เดือนนี้ Apple เปิดตัว iPad Pro M4 แท็บเล็ตเรือธงตัวล่าสุดของค่าย หลังทิ้งช่วงไปนานถึง 1 ปีครึ่ง มาในขนาด 11 นิ้ว และ 13 นิ้ว อัปเกรดเป็นพาเนล Tandem OLED รุ่นแรกในตลาด (แท็บเล็ต) พร้อมชิป Apple M4 ที่ไปยกเครื่อง Neural Engine มาใหม่ เตรียมรับการมาของยุค AI โดดเด่นด้วยการออกแบบตัวเครื่องที่บางและเบาเป็นพิเศษ นับว่ามีการปรับปรุงที่น่าสนใจหลายอย่างจากรุ่นก่อน แต่จะเป็นอย่างไรหากนำไปเทียบกับ Galaxy Tab S9 Ultra ของ Samsung ที่เป็นแท็บเล็ตตัวท็อปจากฝั่ง Android
สเปค iPad Pro M4 (13″) และ Galaxy Tab S9 Ultra
iPad Pro M4 (13″) | Galaxy Tab S9 Ultra | |
จอภาพ | Tandem OLED 13 นิ้ว 2752 x 2064 พิกเซล 264 ppi 120Hz สัดส่วน 4:3 สว่าง 1000 นิต สว่างสูงสุด 1600 นิต รองรับ HDR10 รองรับ Dolby Vision | Dynamic AMOLED 2X 14.6 นิ้ว 2960 x 1848 พิกเซล 239 ppi 120Hz สัดส่วน 16:10 สว่าง 420 นิต สว่างสูงสุด 930 นิต รองรับ HDR10+ |
ปากกา | รองรับ Apple Pencil Pro รองรับ Apple Pencil (USB-C) | รองรับ S Pen |
ชิป | Apple M4 | Snapdragon 8 Gen 2 |
หน่วยความจำ | 8GB 16GB | 12GB |
ความจุ | 256GB 512GB 1TB 2TB | 256GB รองรับ microSD |
กล้องหลัง | 12MP (𝑓/1.8) แฟลช Quad-LED (True Tone) ถ่ายวิดีโอ 4K@60fps | กล้องหลัก 13MP (𝑓/2.0) กล้องอัลตราไวด์ 8MP (𝑓/2.2) แฟลช LED ถ่ายวิดีโอ 4K@30fps |
กล้องหน้า | กล้องอัลตราไวด์ 12MP MP (𝑓/2.4) ถ่ายวิดีโอ 1080p@60fps | กล้องหลัก 12MP (𝑓/2.2) กล้องอัลตราไวด์ 12MP (𝑓/2.4) ถ่ายวิดีโอ 4K@30fps |
ลำโพง | สเตอรีโอ (4x) | สเตอรีโอ (4x) ปรับแต่งโดย AKG |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi 6E Bluetooth 5.3 | Wi-Fi 6E Bluetooth 5.3 |
พอร์ต | USB-C 4 (Thunderbolt 3) DisplayPort | USB-C 3.2 |
ซิมการ์ด | eSIM | Nano-SIM eSIM |
แบตเตอรี่ | 10290mAh ชาร์จไว 30W | 11200mAh ชาร์จไว 45W |
ระบบปฏิบัติการ | iPadOS 17 | Android 13 |
ความทนทาน | – | IP68 |
ขนาด | 281.6 x 215.5 x 5.1 มม. | 326.4 x 208.6 x 5.5 มม. |
น้ำหนัก | 578 กรัม (Wi-Fi) 582 กรัม (Wi-Fi + Cellular) | 732 กรัม |
วันเปิดตัว | 7 พฤษภาคม 2024 | 26 กรกฎาคม 2023 |
ราคาเริ่มต้น | 52,900 บาท |
ตัวเครื่องและการออกแบบ
Galaxy Tab S9 Ultra มีหน้าจอขนาด 14.6 นิ้ว พื้นที่ในการแสดงผลใหญ่โตโอฬาร รับชมคอนเทนต์ได้เต็มตาสะใจ แต่ด้วยข้อจำกัดของเซนเซอร์กล้องหน้า เป็นเหตุผลให้ Samsung เลือกออกแบบโดยเว้นบางส่วนของหน้าจอเข้ามาเป็นรอยบาก แตกต่างจาก iPad Pro M4 (13″) ที่ถึงแม้จะมีหน้าจอ 13 นิ้ว ขนาดเล็กกว่า และขอบหน้าจอหนากว่า แต่สมดุลเท่ากันทั้ง 4 ด้าน ให้ความรู้สึกสมมาตร ดูแล้วไม่ขัดตา แต่ละรุ่นมีข้อดีกันไปคนละทาง
