สัปดาห์นี้มีประเด็นเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของ iPhone ที่น่าสนใจเกิดขึ้น คือมีข่าวลือว่า iPhone 16 Plus ที่จะเผยโฉมในปีนี้ อาจเป็น iPhone รุ่นพลัสรุ่นสุดท้าย แล้วในปีหน้าก็จะไม่มี iPhone 17 Plus อีกต่อไป แต่ iPhone 17 series ก็จะยังมี 4 รุ่นตามเดิม เพราะ Apple จะเปิดตัว iPhone 17 Slim มาเติมเต็ม ข่าวลือข้างต้น มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น มาหาคำตอบไปพร้อมกันได้ในบทความนี้
iPhone รุ่น Plus ไม่เคยเป็นที่นิยม
สาเหตุหลักของการที่ iPhone รุ่น Plus ไม่ได้ไปต่อ โดยมี iPhone 16 Plus เป็นรุ่นทิ้งทวนส่งท้าย ส่วนสำคัญคงมาจากประเด็นเรื่องยอดขาย โดยรายงานจากบริษัทวิจัยตลาดและนักวิเคราะห์ตลาดทุกสำนัก บ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า iPhone รุ่น Plus ไม่เคยเป็นที่นิยม ซึ่ง Ming Chi Kuo เคยออกมาให้ข้อมูลว่า ปกติแล้ว iPhone รุ่น Plus จะมียอดขายเพียง 5% หรืออย่างมากก็ไม่เกิน 10% เมื่อเทียบกับ iPhone ทุกโมเดล กล่าวคือ นับเฉพาะ iPhone รุ่นมาตรฐาน รุ่น Pro และรุ่น Pro Max ก็มียอดขายรวมกันเกิน 90% เข้าไปแล้ว
หรือหากพิจารณาจากข้อมูลที่เป็นรูปธรรมกว่านั้น เช่น รายงาน ’10 อันดับมือถือที่ขายดีที่สุดในโลก’ จาก Counterpoint ตอนปี 2023 ก็ไม่มี iPhone 14 Plus ปรากฏในรายชื่อ กลับกัน iPhone 13 จากเจเนอเรชันก่อนที่มีอายุห่างกัน 1 ปี ยังมียอดขายสูงกว่าด้วยซ้ำไป
มือถือขายดีสุดในโลก ปี 2023
- iPhone 14 – 3.9%
- iPhone 14 Pro Max – 2.8%
- iPhone 14 Pro – 2.4%
- iPhone 13 – 2.2%
- iPhone 15 Pro Max – 1.7%
- iPhone 15 Pro – 1.4%
- iPhone 15 – 1.4%
- Galaxy A14 5G – 1.4%
- Galaxy A04e – 1.3%
- Galaxy A14 – 1.3%
ส่วนปี 2024 ก็ส่อแววจะซ้ำรอยเดิม เพราะถึงแม้ iPhone 15 Plus จะมีชื่อติดโผมาในลำดับที่ 8 ตอนไตรมาส 1 แต่เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ตามรายงานฉบับล่าสุด ก็หลุดชาร์จไปเป็นที่เรียบร้อย และเฉกเช่นเดียวกับปีก่อน คือ iPhone 14 ก็ยังขายดีกว่า iPhone 15 Plus ตามเดิม
มือถือขายดีสุดในโลก ไตรมาส 2 ปี 2024
- iPhone 15 – 4.1%
- iPhone 15 Pro Max – 3.7%
- iPhone 15 Pro – 3.1%
- Galaxy A15 5G – 2.0%
- Galaxy A15 – 1.8%
- iPhone 14 – 1.6%
- Galaxy A55 5G – 1.5%
- Redmi 13C – 1.5%
- Galaxy S24 Ultra – 1.4%
- Galaxy A05 – 1.4%
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
