นก็หายห่วงด้วย Super Steady Shot ที่นิ่งสุดๆ แบบไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริม Stabilizer เลย
ถ่ายวิดีโอ Slow Motion พร้อมกันได้ทั้งกล้องหน้า-หลัง
เพิ่มลูกเล่นให้กับการถ่ายวิดีโอสุดเจ๋งด้วยฟีเจอร์ Dual Ultra Slow Motion ที่ทำให้ Mate 40 Pro และ Pro+ สามารถถ่ายภาพ Slow Motion ที่ระดับ 240fps ได้พร้อมกันจากกล้องทั้ง 2 ตัว แถมยังถ่ายได้ที่ความยาวไม่จำกัดอีกต่างหาก
Huawei Mate 40 RS
ปีนี้ทาง Huawei ก็ยังคงจับมือกับค่ายรถ Porsche เพื่อผลิตมือถือเวอร์ชั่นสุดพิเศษ Mate 40 RS ออกมาอีกเช่นเคย ด้วยดีไซน์สุดหรูที่ได้แรงบันดาลใจจากรถซิ่ง มีให้เลือกทั้งหมด 2 สี คือ Ceramic White และ Ceramic Black
กล้องหลังของ Mate 40 RS ยังล้ำกว่ารุ่นอื่นๆ ประกอบด้วยกล้องหลัก Super Sensing Wide 50MP + กล้อง Telephoto 3x 12MP + กล้อง Ultra Wide Cine 20MP + กล้อง Telephoto Periscope 10x 8MP + เซ็นเซอร์ 3D ToF + เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิสี
นอกจากนี้ยังมีเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิด้วยอินฟราเรด ที่ใช้วัดอุณหภูมิได้ตั้งแต่ -20°C ถึง 100°C ซึ่งเหมาะสุดๆ ไปเลยสำหรับช่วงที่ COVID-19 ระบาดอยู่ในขณะนี้
ราคา
สำหรับราคาของ Huawei Mate 40 Series ทั้ง 4 รุ่น ก็มีตามนี้ครับ (ราคามือถือในโซนยุโรปจะมีภาษีแพงกว่าบ้านเราประมาณ 20-30%)
- Huawei Mate 40 (8GB/128GB) : ราคา 899 ยูโร หรือประมาณ 33,300 บาท
- Huawei Mate 40 Pro (8GB/256GB) : ราคา 1199 ยูโร หรือประมาณ 44,400 บาท
- Huawei Mate 40 Pro+ (12GB/256GB) : ราคา 1399 ยูโร หรือประมาณ 51,800 บาท
- Huawei Mate 40 RS (12GB/512GB) : ราคา 2295 ยูโร หรือประมาณ 85,000 บาท
ในตอนนี้ Huawei ยังไม่ได้ระบุถึงกำหนดการวางจำหน่ายของมือถือ Mate 40 Series เอาไว้ ว่าจะเป็นช่วงไหน ก็ต้องรอติดตามข้อมูลกันอีกรอบนึง แล้วเราจะรีบมาอัปเดตให้ทันทีครับ
ซื้อแล้วต้องมาตามลง APK คงเหลือคนเล่นไม่กี่คน จริง ๆ ยอมตัดใจทำมือถือที่ไม่มี GMS แล้วขายจาก 3 หมื่นกว่า เหลือหมื่นกลาง ๆ ไปเลย น่าจะตีตลาดได้เยอะเลยนะครับ
ราคาพารวยหรือไง ทำไมแพงจังซี้
ไม่มี GMS นี่ ต่อให้ลด 50% นี่ยังคิดหนักเลยย
ราคานี้ ไม่มี GMS เหมือนซื้อมาทำได้แค่ถ่ายรูป ผมจัด sony mirrorless เลยดีกว่า