ถัดมาที่ขนาดตัวเครื่อง iPad Pro M4 (13″) ถือว่ามีความโดดเด่นเป็นพิเศษในด้านนี้ ด้วยความหนาเพียง 5.1 มม. และน้ำหนักเริ่มต้นแค่ 578 กรัม นับเป็นสินค้าที่บางที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของ Apple แต่ Galaxy Tab S9 Ultra ก็ไม่ได้เป็นรองมากนัก ด้วยความหนา 5.5 มม. กับน้ำหนักตัว 732 กรัม และคงเป็นตัวเลขที่หลายคนยอมรับกันได้ไม่ติดขัดอะไร เมื่อพิจารณาจากขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่า และความจุแบตที่ให้มามากกว่า
ความทนทาน
เมื่อ Galaxy Tab S9 Ultra และ iPad Pro M4 (13″) มีตัวเครื่องที่บางเฉียบขนาดนี้ คงไม่แปลกผู้ใช้งานบางส่วนอาจเป็นกังวลถึงความทนทาน โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการงอจากการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น ใส่แท็บเล็ตไว้ในกระเป๋าเป้ แล้วบังเอิญไปนั่งทับโดยไม่ตั้งใจ
หากดูจากการทดสอบของ JerryRigEverything ที่เป็นนักทารุณกรรมมือถือตัวพ่อของวงการ พบว่า iPad Pro M4 (13″) ตัวเครื่องมีความแข็งแรงมากพอจะทนต่อการดัดในแนวนอนได้สบาย แต่ในแนวตั้งมีจุดเปราะบางตามโครงสร้างภายในและพอร์ต USB-C ซึ่งอาจหักครึ่งท่อนเอาได้ หากโดนทับหรือถูกกระแทกแรง ๆ จึงเป็นจุดที่ต้องระวัง
ส่วน Galaxy Tab S9 Ultra เป็นที่น่าเสียได้ว่า JerryRigEverything ไม่ได้นำมาทดสอบ แต่ถ้าอ้างอิงจาก Galaxy Tab S8 Ultra รุ่นก่อนหน้าที่มีความหนาตัวเครื่อง 5.5 มม. เท่ากันเป๊ะ ๆ ดัดสุดแรงแล้วก็ไม่งอ ไม่หัก ไม่สะเทือน Galaxy Tab S9 Ultra ก็น่าจะทนทานในระดับเดียวกันเป็นอย่างน้อย
หน้าจอแสดงผล
Galaxy Tab S9 Ultra มากับหน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 14.6 นิ้ว อัตรารีเฟรช 120Hz ความสว่างทั่วไป 420 นิต ความส่างสูงสุด 930 นิต เป็นแท็บเล็ตที่มีหน้าจอดีที่สุดในตลาดจนถึงก่อนหน้านี้ และตอบโจทย์การใช้งานด้านเอนเตอร์เทนด้วยสัดส่วนหน้าจอแบบ 16:10 ฟิตเกือบพอดีกับสัดส่วนของภาพยนตร์และซีรีส์ส่วนใหญ่ในตลาด และด้วยความยาวของหน้าจอลักษณะนี้ ทำให้เกิดข้อได้เปรียบเวลาเล่นเกมบางประเภท เช่น MOBA ที่จะมองเห็นพื้นที่ด้านข้างได้กว้างขวาง
ในขณะที่ iPad Pro M4 (13″) มาพร้อมหน้าจอ Tandem OLED ขนาด 13 นิ้ว ที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ ใช้โครงสร้างแบบ double-stack นำพาเนล 2 ชั้น มาประกบกันเป็นชิ้นเดียว ให้จุดเด่นในแง่ความทนทาน และความสว่าง
ด้านความทนทาน คงเป็นการยากที่เปรียบเทียบ เพราะ Apple เองก็ไม่ได้เคลมออกมาเป็นตัวเลขใด ๆ และอายุการใช้งานเองก็แปรผันไปตามพฤติกรรมการใช้งานของแต่ละบุคคล แต่ด้านความสว่าง Tandem OLED บน iPad Pro M4 (13″) นั้นน่าประทับใจตรงตามทฤษฎี โดยมีความสว่างทั่วไป 1,000 นิต และความสว่างสูงสุด 1,600 นิต สูงกว่า Dynamic AMOLED 2X บน Galaxy Tab S9 Ultra เกือบครึ่งต่อครึ่ง ประโยชน์ที่ตามมาคือ หน้าจอยังคงมองเห็นได้ชัดแม้ใช้งานกลางแจ้ง และมีระดับคอนทราสต์สูงยามแสดงผลคอนเทนต์ HDR
