เปิดตัวกันไปแบบสดๆ ร้อนๆ เมื่อคืนวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมากับ iPad 8th Gen รุ่นราคาประหยัด และ iPad Air 4 รุ่นอัปเกรดสเปคขึ้นมา โดยในส่วนนี้เชื่อว่าหลายคนน่าจะเกิดความสงสัยกันอยู่ไม่น้อยเลยล่ะว่าเจ้า iPad 8th Gen และ iPad Air 4 มันมีความเหมือน-ต่างกันยังไง ตัวประหยัดก็พอแล้วมั้ย หรือว่าเพิ่มเงินอีกนิดหน่อยซื้อรุ่น Air ไปเลยจะดีเสียกว่า
หน้าจอแสดงผล
ในเรื่องของขนาดหน้าจอ ทั้ง iPad 8th Gen และ iPad Air 4 แทบจะไม่มีความแตกต่างกันเท่าไหร่ โดย iPad รุ่นประหยัดนั้น จะมาพร้อมกับจอ Retina Display (IPS) ขนาด 10.2 นิ้ว ความละเอียด 2160 x 1620 พิกเซล ส่วน iPad Air 4 จะอัปเกรดสเปคขึ้นมาหน่อย ใช้เป็นตัว Liquid Retina Display (บนพื้นฐานจอ IPS เช่นเดียวกัน) ขนาดก็ใหญ่กว่าเล็กน้อยที่ 10.9 นิ้ว ความละเอียด 2360 x 1640 พิกเซล ในส่วนนี้จะเห็นว่าทาง iPad Air 4 นั้น จะมีความละเอียดหน้าจอมากกว่านิดนึง แต่ถ้ามองในเรื่องของความหนาแน่นของพิกเซล (Pixel Per Inch) อันนี้ทั้งสองมีให้เท่ากันเลยที่ 264 ppi
iPad Air 4 ไม่มีปุ่ม Touch ID โดยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือจะย้ายไปอยู่รวมกับปุ่ม Power แทน
แต่ถ้าเจาะลึกเข้าไปในเรื่องของสเปคยิบย่อย ตรงนี้ iPad Air 4 จะดีกว่า iPad 8th Gen อย่างชัดเจน เพราะทั้งรองรับการแสดงผลสีแบบ P3, True Tone Display, มีการเคลือบสารกันการสะท้อนของแสง อีกทั้งยังรองรับการใช้งานดินสอ Apple Pencil รุ่นที่ 2 อีกด้วย
อย่างไรก็ดี iPad 8th Gen ก็ไม่ได้แย่ไปซะทีเดียว เพราะรองรับการใช้งาน Apple Pencil รุ่นที่ 1 และยังเคลือบสารป้องกันรอยนิ้วมือมาให้ (ตรงนี้ iPad Air 4 ก็มีเคลือบมาให้เช่นเดียวกัน)
ขนาดตัวเครื่อง
มาถึงเรื่องขนาดตัวเครื่อง และความยากง่ายในการพกพาไปไหนมาไหนกันบ้าง ตรงนี้ถ้าไม่ได้มองถึงเรื่องดีไซน์หน้าตาที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน จะเห็นว่าทั้ง iPad 8th Gen และ iPad Air 4 แทบจะมีสัดส่วนรูปร่างที่ใกล้เคียงกันมากๆ เลยล่ะ
*เรียงลำดับความยาว ความกว้าง และความหนา*
- iPad 8th Gen
- 250.6 x 174.1 x 7.5 มม. น้ำหนักรวม 490 กรัม (รุ่น WiFi) และ 495 กรัม (รุ่น WiFi + Cellular)
- iPad Air 4
- 247.6 x 178.5 x 6.1 มม. น้ำหนักรวม 458 กรัม (รุ่น WiFi) และ 460 กรัม (รุ่น WiFi + Cellular)
