จบไปเรียบร้อยแล้วสำหรับงาน Apple Event ทิ้งทวนปี 2020 ซึ่งภายในงานมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่จาก Apple ถึง 5 อย่างด้วยกัน แต่ที่เราจะนำมาพูดถึงกันในบทความนี้คือ iPhone 12 และ 12 mini นั่นเอง โดยคู่ชกจากฝั่ง Android ที่จะนำมาขึ้นสังเวียนเปรียบเทียบนั้นได้แก่ Galaxy S20 FE ของ Samsung ที่อยู่ในเซกเมนต์เดียวกัน แถมยังมีราคาเริ่มต้นที่ใกล้เคียงกันมาก ๆ ราว 2 หมื่นต้น ๆ อีกด้วย
สเปค iPhone 12, iPhone 12 mini, Galaxy S20 FE
iPhone 12 | iPhone 12 mini | Galaxy S20 FE | |
หน้าจอ | OLED ขนาด 6.1 นิ้ว 2532 x 1170 พิกเซล (460 ppi) HDR | OLED ขนาด 5.4 นิ้ว 2340 x 1080 พิกเซล (476 ppi) HDR | sAMOLED ขนาด 6.5 นิ้ว 2400 x 1080 พิกเซล (407 ppi) อัตรารีเฟรช 120Hz HDR10+ |
ชิปเซ็ต | Apple A14 Bionic (5G) | Samsung Exynos 990 (4G) Qualcomm Snapdragon 865 (5G) | |
RAM | ยังไม่มีข้อมูล | 8GB LPDDR5 | |
ความจุ | 64GB / 128GB / 256GB | 128GB / 256GB UFS 3.0 รองรับ microSD card สูงสุด 1TB | |
กล้องหลัง |
|
| |
กล้องหน้า | True Depth 12MP, ƒ/2.2 Deep Fusion | 32MP, ƒ/2.2 | |
เสียง | ลำโพงคู่สเตอรีโอ | ||
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi 6, Bluetooth 5.0, NFC | ||
พอร์ต | Lightning | USB Type-C | |
แบตเตอรี่ |
|
| |
OS | iOS 14 | One UI 2.5 บน Android 10 | |
ราคาเริ่มต้น | ≈24,900 บาท | ≈21,900 บาท | 20,900 บาท |
หน้าจอแสดงผล
นาทีนี้คงปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่า หน้าจอชนิด OLED ได้กลายมาเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักในการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนของหลาย ๆ คนไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยข้อดีต่าง ๆ มากมาย เช่น มีสีสันที่จัดจ้านและแม่นยำ ทำความสว่างได้สูงมากพอที่จะใช้งานกลางแจ้งได้ ไปจนถึงความสามารถการแสดงผลสีดำได้มืดสนิท เป็นต้น
เป็นเรื่องที่น่ายินดีว่า ทั้ง iPhone 12, iPhone 12 mini และ Galaxy S20 FE ต่างก็ใช้หน้าจอ OLED ความละเอียด Full HD+ เหมือนกันทั้งหมด โดย iPhone 12 และ iPhone 12 mini มีคอนทราสต์เรโชเท่ากับ 2,000,000:1 ซึงถือเป็นค่าที่สูงมาก (แปลว่าดี) แต่ Samsung ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดในส่วนนี้กับสมาร์ทโฟนของตัวเอง จึงยังไม่มีข้อมูลที่เอามาเทียบกันได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีจุดต่างกันหลัก ๆ อยู่ 3 ข้อที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนในหัวข้อนี้
ข้อแรกคือ “สิ่งรบกวนสายตาบนหน้าจอ” โดย iPhone 12 และ iPhone 12 mini จะมาพร้อมกับรอยบากที่กินพื้นที่บริเวณด้านบนไปพอสมควร ในขณะที่ Galaxy S20 FE เลือกใช้หน้าจอเจาะรูแบบ Infinity-O ซึ่งมีขนาดที่เล็กกว่ามาก ดังนั้นจึงอาจจะดูน่ารำคาญน้อยกว่า (?)