ชิปประมวลผล
iPad Pro M4 (13″) เป็นสินค้ารุ่นแรกของ Apple ที่ขับเคลื่อนด้วยชิป M4 ตัดหน้าอุปกรณ์ตระกูล Mac และ MacBook ทุกตัวในเครือแบบเหนือความคาดหมาย โดยกระโดดจาก M2 มาเป็น M4 เลย เรื่องความแรงของชิป M4 คงไม่มีเครื่องหมายคำถามใด ๆ เพราะ Apple silicon สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลกมาอย่างต่อเนื่อง ไล่ตั้งแต่ M1 มาจนถึงล่าสุด
แถมในทางกลับกัน คำถามเกี่ยวกับ M4 ที่หลายคนสงสัย คงเป็นคำถามที่ว่า ‘แรงขนาดนี้…เอาไปทำอะไร’ ซะมากกว่า เพราะแค่ M2 รุ่นก่อนก็ทรงพลังแบบเหลือเฟือกับการใช้งานทั่ว ๆ ไปของผู้ใช้งานทั่ว ๆ ไปแล้ว หรือต่อให้เป็นเกมเมอร์ที่เล่นเกมแบบจริงจัง หรือผู้ใช้งานที่ฮาร์ดคอขึ้นมา ตอนนี้ก็ยังไม่มีแอปตัวใดบน App Store ที่เกินกำลังไปกว่า M2 เลย
คำตอบของคำถามนี้ อาจเป็นการมองเผื่อไปถึงอนาคต คือ M4 อาจทำมาให้รองรับการใช้งานในระยะยาว ซึ่งไม่แค่ในระดับที่ ‘ใช้งานได้’ แต่ต้อง ‘ใช้งานได้ดี’ ไปอีกหลายปี โดยเฉพาะ Neural Engine ที่อัปเกรดขึ้นมาให้รองรับการประมวลผล AI ได้มากถึง 38 TOPS ตรงจุดนี้ก็ไปสอดคล้องกับข่าวลือที่ว่า iOS 18 และ iPadOS 18 จะมีการเพิ่มฟีเจอร์ด้าน AI ครั้งใหญ่เข้ามา ซึ่งพลังของ Neural Engine เป็นหัวใจสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้
ในหัวข้อนี้ Snapdragon 8 Gen 2 คงต้องยอมสยบให้กับ M4 อย่างไม่มีทางเลี่ยง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า Snapdragon 8 Gen 2 ยังคงเป็นชิปในระดับท็อป 4 หรือท็อป 5 ของอุปกรณ์กลุ่ม Android ในปัจจุบัน ประสิทธิภาพเหลือกินเหลือใช้ ชิปที่เหนือขึ้นไปกว่านี้ก็มีเพียงแค่ชิปกลุ่มเรือธงที่เปิดตัวทีหลังเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้น ฟีเจอร์ Galaxy AI ก็รองรับการใช้งาน แทบไม่ต่างจาก Galaxy S24 Ultra เลย ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด
การรองรับปากกา
Galaxy Tab S9 Ultra รองรับปากกา S Pen และแถมมาให้ในกล่องเลย ไม่ต้องเสียเงินซื้อเพิ่มแม้แต่สตางค์เดียว เป็นจุดขายของ Samsung มานาน ฟีเจอร์ต่าง ๆ เองก็มีให้ใช้งานจนนับแทบไม่หวาดไม่ไหว เฉพาะฟีเจอร์กลุ่ม Air command ก็มีเกิน 10 คำสั่งเข้าไปแล้ว
ด้าน iPad Pro M4 (13″) รองรับปากกาเช่นกัน คือ Apple Pencil Pro รุ่นใหม่ที่พึ่งเปิดตัวมาพร้อมกับเครื่อง กับ Apple Pencil (USB-C) รุ่นอื่นนอกเหนือจากนี้ไม่รองรับ ดังนั้น คนที่มี Apple Pencil 1 หรือ Apple Penci 2 อยู่แล้ว ต้องเปลี่ยนใหม่ และแน่นอนว่า Apple จำหน่ายแยกตามธรรมเนียม ค่าตัว 4,990 บาท และ 3,190 บาท