จะเห็นว่า iPad Air 4 จะมีสัดส่วนที่เล็กและบางกว่า iPad 8th Gen อยู่พอสมควรเลย แถมยังมีน้ำหนักน้อยกว่าถึง 32 กรัมเลยทีเดียว ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าส่วนต่าง 32 กรัมเป็นอะไรที่ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรขนาดนั้น แต่บอกเลยว่าหากถือใช้งานจริงๆ ต่อเนื่องหลายๆ ชั่วโมง ไอเจ้า 32 กรัมเนี่ยแหละ จะเข้ามาสร้างปัญหาปวดมือให้กับเราได้น้อยเลยทีเดียว
หน่วยความจำ
iPad 8th Gen จะมีให้เลือกทั้งหมด 2 หน่วยความจำ ได้แก่ 32GB และ 128GB ขณะที่ iPad Air 4 จะมีให้เลือก 2 แบบเช่นเดียวกัน แต่จะไม่ทับไลน์กันเลย โดยทางตัว Air จะมีแบบ 64GB และ 256GB ให้เลือกใช้งาน ซึ่งหากใครเป็นคนไม่ค่อยเก็บอะไรในเครื่องอยู่แล้ว โหลดแอปแค่พวกพื้นฐานอย่าง LINE, FB, IG, Spotify ฯลฯ อะไรแบบนี้ ส่วนตัวมองว่า 32GB ก็น่าจะเพียงพอแล้วนะ แต่ถ้าเกิดว่าไม่สบายใจ คิดว่ามันเบียดเกินไป ตรงนี้ลองมองตัวที่ความจุ 64GB ขึ้นไปน่าจะดีกว่า
ประสิทธิภาพความแรง
แม้ว่าจะมีตำแหน่งเป็น “รุ่นประหยัด” แต่ถ้าวัดกันเรื่องประสิทธิภาพความแรงของหน่วยประมวลผลล่ะก็ ตรงนี้ iPad 8th Gen พร้อมท้าชนกับแท็บเล็ตทุกตัวในตลาดตอนนี้ได้เลยทีเดียว เพราะมากับชิป A12 Bionic ที่ Apple เคลมว่าแรงกว่า Laptop ของ Windows ทั่วไป 2 เท่า และแรงกว่าแท็บเล็ตตัวท็อปฝั่ง Android ถึง 3 เท่าเลยทีเดียว เอาเป็นว่าถ้าใครกำลังเกิดข้อสงสัยว่า iPad 8th Gen จะใช้งานทั่วไปไหวไหม อันนี้บอกเลยไม่ใช่ปัญหา แรงกว่านี้ก็…
…iPad Air 4 ที่เปิดตัวออกมาพร้อมๆ กันนี่แหละ คือ A12 Bionic นี่ก็แรงมากๆ แล้ว แต่พอมาเจอ iPad Air 4 ที่มากับชิป A14 Bionic อันนี้เหมือนเหนือฟ้ายังมีฟ้า เพราะชิป A14 Bionic นี่ทั้งแรงทั้งประหยัดพลังงาน ผลิตบนสถาปัตยกรรม 5 นาโนเมตร แรงกว่าเดิม 40% ประมวลกราฟิกไวขึ้น 30% พร้อม Neural Engine ที่เทพกว่าเดิมอีก 70% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
เอาเป็นว่าในหัวข้อประสิทธิภาพความแรง เพื่อนๆ เลือกจิ้ม iPad รุ่นไหนก็ได้เลย แรงเหมือนกันหมด จะต่างกันแค่แรงมาก กับแรงมากๆ เท่านั้นเอง ฮ่าๆ
กล้องถ่ายรูป
จริงอยู่ที่คนใช้งานแท็บเล็ตส่วนมาก ไม่ได้ซีเรียสเรื่องคุณภาพของกล้องหน้า-หลังอยู่แล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ ถึงเวลาใช้งานในชีวิตประจำวัน มันก็ต้องมีเหตุการณ์สุดวิสัยบางอย่างที่ทำให้เราต้องเรียกใช้งานพวกกล้องในบรรดา iPad ขึ้นมาใช้งานกันบ้างล่ะ