iPhone รุ่น Plus และรุ่น Pro มีข้อแตกต่างสำคัญ 2 ประการ อย่างแรกคือ สเปค โดย iPhone รุ่น Plus เปรียบได้กับการเอา iPhone รุ่นมาตรฐานมาขยายร่าง ให้มีขนาดจอใหญ่ขึ้นมาอีกนิด และได้แบตเตอรี่เพิ่มมาอีกหน่อย ส่วนรุ่น Pro เป็นการขยับฮาร์ดแวร์ไปอีกระดับ ทั้งจออัตรารีเฟรชสูง ชิปรุ่นล่าสุดของปีนั้น ๆ ชุดกล้องหลังจัดเต็ม และวัสดุพรีเมียม เป็นต้น
เทียบสเปค iPhone 14 Plus และ iPhone 14 Pro
iPhone 14 Plus | iPhone 14 Pro | |
จอภาพ | OLED ขนาด 6.7 นิ้ว อัตรารีเฟรช 60Hz | OLED ขนาด 6.1 นิ้ว อัตรารีเฟรช 120Hz รองรับ Dynamic Island รองรับ Always-On display |
ชิปเซต | A15 Bionic | A16 Bionic |
ความจุ | สูงสุด 6 + 512GB | สูงสุด 6GB + 1TB |
กล้องหลัง | 12 + 12MP | 48 + 12 + 12MP ซูมออปติคัล 3 เท่า |
กล้องหน้า | 12MP | 12MP |
ลำโพง | สเตอรีโอ | สเตอรีโอ |
เครือข่าย | 5G | 5G |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi 6 Bluetooth 5.3 NFC Ultra Wideband USB 2.0 | Wi-Fi 6 Bluetooth 5.3 NFC Ultra Wideband USB 2.0 |
แบตเตอรี่ | 4323mAh | 3200mAh |
ทนน้ำทนฝุ่น | IP68 | IP68 |
ระบบปฏิบัติการ | iOS 16 | iOS 16 |
วัสดุ | อะลูมิเนียม + กระจก | สเตนเลส + กระจก |
Apple Intelligence | ไม่รองรับ | ไม่รองรับ |
ราคา | เริ่มต้น 37,900 บาท | เริ่มต้น 41,900 บาท |
เทียบสเปค iPhone 15 Plus และ iPhone 15 Pro
iPhone 15 Plus | iPhone 15 Pro | |
จอภาพ | OLED ขนาด 6.7 นิ้ว อัตรารีเฟรช 60Hz รองรับ Dynamic Island | OLED ขนาด 6.1 นิ้ว อัตรารีเฟรช 120Hz รองรับ Dynamic Island รองรับ Always-On display |
ชิปเซต | A16 Bionic | A17 Pro |
ความจุ | สูงสุด 6 + 512GB | สูงสุด 8GB + 1TB |
กล้องหลัง | 48 + 12MP | 48 + 12 + 12MP ซูมออปติคัล 3 เท่า |
กล้องหน้า | 12MP | 12MP |
ลำโพง | สเตอรีโอ | สเตอรีโอ |
เครือข่าย | 5G | 5G |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi 6 Bluetooth 5.3 NFC Ultra Wideband USB 2.0 (รองรับ DP) | Wi-Fi 6e Bluetooth 5.3 NFC Ultra Wideband USB 3.2 Gen 2 (รองรับ DP) |
แบตเตอรี่ | 4383mAh | 3274mAh |
ทนน้ำทนฝุ่น | IP68 | IP68 |
ระบบปฏิบัติการ | iOS 17 | iOS 17 |
วัสดุ | อะลูมิเนียม + กระจก | ไทเทเนียม + กระจก |
Apple Intelligence | ไม่รองรับ | รองรับ |
ราคา | เริ่มต้น 37,900 บาท | เริ่มต้น 41,900 บาท |
