ช่วงนี้เราเริ่มได้ยินคำว่า 5G กันมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าเครือข่ายและผู้ผลิตมือถือทั่วโลกก็เริ่มออกมาเคลมว่าตัวเองรองรับ 5G กัน แต่หลายๆคนก็อาจจะงงว่า 5G แล้วยังไงเหรอ มันก็แค่เน็ตเร็วขึ้นกว่าเดิมรึเปล่า ตอนนี้ก็สามารถเล่นเฟสดูยูทูปได้ก็พอแล้วนี่นาจะเอาอะไรมากกว่านี้อีก วันนี้เดี๋ยวผมจะเอามาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมกันครับ ว่า 5G วันนี้อาจจะฟังดูไกลตัว แต่มันกลับใกล้ชีวิตเรามากกว่าที่คิดเลยล่ะครับ
5G คืออะไร?
5G ที่เราเรียกๆกันอยู่นี่ มันย่อมาจาก เจนเนอเรชั่นที่ 5 ของการสื่อสารด้วยโทรศัพท์มือถือ (5th Generation of Cellular Mobile Communications) ซึ่งปัจจุบันได้มีข้อกำหนดออกมาเกือบสมบูรณ์แล้วและเตรียมจะประกาศใช้ในช่วงปี 2020 ที่จะถึงนี้ ปัจจุบันเราจะได้เห็นการเตรียมพร้อมของแต่ละเครือข่ายทั่วโลกพัฒนาตนเองให้รองรับการมาของ 5G ตั้งแต่ปีหน้ากันแล้ว โดยคุณสมบัติของเครือข่ายที่จะเรียกตัวเองว่า 5G ได้นั้นจะมีดังนี้
- ความเร็วสูงสุด 10Gbps
- Latency ระยะเวลาการเชื่อมต่อไปยังปลายทาง น้อยกว่า 0.001 วินาที
- มีความเสถียรใช้งานได้ 99.9999%
- ครอบคลุมพื้นที่ 100%
- มี Bandwidth เพิ่มขึ้น 1000 เท่าในแต่ละพื้นที่
- รองรับการเชื่อมต่อจากอุปกรณ์ เพิ่มขึ้น 100 เท่า ในแต่ละพื้นที่
- ใช้พลังงานในการเชื่อมต่อน้อยลง 90%
- อุปกรณ์ IoT พลังงานต่ำเมื่อเชื่อมต่อแบตจะมีอายุการใช้งานได้ถึง 10 ปี
แต่ละ Generation มีการพัฒนาอย่างไรบ้าง
- 1G การคุยกันด้วยเสียง
- 2G รองรับการส่งข้อความหากัน
- 3G เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วไป
- 4G ดูภาพและเสียงได้
- 5G การเชื่อมต่อสิ่งของทุกสรรพสิ่ง
ความเปลี่ยนแปลงจาก 4G → 5G
เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นเดี๋ยวมาดูกันเพิ่มเติมว่าเมื่อเทียบกับ 4G แล้ว 5G มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
- Latency การตอบสนองที่ไว้ขึ้น สามารถสั่งงานควบคุมสิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว หรือเรียกว่าแทบจะทันที จากตอน 4G ถ้าตามทฤษฎีจะอยู่ที่ 10ms ซึ่งเมื่อใช้งานจริงจะอยู่ราว 20-30ms แต่เมื่อเป็น 5G จะลดลงไปถึง 10 เท่า เหลือน้อยกว่า 1ms ทางทฤษฎี ซึ่งคาดว่าเมื่อใช้งานจริงจะอยู่ราว 3-4ms
- Data Traffic รองรับการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า จากที่ใน 4G จะสามารถรับส่งข้อมูลต่อเดือนได้ราว 7.2Exabytes ต่อเดือน แต่เมื่อขึ้นเป็น 5G จะเพิ่มขึ้นราว 7 เท่า หรือ 50 Exabytes ต่อเดือน
- Peak Data Rates ความเร็วเพิ่มขึ้นสูงสุด 20 Gbps หรือราว 20 เท่าจากเดิม
- Available Spectrum ความถี่สำหรับใช้งาน เพิ่มขึ้นจากตอน 4G ที่มีให้ใช้เพียง 3GHz แต่เมื่อเป็น 5G จะสามารถใช้งานคลื่นได้จนถึงความถี่ 30GHz
- Connection Density ความหนาแน่นของการใช้งาน เพิ่มขึ้น 10 เท่าจากที่สามารถรับคนได้ราว 1 แสนคนต่อพื้นที่ 1 ตร.กม. กลายเป็น 1 ล้านคนต่อพื้นที่ 1 ตร.กม.