- iPad 8th Gen
- กล้องหลัง 8MP f/2.4 มี Autofocus และระบบกันสั่น
- กล้องหน้า 1.2MP f/2.0 อัดวิดีโอ Full HD @60fps
- iPad Air 4
- กล้องหลัง 12MP f/1.8 มี Autofocus แบบ Focus Pixels รองรับ Smart HDR และระบบกันสั่น
- กล้องหน้า 7MP f/2.0 อัดวิดีโอ Full HD @60fps
ซึ่งจากสเปคคร่าวๆ จะเห็นว่าทั้ง iPad 8th Gen และ iPad Air 4 สามารถเอาไปใช้ถ่ายรูป แชร์ขึ้น Social ได้แบบสบายๆ หรือจะเอาไว้ใช้วิดีโอคอลก็ยังทำได้แบบเคอะเขินเลยทีเดียว
ลำโพง
แม้ว่าทั้ง iPad 8th Gen และ iPad Air 4 จะใส่ลำโพงมาให้เท่ากันที่ 2 ตัว แต่ถ้าเจาะลึกลงไปอีกเล็กน้อย จะสังเกตว่าการวางตำแหน่งลำโพงของทั้งนี่มีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย แต่ถัาเอาไปใช้งานจริงถือว่ามีความต่างเยอะอยู่นะ
โดยลำโพงคู่ของ iPad 8th Gen จะอยู่บริเวณด้านล่างของตัวเครื่อง ใกล้ๆ กับพอร์ตชาร์จ ส่วนของ iPad Air 4 นั้นจะวางอยู่คนมุมเลย ซึ่งการทำแบบนั้นจะให้เสียงแบบซ้าย-ขวา มิติอะไรต่างๆ จะดีกว่า iPad 8th Gen อยู่พอสมควรเลย
แต่สิ่งที่ iPad 8th Gen มีเหนือกว่า iPad Air 4 ก็คือ รูหูฟัง 3.5 มม. ที่ยังไม่ถูกตัดออกไปนั่นเอง อันนี้บอกเลยว่ามีเอาไว้ดีกว่าไม่มีนะ บางทีอยากต่อลำโพงแยก ก็เสียบได้เลยง่ายๆ ไม่ต้องเชื่อมต่อ Bluetooth
แบตเตอรี่และระบบชาร์จไว
แม้ว่าตามหน้าสเปคแล้ว iPad 8th Gen จะมีความจุแบตเตอรี่ที่มากกว่า iPad Air 4 อยู่พอสมควร (32.4-watt-hour vs 28.6-watt hour) แต่ Apple เคลมว่าทั้งคู่สามารถใช้งานท่องเว็บ-ดูวิดีโอต่อเนื่องได้ยาวนานพอกันที่ 10 ชั่วโมง ทั้งนี้ก็น่าจะมาจากเทคโนโลยีชิปเซ็ต A14 Bionic นั้นถูกปรับแต่งมาให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า A12 Bionic บน iPad 8th Gen นั่นเอง
อีกทั้งรอบนี้ iPad Air 4 ก็สลัดคราบจากพอร์ต Lightning มาเป็นพอร์ต USB-C แล้ว ที่สำคัญยังมีหัวชาร์จอะแดปเตอร์แถมมาให้ในกล่องเหมือนเดิมด้วยนะ ซึ่งตรงนี้หัวชาร์จของ iPad Air 4 จะสามารถจ่ายไฟได้สูงสุดถึง 20W
ราคา iPad 8th Gen และ iPad Air 4
แม้ว่าจะเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปได้ยังไม่ครบ 24 ชั่วโมง แต่ล่าสุดก็มีราคาไทยของทั้ง iPad 8th Gen และ iPad Air 4 โผล่ขึ้นบนหน้าเว็บ Apple Thailand Official แล้ว
- iPad 8th Gen
- รุ่น 32GB (WiFi) ราคา 10,900 บาท
- รุ่น 128GB (WiFi) ราคา 13,900 บาท
- รุ่น 32GB (WiFi + Cellular) ราคา 15,400 บาท