สาเหตุที่ iPad Pro M4 (13″) ไม่รองรับ Apple Pencil 1 และ Apple Penci 2 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ Apple ปรับตำแหน่งกล้องหน้ามาวางในแนวยาว ให้สอดรับกับการใช้งานในแนวนอน ผลคือ iPad Pro M4 (13″) ต้องจัดระเบียบตำแหน่งแม่เหล็กภายในที่ใช้ยึดกับปากกาใหม่ ตัวปากกาเองก็ต้องออกแบบใหม่ตามไปด้วย
สำหรับ Apple Pencil Pro ฟีเจอร์เด่นที่ได้เพิ่มมาคือ รองรับการหมุนปากกา รองรับการสั่งงานด้วยการบีบ รองรับการตอบสนองด้วยการสั่น และรองรับการค้นหาตำแหน่งด้วย Find My แบบคร่าว ๆ โดยตัวเครื่องสามารถตรวจจับและแจ้งเตือนได้เมื่อปากกาอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
ฟีเจอร์อื่น ๆ
Galaxy Tab S9 Ultra รองรับโหมด DeX ใช้งานในรูปแบบเดสก์ท็อปได้ราวกับเป็นพีซีขนาดย่อม เปิดแอปพร้อมกันได้หลายตัว ยืด หด ขยาย หน้าต่างได้อิสระ และสำหรับผู้ใช้งานในระดับแอดวานซ์ก็มี Good Lock สำหรับปรับแต่งการทำงานในเชิงลึก ทำให้การใช้งานมีความยืดหยุ่นอย่างมาก นอกจากนี้ ตัวเครื่องและ S Pen ยังมีคุณสมบัติทนน้ำทนฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 เอาไว้ให้อุ่นใจ และรองรับการเขียนขณะหน้าจอเปียกหรืออยู่ใต้น้ำด้วย
ข้อดีอีกประการคือ Galaxy Tab S9 Ultra สามารถโทรศัพท์และรับส่ง SMS ได้ในตัวแบบเนทีฟ เป็นสิ่งที่ iPad Pro M4 (13″) ยังทำไม่ได้
ส่วน iPad Pro M4 (13″) มีข้อได้เปรียบตรง iPadOS ที่เป็นระบบปฏิบัติการที่ Apple ออกแบบมาโดยคำนึงถึงแท็บเล็ตตั้งแต่แรก UX และ UI ตลอดจนถึงแอปต่าง ๆ จึงดูมีความเข้ากันได้มากกว่า แตกต่างจาก Android ที่ต้องยอมรับว่า Google เริ่มขยับตัวช้ากว่า กว่า Google จะหันมาให้ความสำคัญกับแท็บเล็ตแบบจริง ๆ จัง ๆ ก็มาเริ่มเอาตอน Android 12L เข้าไปแล้ว แม้ Samsung พยายามอุดช่องโหว่นี้ด้วย One UI ที่ออกแบบเอง และได้รับเสียงชื่นชมค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่อาจครอบคลุมได้ทั้งแพลตฟอร์มแบบ 100%
ยิ่งไปกว่านั้น แอประดับโปรฯ หรือแอปเฉพาะทาง ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า iPadOS มีให้ใช้งานเยอะกว่าบน Android เช่น DaVinci Resolve, Procreate, Photoshop และ Illustrator เป็นต้น
สรุปจุดเด่น iPad Pro M4 (13″) และ Galaxy Tab S9 Ultra
iPad Pro M4 (13″) | Galaxy Tab S9 Ultra |
เครื่องบางมาก น้ำหนักเบามาก หน้าจอสว่างกว่า ชิปแรงกว่า รองรับการใช้งานในระยะยาว ความจุสูงสุด 2TB แฟลข Quad-LED แบบทูโทน รองรับ USB 4 (Thunderbolt 3) มีแอประดับโปรฯ เยอะ | หน้าจอใหญ่มาก ทนน้ำทนฝุ่น IP68 S Pen แถมมาในกล่อง หน่วยความจำเริ่มต้น 12GB รองรับ microSD โทรศัพท์ และรับส่ง SMS ได้ในตัว ชาร์จไวกว่า กล้องหลัง 2 ตัว กล้องหน้า 2 ตัว กล้องหน้ารองรับการถ่ายวิดีโอ 4K@30fps มีโหมด DeX ใช้งานแบบเดสก์ท็อป |