ข้อถัดมาคือ “ขนาดของหน้าจอ” ที่ก็ยังน่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนสักเครื่องเช่นกัน เพราะมันมีผลทั้งในเรื่องของการจับถือ การพกพา และการรับชมคอนเทนต์ ซึ่งก็จะแตกต่างกันไปตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน โดย iPhone 12 และ iPhone 12 mini มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.1 นิ้ว และ 5.4 นิ้ว ตามลำดับ ส่วน Galaxy S20 FE นั้นมีขนาดหน้าจอตามแนวทแยงที่สูงกว่าใครเพื่อน ที่ 6.5 นิ้ว อย่างไรก็ตาม สัดส่วนหน้าจอของ S20 FE ค่อนข้างยาว ดังนั้นด้านกว้างจึงไม่แตกต่างจาก iPhone 12 สักเท่าไหร่
ส่วนข้อสุดท้าย เป็นข้อที่ Galaxy S20 FE ยืดอกได้อย่างภูมิใจว่าเหนือกว่า นั่นก็คือ รีเฟรชเรทที่สูงถึง 120Hz แสดงผลได้อย่างลื่นไหลเนียนตา ในขณะที่ iPhone 12 และ iPhone 12 mini มีรีเฟรชเรท 60Hz เท่านั้น
ประสิทธิภาพการใช้งาน
สมาร์ทโฟนทั้ง 3 รุ่น อยู่ในเซกเมนต์เดียวกัน คือ สมาร์ทโฟนระดับเรือธง (รุ่นเล็ก) ทั้งหมดต่างก็มาพร้อมกับชิปเซ็ตระดับท็อปของปีนี้ โดย iPhone 12 และ iPhone 12 mini จะขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต A14 Bionic สุดทรงพลัง ส่วน Galaxy S20 FE จะแบ่งเป็นรุ่นย่อย 2 โมเดล คือ รุ่น Exynos 990 ที่รองรับการเชื่อมต่อเพียงแค่ 4G และรุ่นท็อป Snapdragon 865 ที่สามารถใช้งาน 5G ได้
หากวัดกันที่ความแรงด้านการประมวลผล A14 Bionic ของ Apple ดูจะเป็นต่อ แต่ Exynos 990 และ Snapdragon 865 เองก็อยู่ในระดับสูงมากเช่นกัน เพียงพอต่อการใช้งานในปัจจุบันและเล่นเกมกราฟิกโหด ๆ ได้แทบทุกอย่างแล้ว และในหัวข้อนี้ยังมีเรื่องของระบบปฏิบัติการเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ระหว่าง iOS กับ Android ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบอีกนั่นแหละ
ส่วนเรื่องหน่วยความจำอาจไม่ใช่สาระสำคัญอะไร เพราะทั้ง iPhone 12, iPhone 12 mini และ Galaxy S20 FE มีสตอเรจสูงสุดที่ 256GB เท่ากันทั้งหมด แต่สมาร์ทโฟนของ Samsung อาจจะได้เปรียบเล็กน้อยตรงที่รองรับ microSD card เพิ่มได้อีกถึง 1TB
กล้องและการถ่ายภาพ
iPhone 12 และ iPhone 12 mini มีกล้องหลังจำนวน 2 ตัว ประกอบด้วย กล้องหลัก 12MP + กล้องอัลตร้าไวด์ 12MP มุมกว้าง 120 องศา ฝั่ง Galaxy S20 FE เองก็มีกล้องหลัก + กล้องอัลตร้าไวด์ความละเอียด 12MP เช่นกัน แต่จะให้ภาพมุมกว้างกว่าเล็กน้อย ที่ 123 องศา และถือไพ่เหนือกว่าเล็กน้อยด้วยกล้องตัวที่ 3 ซึ่งเป็นกล้องเทเลโฟโต้ที่มีความสามารถในการซูมออปติคอลที่ 3 เท่า