- รุ่น 128GB (WiFi + Cellular) ราคา 18,400 บาท
- iPad Air 4
- รุ่น 64GB (WiFi) ราคา 19,900 บาท
- รุ่น 256GB (WiFi) ราคา 24,900 บาท
- รุ่น 64GB (WiFi + Cellular) ราคา 24,400 บาท
- รุ่น 256GB (WiFi + Cellular) ราคา 29,400 บาท
สรุปซื้อรุ่นไหนคุ้มกว่ากัน
iPad 8th Gen | iPad Air 4 | |
หน้าจอ | Retina Display 10.2″ | Liquid Retina Display 10.9″ |
ความละเอียด | 2160 x 1620 (264ppi) | 2360 x 1640 (264ppi) |
ชิปเซ็ต | A12 Bionic | A14 Bionic |
หน่วยความจำ | 32GB / 128GB | 64GB / 256GB |
กล้องหลัง | 8MP f/2.4 | 12MP f/1.8 |
การถ่ายวิดีโอ | Full HD @30fps | 4K @60fps |
กล้องหน้า | 1.2MP f/2.4 | 7MP f/2.0 |
ลำโพง | 2 ตัว (Stereo) | 2 ตัว (Landscape Stereo) |
WiFi | Wi-Fi (802.11a/b/g/n/ac); dual band (2.4GHz and 5GHz); HT80 with MIMO | 802.11ax Wi-Fi 6; simultaneous dual band (2.4GHz and 5GHz); HT80 with MIMO |
Bluetooth | 4.2 | 5.0 |
เซ็นเซอร์ | Touch ID, Three-axis gyro, Accelerometer, Barometer, Ambient light sensor | Touch ID, Three-axis gyro, Accelerometer, Barometer, Ambient light sensor |
แบตเตอรี่ | 32.4-watt-hour | 28.6-watt-hour |
พอร์ตชาร์จ | Lightning | USB-C |
ระบบปฏิบัติการ | iPadOS 14 | iPadOS 14 |
Apple Pencil | รุ่นแรก | รุ่นที่สอง |
Smart Keyboard | รองรับ | รองรับ |
แน่นอนว่าถ้าเทียบกับแบบนี้ ยังไง iPad Air 4 ที่มีราคาสูงกว่า ย่อมจะมีสเปคที่ดีกว่า iPad 8th Gen อยู่แล้ว แต่สำหรับใครที่มีงบไม่มากนัก ตรงนี้ส่วนตัวผมมองว่า iPad 8th Gen ก็เพียงพอต่อการใช้งานมากๆ แล้ว สามารถเอาไปใช้งานเรียน-ประชุมออนไลน์ ดู Netflix-YouTube หรือมัลติมีเดียต่างๆ ขีดเขียนหน้าจอด้วย Apple Pencil ได้เหมือนกัน แต่ถ้าใครงบถึง ยังไงก็อยากให้ลอง iPad Air 4 นะ เพราะสเปคที่ให้มา มันจบกว่าจริงๆ
ส่วนเรื่องซื้อรุ่นไหนดี ระหว่างรุ่นที่รองรับแค่ WiFi กับ Cellular อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณของแต่ละคนเหมือนกัน ถ้าจ่ายค่าเครื่องที่เพิ่มขึ้นมา อีกทั้งค่าเน็ตรายเดือนไหว อันนี้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ซื้อตัวที่รองรับ Cellular ไม่ต้องคอยหา WiFi เวลาอยู่ข้างนอก หรือเปิด Mobile Hotspot ให้เปลืองแบตโทรศัพท์
iPad 10.2 ยังใช้ lightning port นะครับ
แก้ไขเรียบร้อย ขอบคุณนะครับ