ข้อแตกต่างอย่างถัดมาคือ ราคา ซึ่ง iPhone รุ่น Plus และรุ่น Pro มีราคาต่างกัน 4,000 บาท เท่ากันทั้ง iPhone 14 series และ iPhone 15 series หรือคิดตามสกุลเงินสหรัฐฯ และยุโรปที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุดของ iPhone ก็จะห่างกันที่ 100 ดอลลาร์ และ 110 ยูโร ตามลำดับ
นอกจากนี้ ใน iPhone 15 Pro รุ่นปัจจุบัน ยังมีข้อแตกต่างประการที่ 3 เพิ่มมา นั่นคือ ฟีเจอร์ Apple Intelligence จากขุมพลัง AI ซึ่ง iPhone 15 Plus ไม่รองรับ เนื่องจาก (คาดว่า) มีแรมไม่พอ
เมื่อพิจารณาจากผลลัพธ์ของยอดขายที่ออกมา คงพอสรุปได้ว่า iPhone รุ่น Plus และรุ่น Pro มีราคาใกล้เคียงกันเกินไป จนคนส่วนใหญ่อาจมองว่า ส่วนต่างประมาณ 4,000 บาท กับสิ่งที่ได้เพิ่มมาในรุ่น Pro นั้นคุ้มค่ากว่า โดยเฉพาะประเทศในแถบสหรัฐฯ และยุโรป ที่มีกำลังซื้อสูง ด้วยส่วนต่างเพียงน้อยนิด (เทียบตามรายได้เฉลี่ย) คงตัดสินใจเลือกซื้อรุ่น Pro ได้ไม่ยากอะไรนัก
การตัดสินค้าที่ขายไม่ดีออก ไม่ใช่ครั้งแรก
แฟน ๆ iPhone หลายคนอาจพอจำกันได้ว่า iPhone 12 mini ที่เปิดตัวในปี 2020 ก็เคยตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับ iPhone 15 Plus ในปัจจุบันมาแล้ว คือ iPhone 12 mini ไม่ได้รับความนิยม จนกระแสข่าวถาโถมอย่างหนักว่า Apple จะไม่เปิดตัว iPhone 13 mini อีกต่อไป แม้สุดท้าย iPhone 13 mini จะได้ไปต่อหลังจากนั้นอีก 1 ปี แต่ก็โดน Apple เขี่ยทิ้งในท้ายที่สุด และแทนที่ด้วย iPhone 14 Plus ในปีถัดมา ตามเทรนด์มือถือยุคใหม่ที่จอใหญ่มาแรงกว่า (อาจมีข้อยกเว้นในบางตลาด เช่น ญี่ปุ่น แต่ก็ถือเป็นส่วนน้อย)
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า การที่ Apple ตัดสินใจหั่นชื่อสินค้าที่ขายไม่ดีออก อยู่ในขอบเขตที่เป็นไปได้ เพราะถึงอย่างไรแล้ว รายรับและกำไรย่อมเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในลำดับแรก ๆ ในโลกธุรกิจ การฝืนกระแสทวนน้ำต่อไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา หากไม่ปรับเปลี่ยนแนวทาง ก็คงต้องยุติการผลิตไป ซึ่งตอนนี้มีแนวโน้มที่ Apple จะเลือกอย่างหลัง โดยให้ iPhone 16 เป็น iPhone รุ่น Plus รุ่นสุดท้าย
iPhone 17 Slim ทำกำไรได้มากกว่า
อีกสาเหตุของการจากไปของ iPhone 17 Plus อาจเป็นเพราะ Apple จะเปิดตัว iPhone 17 Slim ในปี 2025 ซึ่งรุ่นนี้ไม่ได้มาแทน iPhone 17 Plus โดยตรง แต่เป็นไลน์อัปใหม่ที่ Apple ทำออกมาชูจุดขายด้านดีไซน์ที่ฉีกไปจากเดิม ๆ ด้วยตัวเครื่องที่บางเบาเป็นพิเศษ ในแนวทางเดียวกับ iPad Pro M4 และประเด็นสำคัญคือ iPhone 17 Slim จะไม่ได้ถูกให้ความสำคัญกับสเปคมากนัก โดยจะมีกล้องหลังเพียงตัวเดียว และขับเคลื่อนด้วยชิป A16 Bionic แทนที่จะเป็น A16 Pro เหมือนอย่าง iPhone 17 Pro