ราคา Galaxy Tab S9 Ultra และ iPad Pro M4 (13″)
หากอ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนคงมีตัวเลือกในใจกันแล้ว Galaxy Tab S9 Ultra ก็เป็นแท็บเล็ตตัวท็อปของ Android ส่วน iPad Pro M4 (13″) ก็เป็นแท็บเล็ตที่ดีที่สุดจาก Apple แต่ละรุ่นต่างมีจุดแข็งเป็นของตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องย้อนกลับมาพิจารณาปัจจัยเรื่องราคา เพราะถึงแม้ตัวเลือกจะตอบโจทย์ แต่ถ้างบประมาณไม่สอดคล้องกัน ก็คงไปด้วยกันไม่ได้ โดยแต่ละรุ่น มีราคาดังนี้
Galaxy Tab S9 Ultra รุ่น 5G
- ความจุ 12GB + 256GB – 44,900 บาท
iPad Pro M4 (13″) รุ่น Wi-Fi
- ความจุ 8GB + 256GB – 52,900 บาท
- ความจุ 8GB + 512GB – 60,900 บาท
- ความจุ 16GB + 1TB – 76,900 บาท (กระจกนาโน จ่ายเพิ่ม 4,000 บาท)
- ความจุ 16GB + 2TB – 92,900 บาท (กระจกนาโน จ่ายเพิ่ม 4,000 บาท)
iPad Pro M4 (13″) รุ่น Wi-Fi + Cellular
- ความจุ 8GB + 256GB – 60,900 บาท
- ความจุ 8GB + 512GB – 68,900 บาท
- ความจุ 16GB + 1TB – 84,900 บาท (กระจกนาโน จ่ายเพิ่ม 4,000 บาท)
- ความจุ 16GB + 2TB – 100,900 บาท (กระจกนาโน จ่ายเพิ่ม 4,000 บาท)
Apple Pencil
- Apple Pencil Pro – 4,990 บาท
- Apple Pencil (USB-C) – 3,190 บาท
*อ้างอิงราคากลางของ Samsung และ Apple ในปัจจุบัน
เทียบที่ความจุเท่ากัน ในรุ่นที่ใส่ซิมได้เหมือนกัน Galaxy Tab S9 Ultra และ iPad Pro M4 (13″) เบ็ดเสร็จต้องจ่ายที่ 44,900 บาท และ 60,900 บาท ตามลำดับ
หาก iPad Pro M4 (13″) บวก Apple Pencil รุ่นใดรุ่นหนึ่งเข้าไปด้วย ตีเป็นตัวเลขกลม ๆ ประมาณ 65,000 บาท ซึ่งราคาจะห่างกับ Galaxy Tab S9 Ultra ราว 20,000 บาท แต่ถ้าเน้นใช้งานแค่การจดโน้ตทั่ว ๆ ไปอย่างเดียว ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการวาดมากนัก ปากกาหัวยางธรรมดา หรือปากกา third-party ก็พอแก้ขัดได้ ในงบที่ย่อมเยาลงมา
สเปค iPad Pro M4 (11″) และ Galaxy Tab S9, Galaxy Tab S9+
iPad Pro M4 (11″) | Galaxy Tab S9 | Galaxy Tab S9+ | |
จอภาพ | Tandem OLED 11 นิ้ว 2420 x 1668 พิกเซล 264 ppi 120Hz สว่าง 1000 นิต สว่างสูงสุด 1600 นิต รองรับ HDR10 รองรับ Dolby Vision | Dynamic AMOLED 2X 11 นิ้ว 2560 x 1600 พิกเซล 274 ppi 120Hz สว่าง 420 นิต สว่างสูงสุด 750 นิต รองรับ HDR10+ | Dynamic AMOLED 2X 12.4 นิ้ว 2800 x 1752 พิกเซล 266 ppi 120Hz สว่าง 420 นิต สว่างสูงสุด 650 นิต รองรับ HDR10+ |
ปากกา | รองรับ Apple Pencil Pro รองรับ Apple Pencil (USB-C) | รองรับ S Pen | รองรับ S Pen |
ชิป | Apple M4 | Snapdragon 8 Gen 2 | Snapdragon 8 Gen 2 |
หน่วยความจำ | 8GB 16GB | 8GB | 12GB |