ด้านการถ่ายวิดีโอ ทั้งหมดทำได้เทียบเท่ากัน สูงสุด 4K ที่ 60 fps แต่เรื่องของผลลัพธ์คงจะสรุปอะไรไม่ได้ เพราะการถ่ายภาพไม่สามารถตัดสินได้ด้วยสเปคหน้ากระดาษเพียงอย่างเดียว เราคงต้องมารอดูรีวิวการใช้งานจริงไปพร้อม ๆ กันอีกที แต่ที่ iPhone 12 และ iPhone 12 mini เจ๋งกว่าคือ รองรับการถ่ายวิดีโอบนมาตรฐาน Dolby Vision เป็นรุ่นแรกของโลก สามารถนำไฟล์ไปทำการเกลี่ยหรือย้อมสี (color grading) ต่อในภายหลังได้
เสียงและการฟังเพลง
หัวข้อนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรให้พูดถึงเท่าไหร่ เพราะทั้ง iPhone 12, iPhone 12 mini และ Galaxy S20 FE ต่างก็มีลำโพงสเตอรีโอคู่บนและล่างเหมือน ๆ กัน แถมยังไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.ไม่ต่างกันอีกต่างหาก ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่มีมาให้ แม้จะมีหูฟังที่เป็นหัว Lightning และ USB Type-C ที่เชื่อมต่อได้โดยตรงก็จริง แต่ก็มีตัวเลือกไม่มากนักในตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับใครที่มีหูฟังตัวโปรดอยู่แล้วอาจต้องใช้งานผ่านอะแดปเตอร์อย่างเลี่ยงไม่ได้
แบตเตอรี่
ทาง Apple ไม่ได้มีการเปิดเผยถึงความจุแบตเตอรี่ของ iPhone 12 และ iPhone 12 mini แต่อย่างใด บอกเพียงแค่ว่า รองรับชาร์จไว 20W ผ่านสาย Lightning หรือ 15W หากชาร์จแบบไร้สายด้วย MagSafe
ซึ่งเจ้า MagSafe นี่ก็ถือเป็นไฮไลท์เด็ดเช่นกัน มันคือแผ่นแม่เหล็กที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเครื่องของ iPhone 12 และ iPhone 12 Mini นอกจากจะทำหน้าที่เป็นตัวยึดระหว่างโทรศัพท์กับแท่นชาร์จไร้สายแล้ว มันยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการติดอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ได้ด้วย เช่น ซองใส่นามบัตร ตามที่เห็นได้จากในงานเปิดตัว และในอนาคตรับประกันได้เลยว่า มีอย่างอื่นตามมาอีกเพียบแน่นอน
กลับมาเข้าเรื่องแบตเตอรี่กันต่อ ฝั่ง Galaxy S20 FE มีความจุแบตเตอรี่เท่ากับ 4500mAh พอใช้งานได้ตลอดทั้งวัน และรองรับชาร์จไว 25W แถมอะแดปเตอร์ให้มาเลยในกล่อง แตกต่างจาก iPhone 12 และ iPhone 12 mini ที่ไม่แถมทั้งอะแดปเตอร์และหูฟัง ให้มาเพียงแค่สาย Lightning to USB Type-C เส้นเดียว
วัสดุและความทนทาน