เราจะได้ประโยชน์อะไรจาก 5G?
หลังจากเห็นตัวเลขอะไรมากมายน่ามึนหัวสำหรับหลายๆคนมาแล้ว มาลองดูการใช้งานจริงกันบ้างดีกว่าว่าถ้าเปลี่ยนจากตัวเลขเหล่านั้นเป็นการใช้งานจริง อะไรจะเกิดขึ้นได้บ้าง มีการแบ่งการใช้งาน 5G ออกเป็น 3 แกนหลักด้วยกัน ได้แก่ Enhanced mobile broadband (eMBB), Massive machine type communications (mMTC), และ Ultra-reliable and low latency communications (URLLC) โดยแต่ละการใช้งานจะมีส่วนผสมของแต่ละแกนมาน้อยต่างกันไป
Enhanced mobile broadband (eMBB) เพิ่มศักยภาพการรับ-ส่งข้อมูล เมื่อมีความเร็วที่มากขึ้นแล้วเราก็สามารถสตรีมวิดีโอความละเอียดสูงๆระดับ 4K, ทำงานทุกอย่างอยู่บน Cloud โหลดภาพโหลดข้อมูลต่างๆมาได้แทบจะทันที่ที่ต้องการ
4G อาจจะโหลด 4K ได้แบบมีกระตุก แต่เข้า 5G แล้วก็จะง่ายขึ้น
Massive machine type communications (mMTC) รองรับการเชื่อมต่อจำนวนมากๆได้ ก็สามารถใช้งานเหล่าอุปกรณ์ IoT ที่คาดกันว่าจะมีเพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่าตัวจากในปัจจุบัน ลองนึกภาพสิ่งของทุกชิ้นที่เราใช้งานในชีวิตประจำวัน ทั้งรถยนต์ พัดลม ประตูบ้าน โทรทัศน์ ตู้เย็น ไมโครเวฟ ฯลฯ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องใช้ WiFi แต่ผ่านเครือข่ายมือถือแทน การเชื่อมต่อจะมหาศาลแค่ไหน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม 5G จึงต้องรองรับการเชื่อมต่อเพิ่มขึ้นจากตอน 4G ถึง 10 เท่าตัวนั่นเอง https://www.youtube.com/watch?v=WztuyZwq578 Ultra-reliable and low latency communications (URLLC) การเชื่อมต่อที่เสถียรและตอบสนองไว จนเราสามารถควบคุมอุปกรณ์ต่างๆระยะไกลได้แบบไม่ต้องกังวลถึงการดีเลย์ของภาพและเสียง การศึกษาผ่านระบบ AR, แพทย์ควบคุมการผ่านตัดจากที่อื่น หรือควบคุมรถยนต์ไร้คนขับก็จะสามารถทำได้อย่างไรกังวลนั่นเอง https://www.youtube.com/watch?v=796Z4pF-s4I
ประเทศไทยเราพร้อมแค่ไหนสำหรับ 5G?
