เปิดตัวไปเรียบร้อยแล้ว กับ iPhone SE ที่อยู่ๆ ก็มากันแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง โดยมือถือรุ่นนี้มีดีไซน์และสเปคต่างๆ ตามข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้านี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ตัวเครื่องที่แทบจะถอดแบบมาจาก iPhone 8 แต่ว่ามากับสเปคเทพๆ ของ iPhone 11 ซะด้วย…ว่าแล้วเราก็เลยเอา iPhone ทั้ง 3 รุ่น มาเทียบให้ดูกันซะเลยว่าแต่ละรุ่นแตกต่างกันตรงไหนบ้าง ระหว่าง iPhone SE, iPhone 8 และ iPhone 11

ก่อนอื่นมาดูที่ตารางเปรียบเทียบสเปคของ iPhone แต่ละรุ่นกันก่อนนะครับ ว่ารุ่นไหนมีสเปคเป็นยังไงกันบ้าง

สเปคiPhone SE (2020)iPhone 8iPhone 11
หน้าจอRetina ขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 750 x 1334 (326 ppi)Retina ขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 750 x 1334 (326 ppi)Liquid Retina ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1792 x 828 (326 ppi)
CPUA13 BionicA11 BionicA13 Bionic
RAM3GB2GB4GB
ความจุ64GB / 128GB / 256GB64GB / 256GB64GB / 128GB / 256GB
กล้องหลังWide 12MP (f/1.8)Wide 12MP (f/1.8)Wide 12MP (f/1.8) + OIS
Ultra Wide 12MP (f/2.0) 120° + OIS
กล้องหน้า7MP (f/2.2) 7MP (f/2.2)12MP (f/2.2)
การเชื่อมต่อWi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, dual-band, hotspot, Bluetooth 5.0Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, hotspot
Bluetooth 5.0
Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, dual-band, hotspot, Bluetooth 5.0
เซ็นเซอร์Fingerprint (ด้านหน้า), accelerometer, proximity, gyro, compass, barometerFingerprint (ด้านหน้า), accelerometer, gyro, proximity,
compass, barometer
Face ID, accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer
SIM1 Nano SIM + eSIM1 Nano SIM1 Nano SIM + eSIM
GPSA-GPS, GLONASSA-GPS, GLONASS, BDS, GALILEO A-GPS, GLONASS, GALILEO, QZSS
กันน้ำ / ฝุ่นIP67IP67IP68
รูหูฟัง 3.5 มม.ไม่มีไม่มีไม่มี
ลำโพงสเตอรีโอคู่ บน-ล่างสเตอรีโอคู่ บน-ล่างสเตอรีโอคู่ บน-ล่าง
แบตเตอรี่1821 mAh1821 mAh3110 mAh
ระบบชาร์จรองรับชาร์จไวสูงสุด 18Wรองรับชาร์จไวสูงสุด 18Wรองรับชาร์จไวสูงสุด 18W
ระบบชาร์จไร้สายรองรับสูงสุด 7.5Wรองรับสูงสุด 7.5Wรองรับสูงสุด 7.5W
ขนาด / น้ำหนัก138 x 67 x 7.3 มม. / 148 กรัม138 x 67 x 7.3 มม. / 148 กรัม151 x 76 x 8.3 มม. / 194 กรัม
ระบบปฏิบัติการiOS 13iOS 11iOS 13

*สีเหลือง รอการยืนยัน

ดีไซน์

สำหรับ iPhone SE (2020) ที่พึ่งเปิดตัวมานี้ เห็นแล้วก็บอกได้เลยว่าเอาบล็อกแม่พิมพ์ของ iPhone 8 ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2017 มาใช้เลยก็คงไม่ผิด ไม่ว่าจะเป็นขอบจอบน-ล่างที่ไม่ได้บางตามเทรนด์มือถือยุคนี้, เซ็นเซอร์สแกนนิ้วมือวงกลมที่อยู่ตรงขอบจอด้านล่าง และกล้องหลังตัวเดียวที่อยู่มุมซ้ายบนของเครื่อง รวมทั้งปุ่มต่างๆ ก็อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ iPhone 8 หมดเลย นอกจากนี้ทั้งขนาดและน้ำหนักของทั้งคู่ก็ยังเท่ากันเป๊ะๆ อีกต่างหาก