ในงานเปิดตัว Apple ได้ชูจุดเด่นของ iPhone 12 และ iPhone 12 mini ว่า เป็นสมาร์ทโฟนที่มีกระจกหน้าจอแข็งแกร่งกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นไหน ๆ ด้วยกระจก Ceramic Shield ที่เกิดจากการนำผลึกเซรามิกระดับนาโนผสมลงไปในกระจกด้วยกระบวนการผลิตแบบพิเศษ ทำให้ทนการกระแทกได้ดี ส่วนฝาหลังก็เป็นกระจกเช่นกัน แต่จะไม่ใช่ Ceramic Shield
สำหรับใครที่ชื่นชอบความหรูหรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ชอบใช้งานแบบไม่ใส่เคส อาจมีสิ่งที่ต้องพิจารณากับ Galaxy S20 FE บ้างเล็กน้อย เพราะสมาร์ทโฟนรุ่นนี้เลือกใช้วัสดุฝาหลังเป็นพลาสติก แม้ Samsung จะตั้งชื่อให้ดูดีว่า Reinforced Polycarbonate แต่พลาสติกก็คือพลาสติกอยู่ดี แต่ในทางตรงข้าม วัสดุชนิดนี้ก็มีข้อดีตรงที่ตกแล้วไม่แตก เพราะมีความยืดหยุ่นสูง นอกจากนี้ Galaxy S20 FE ยังมีความสามารถกันน้ำได้ตามมาตรฐาน IP68 เช่นเดียวกับ iPhone 12 และ iPhone 12 mini
สตอเรจและราคา
ที่ต้องจับเอา 2 หัวข้อนี้มารวมกันนั่นก็เป็นเพราะว่า ทั้ง Apple และ Samsung ได้ซอย iPhone 12, iPhone 12 mini และ Galaxy S20 FE ออกเป็นรุ่นย่อย ๆ ตามหน่วยความจำ โดยมีราคาดังนี้
iPhone 12
- 64GB / 128GB / 256GB – ราคาเริ่มต้น 799 เหรียญ (≈24,900 บาท)
iPhone 12 mini
- 64GB / 128GB / 256GB – 699 เหรียญ (≈21,900 บาท)
Galaxy S20 FE
- Galaxy S20 FE (4G) : 8GB + 128GB – ราคา 20,900 บาท
- Galaxy S20 FE (5G) : 8GB + 128GB – ราคา 23,900 บาท
- Galaxy S20 FE (5G) : 8GB + 256GB – ราคา 25,900 บาท
เนื่องจาก Galaxy S20 FE มีรุ่น 4G ให้เลือก จึงมีราคาเริ่มต้นที่ถูกกว่า iPhone 12 mini ราว ๆ 2,000 บาท (หลังคำนวณภาษีแล้ว) แถมยังมีสตอเรจที่มากกว่าถึง 2 เท่าด้วย แต่ก็จะเสียความสามารถในการรองรับ 5G ไป เป็นสิ่งที่ต้องแลกมา ถ้าอยากได้ชิป Snapdragon 865 พร้อม 5G ต้องเพิ่มเงินอีกประมาณ 3000 – 5000 บาท
ฝั่ง iPhone มีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 22,000 บาท ในรุ่น iPhone 12 mini และประมาณ 25,000 บาท ในรุ่น iPhone 12 ธรรมดา (ไม่รวมภาษี) มองเผิน ๆ เหมือนเป็นราคาที่น่าคบหาไม่เบา แต่สตอเรจ 64GB อาจเป็นเครื่องหมายคำถามตัวเป้งว่า เพียงพอต่อการใช้งานหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่พอก็ต้องเพิ่มเงินไปซื้อรุ่น 128GB หรือ 256GB แทน ราคาก็อาจจะขยับไปอีกระดับนึงเลย
บทสรุป