ยิ่งไปกว่านั้น iPhone 17 Slim ยังเป็นมือถือรุ่นแรก ๆ ของที่ Apple จะนำโมเดม 5G ที่พัฒนาเองมาใช้งาน เพื่อลดการพึ่งพา Qualcomm ด้วยปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ Apple ควบคุมและประหยัดต้นทุนด้านวัสดุและชิ้นส่วนไปได้มาก (เครื่องบางลง ใช้วัสดุน้อยลง กล้องอัลตราไวด์ กับกล้องเทเลโฟโต ไม่ได้ใส่มา ชิปก็ไม่ใช่ตัวท็อป)
ต้นทุนชิ้นส่วน iPhone 15 Pro Max
- จอภาพ – 115 ดอลลาร์
- เฟรมเครื่อง – 50 ดอลลาร์
- ชิปเซต – 130 ดอลลาร์
- กล้องเทเลโฟโต – 30 ดอลลาร์
*ประเมินโดย Nikkei
ขณะเดียวกัน The Information ได้รายงานว่า iPhone 17 Slim จะมีราคาแพงสุด ๆ อาจแพงยิ่งกว่า iPhone 17 Pro Max ด้วยซ้ำไป ดังนั้นอัตรากำไรต่อเครื่องจึงสูงตามไปด้วย
เท่ากับว่า การมาของ iPhone 17 Slim จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างรายรับที่หายไปของ iPhone 17 Plus ได้อย่างไร้รอยต่อ และไม่แน่ว่า iPhone 17 Slim อาจกลายมาเป็น game-changer ของ Apple ไปเลยก็เป็นได้ หลัง iPhone ไม่มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์มานาน แล้วในที่สุดก็มีรุ่นใหม่ที่ให้ความรู้สึก ‘แปลกใหม่’ โผล่มา ซึ่งเป็นความรู้สึกที่แฟน ๆ ไม่ได้สัมผัสมาหลายปีแล้ว ย่อมมีแนวโน้มจะสร้างแรงดึงดูดได้มากกว่าอะไรเดิม ๆ
อย่างไรก็ดี ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา เป็นการวิเคราะห์โดยอ้างอิงจากข่าวลือทั้งสิ้น และกว่า iPhone 17 series จะเปิดตัวก็ยังเหลือเวลาอีกนาน หากในช่วงเวลาที่เหลือถัดจากนี้จะมีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้น ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อย่างไรแล้วคงต้องติดตามดูต่อไปว่า ทิศทางของ iPhone ในปี 2026 สุดท้ายจะออกมาในรูปแบบไหนกันแน่
น่าสนใจว่าจะสูบแบตเหมือนไอโฟนตัวอื่นๆ ไหม ทุกวันนี้ series Pro เฉยๆ ก็แบตอยู่ไม่ถึงวันแล้ว
จะ Plus จะ Slim จะ Pro ลงข้อมูลผิดหลายจุดจัง ตรวจสอบก่อนโพสข่าวหน่อยนะครับ
ถึงข่าวหน้าเว็บจะไม่ค่อยสำคัญเท่าคอนเท้นวีดีโอแล้วก็เถอะ
แก้ไขแล้วครับ จะระมัดระวังมากขึ้นนะครับ
อย่าว่าแต่มันดูถูกคนไทย ผู้บริโภคก็ยังดูถูก ถ้าข่าวลือนี่เป็นจริง Iphoneรุ่นนี้จะต่อยอดเป็นเครื่องประดับอวดรวย หรือที่วางทับกระดาษสุดหรู แถมมอบสิทธิพิเศษ ได้เป็นหนูทดลองสินค้าให้appleที่ไม่มีมาตรฐาน แถมios เวอร์ชั่นใหม่ๆที่อัพเกรดแต่ละครั้งแถมBugทุกรุ่น OMG!