ความจุ | 256GB 512GB 1TB 2TB | 128GB รองรับ microSD | 256GB รองรับ microSD |
กล้องหลัง | 12MP (𝑓/1.8) เซนเซอร์ LiDAR แฟลช Quad-LED (True Tone) ถ่ายวิดีโอ 4K@60fps | กล้องหลัก 13MP (𝑓/2.0) แฟลช LED ถ่ายวิดีโอ 4K@30fps | กล้องหลัก 13MP (𝑓/2.0) กล้องอัลตราไวด์ 8MP (𝑓/2.2) แฟลช LED ถ่ายวิดีโอ 4K@30fps |
กล้องหน้า | กล้องอัลตราไวด์ 12MP MP (𝑓/2.4) ถ่ายวิดีโอ 1080p@60fps | กล้องอัลตราไวด์ 12MP (𝑓/2.4) ถ่ายวิดีโอ 4K@30fps | กล้องหลัก 12MP (𝑓/2.2) กล้องอัลตราไวด์ 12MP (𝑓/2.4) ถ่ายวิดีโอ 4K@30fps |
ลำโพง | สเตอรีโอ (4x) | สเตอรีโอ (4x) ปรับแต่งโดย AKG | สเตอรีโอ (4x) ปรับแต่งโดย AKG |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi 6E Bluetooth 5.3 | Wi-Fi 6E Bluetooth 5.3 | Wi-Fi 6E Bluetooth 5.3 |
พอร์ต | USB-C 4 (Thunderbolt 3) DisplayPort | USB-C 3.2 | USB-C 3.2 |
ซิมการ์ด | eSIM | Nano-SIM eSIM | Nano-SIM eSIM |
แบตเตอรี่ | 8160mAh ชาร์จไว 30W | 8400mAh ชาร์จไว 45W | 10090mAh ชาร์จไว 45W |
ระบบปฏิบัติการ | iPadOS 17 | Android 13 | Android 13 |
ความทนทาน | – | IP68 | IP68 |
ขนาด | 249.7 x 177.5 x 5.3 มม. | 254.3 x 165.8 x 5.9 มม. | 285.4 x 185.4 x 5.7 มม. |
น้ำหนัก | 444 กรัม (Wi-Fi ) 446 กรัม (Wi-Fi + Cellular ) | 498 กรัม | 586 กรัม |
วันเปิดตัว | 7 พฤษภาคม 2024 | 26 กรกฎาคม 2023 | 26 กรกฎาคม 2023 |
ราคาเริ่มต้น | 39,900 บาท |
ราคา Galaxy Tab S9, Galaxy Tab S9+ และ iPad Pro M4 (11″)
สำหรับคนที่มองว่า Galaxy Tab S9 Ultra และ iPad Pro M4 (13″) มีหน้าจอใหญ่เกินไป พกพา หรือจับถือไม่สะดวก อยากได้เครื่องตัวมีขนาดกะทัดรัดลงมาอีกนิด ทาง Samsung กับ Apple ก็มีตัวเลือกเพิ่มเติมคือ Galaxy Tab S9, Galaxy Tab S9+ และ iPad Pro M4 (11″) ซึ่งทั้งหมดก็ยังเป็นแท็บเล็ตกลุ่มเรือธง ฮาร์ดแวร์ ฟีเจอร์ ฟังก์ชัน จัดเต็มทุกภาคส่วน ในขนาดหน้าจอที่เล็กลงมานิดหน่อย
Galaxy Tab S9 รุ่น Wi-Fi
- ความจุ 8GB + 128GB – 23,900 บาท
Galaxy Tab S9+ รุ่น 5G
- ความจุ 12GB + 256GB – 30,900 บาท
iPad Pro M4 (11″) รุ่น Wi-Fi
- ความจุ 8GB + 256GB – 39,900 บาท
- ความจุ 8GB + 512GB – 47,900 บาท
- ความจุ 16GB + 1TB – 63,900 บาท (กระจกนาโน จ่ายเพิ่ม 4,000 บาท)
- ความจุ 16GB + 2TB – 79,900 บาท (กระจกนาโน จ่ายเพิ่ม 4,000 บาท)
iPad Pro M4 (11″) รุ่น Wi-Fi + Cellular
- ความจุ 8GB + 256GB – 47,900 บาท
- ความจุ 8GB + 512GB – 55,900 บาท
- ความจุ 16GB + 1TB – 71,900 บาท (กระจกนาโน จ่ายเพิ่ม 4,000 บาท)
- ความจุ 16GB + 2TB – 87,900 บาท (กระจกนาโน จ่ายเพิ่ม 4,000 บาท)
*อ้างอิงราคากลางของ Samsung และ Apple ในปัจจุบัน
Comment