ถ้าว่ากันตามตรง มันเป็นเรื่องยากมาก ๆ ที่จะไปฟันธงว่าสมาร์ทโฟนรุ่นไหนคุ้มกว่ากัน กับในกรณีนี้ที่คู่เปรียบเทียบเป็นมือถือต่าง OS แถมทั้งคู่ก็ยังมีภาพรวมที่สูสี และมีจุดเด่นที่น่าสนใจแบบแลกกันคนละหมัดอีกต่างหาก
ฝั่ง iPhone 12 และ iPhone 12 mini ก็มีกระจกหน้าจอ Ceramic Shield สุดแกร่ง ชิป A14 Bionic สุดแรง หรือแม้แต่ MagSafe ที่เป็นจุดขายใหม่ ทาง Galaxy S20 FE เองก็ไม่น้อยหน้า ด้วยจอภาพ 120Hz กล้องหลัง 3 ตัวที่มีเลนส์เทเลโฟโต้ ทำให้มีระยะการถ่ายภาพที่ครอบคลุมมากกว่า และมีพอร์ตเป็น USB Type-C ที่รองรับการเชื่อมต่อได้หลากหลายและหาอุปกรณ์เสริมง่ายกว่า เป็นต้น
สุดท้ายคงต้องมาดูกันว่า สมาร์ทโฟนรุ่นไหนจากทั้ง 3 รุ่นนี้ มีจุดเด่นที่โดนใจและตอบโจทย์การใช้งานของเรามากที่สุด เพราะแต่ละคนก็มีพฤติกรรมการใช้งานและไลฟ์สไตล์ที่ไม่เหมือนกันนั่นเองครับ
วัสดุต่างกันลิบลับ
" สำหรับใครที่ชื่นชอบความหรูหรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ชอบใช้งานแบบไม่ใส่เคส อาจมีสิ่งที่ต้องพิจารณากับ Galaxy S20 FE บ้างเล็กน้อย เพราะสมาร์ทโฟนรุ่นนี้เลือกใช้วัสดุฝาหลังเป็นพลาสติก แม้ Samsung จะตั้งชื่อให้ดูดีว่า Reinforced Polycarbonate แต่พลาสติกก็คือพลาสติกอยู่ดี "
"กระจกก็คือกระจกและกระจกแตกหักได้"
Reinforced Polycarbonate ถึงแม้มันจะเป็นพลาสติก(เสริมแรง) แต่มันตกไม่แตก บิดไม่หัก แล้วด้วยความที่มันเป็นพลาสติกผสมพิเศษ มันก็ทนรอยขีดข่วนได้ระดับหนึ่ง คุณสามารถใช้โดยไม่ต้องใส่เคสเวลาจับถือมั่นใจว่าตกยังไงก็ไม่แตก ข้อเสียของมันแค่อย่างเดียว คือ สัมผัสมันไม่พรีเมี่ยมเท่ากระจก
ส่วนของ iPhone 12 มันเป็นกระจกยังไงมันก็มีโอกาสแตก คุณได้ความพรีเมี่ยมในแรกเห็นแรกจับ แต่สุดท้ายคุณมั่นใจมากแค่ไหนว่าคุณจะไม่ทำตก คุณก็ต้องตัดสินใจใส่เคส พอใส่เคสทุกอย่างที่คุณได้พบเจอในตอนแรกมันก็หายไป คุณก็ได้สัมผัสแต่เคส
อีกอย่าง Reinforced Polycarbonate มันไม่ได้แค่ชื่อหรอกครับ โอเคมันมีพื้นฐานเป็นพลาสติก แต่พลาสติกมันก็มีหลายรูปแบบ แบบแตกง่ายไปยันทนทานสูง
ภาษาเขียน bias เกิ้น พลาสติกแล้วยังไงวะ มันก็มีข้อดีของมัน มันไม่ใช่พลาสติกกะโหลกๆ ซะหน่อย
ทำไมไม่มีรู 3.5 แล้วต้องใช้หูฟังผ่านอแดปเตอร์หรือบลูทูธแบบเลี่ยงไม่ได้ล่ะ ในเมื่อมันมีหูฟังที่เสียบกับพอร์ต tupe c แล้วก็ lightning ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับใครที่มีหูฟังตัวโปรดอยู่แล้วอาจต้องใช้งานผ่านอะแดปเตอร์อย่างเลี่ยงไม่ได้
น่าจะหมายถึงคนที่ซื้อหูฟังดีๆ ที่เป็น 3.5mm นะครับ