เทคโนโลยีที่ใช้ในกันใน 5G ได้แก่ Millimeter Waves, Small Cell, Massive MIMO, Beamforming, Full Duplex ซึ่งในปัจจุบันเราจะได้เห็น Small Cell, Massive MIMO, และ Beamforming กันแล้วในทุกเครือข่าย แต่ความครอบคลุมและแพร่หลายของเทคโนโลยีอาจจะยังไม่เท่ากัน บางเจ้านำไปใช้แล้วในหลายพื้นที่ บางค่ายทดลองใช้แค่ไม่กี่แห่ง ส่วน Full Duplex ปัจจุบันจะยังใช้เป็น FDD หรือ TDD ส่วน Millimeter Waves หรือการนำเอาคลื่นความถี่สูงกว่าที่ใช้กันในปัจจุบันมาเปิดให้บริการเพิ่ม ในเมืองไทยจะยังไม่พร้อมเท่าไหร่นัก เพราะยังไม่มีการจัดสรรคลื่นในช่วงความถี่สูงๆเกิน 3GHz ออกมาให้ได้เห็นกันแม้แต่คลื่นเดียว แต่ยังดีว่าในปัจจุบันแต่ละค่ายมีคลื่นความถี่ในมือเกิน 100MHz ซึ่งเป็นจำนวนที่ทั้ง Ericssons หรือ Huawei ผู้นำด้านการทำเครือข่าย 5G ต่างก็แนะนำให้ประเทศที่ต้องการจะเข้าถึง 5G โดยเร็วมีไม่น้อยกว่านี้ โดยคนที่ดูจะมีความพร้อมมากที่สุดตามลำดับ ได้แก่ AIS, TrueMove H, และ dtac โดยคิดตามจำนวนคลื่นที่ครอบครอง เทคโนโลยีที่ใช้ และความแพร่หลายของเทคโนโลยีนะครับ
จำนวนคลื่นที่แต่เครือข่ายมีครอบครอง
เครือข่าย | ความถี่ | จำนวนคลื่น | เทคโนโลยี |
AIS รวม 120MHz | 900MHz | 10×2MHz | Small Cell, Massive MIMO, Beamforming, Full Duplex, NB-IoT |
1800MHz | 20×2MHz | ||
2100MHz | 15×2×2MHz | ||
TrueMove H รวม 110MHz | 850MHz | 15×2MHz | Small Cell, Massive MIMO, Beamforming, Full Duplex |
900MHz | 10×2MHz | ||
1800MHz | 15×2MHz | ||
2100MHz | 15×2MHz | ||
dtac รวม 100MHz | 1800MHz | 5×2MHz | Small Cell, Full Deplex |
2100MHz | 15×2MHz | ||
2300MHz | 60×1MHz |
โดยสรุปคือในปี 2020 สำหรับคนไทยที่ต้องการใช้ 5G เราจะมีเครือข่ายที่พร้อมใช้งานแน่ๆแล้ว ไม่ต้องห่วงว่าเทคโนโลยีบ้านเราจะตามใคร แต่ที่ต้องคิดมากกว่าคือคนไทยที่มีความพร้อมใช้งาน 5G นี้จะมีมากเท่าไหร่ เตรียมพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำลังจะมาเร็วๆนี้หรือยังครับ
ต้องเตรียมถอยมือถือใหม่แล้วสินะ
บทความอ่านเข้าใจง่ายดีครับ
อืมมม ปีหน้า เตรียมซื้อมือถือใหม่พอดี คงต้องมองรุ่นที่ Support 5G ไว้เป็นอีกทางเลือก
อีกนานเพราะต้องประมูลคลื่นสำหรับ5Gก่อน
แล้วต้องรอติดตั้งอุปกรณ์กระจายสัญญานให้ครอบคลุมทั่วไทยอีกก็อีกสองสามปีแหละ
ระบบการใช้ข้อมูลตามองค์กรต่างๆ น่าจะได้ประโยชน์มาก
กว่าจะใช้ได้จริงครอบคลุมพื้นที่ก็สัก 2-3 ปีได้เวลาเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่พอดี