หน้าจอของทั้ง iPhone SE (2020) และ iPhone 8 เป็นแบบ Retina ให้มาไซส์เดียวกันเป๊ะๆ ที่ 4.7 นิ้ว และความละเอียดก็เท่ากันที่ 750 x 1334

จะต่างกันก็ตรงสีตัวเครื่องของ iPhone SE (2020) ที่เปลี่ยนไป โดยมีให้เลือกทั้งหมด 3 สี คือ สีดำ สีขาว และสีแดง ในขณะที่ iPhone 8 มี 4 สี ให้เลือกคือ สีเงิน สีเทา สีทอง และสีแดง โดยที่สีแดงยังคงเป็น Product RED เช่นเดิม ซึ่งเหล่าผู้ติดตาม iPhone จะรู้ดีว่าสินค้าในกลุ่มนี้ ทาง Apple จะนำรายได้จากการซื้อผลิตภัณฑ์ที่เข้าเกณฑ์ทั้งหมด 100% ไปสมทบกับกองทุนโลกเพื่อสู้กับ HIV/AIDS และล่าสุดมีการอัพเดทว่าจะเอาเงินส่วนนี้ไปช่วยต่อสู้กับ COVID‑19 อีกด้วย


iPhone SE (2020)

สเปค

ถึงแม้ว่า iPhone SE (2020) จะมากับดีไซน์เดียวกับรุ่นพี่ที่เปิดตัวไปได้ 3 ปีแล้ว แต่สเปคภาพในเรียกว่าทันสมัย และทรงพลังสุดๆ เพราะมากับชิประดับเรือธงของ iPhone 11 คือ A13 Bionic และด้วยความที่ Apple ไม่เคยเปิดเผยตัวเลข RAM เราจึงยังขอยึดตามข่าวลือคือให้ RAM มา 3GB อัพเกรดจาก iPhone 8 ที่ใช้ชิป A11 และ RAM ที่ให้มาแค่ 2GB เท่านั้น ส่วนความจุมีให้เลือก 3 แบบ คือ 64GB, 128GB และ 256GB

กล้องหลัง – หน้า

กล้องหลังของ iPhone SE (2020) ยังคงมีมาให้แค่ 1 ตัว เหมือนกับรุ่น iPhone 8 แถมยังเป็นสเปคเดียวกันที่ความละเอียด 12MP (f/1.8) อีกด้วย รวมถึงกล้องเซลฟี่ก็เป็นสเปคเดียวกันที่ความละเอียด 7MP (f/2.2) อีกเช่นกัน แต่ยังไม่มีการคอนเฟิร์มว่าทั้งสองรุ่นนี้ใช้เป็นเซนเซอร์เดียวกัน ชิ้นเลนส์เดียวกันหรือไม่ ก็คงต้องรอการวางจำหน่าย และมีคนไปแกะเครื่องมาเทียบกันดูถึงจะรู้ต่อไป เช่นเดียวกับ RAM แต่ลำพังความสามารถในการประมวลผลของ A13 Bionic เราก็พอเดาได้ว่าภาพที่ถ่ายได้น่าจะสวยขึ้นกว่าตอน iPhone 8 ในระดับนึงเลย

เมื่อขยับขึ้นไปเทียบกับรุ่นท็อปอย่าง iPhone 11 ก็จะเจอความต่างหลักๆ คือที่มีกล้องหลังมาให้ 2 ตัว เป็นเลนส์ Wide + Ultra Wide ความละเอียด 12MP แถมยังให้ระบบกันสั่น OIS ในกล้องทั้ง 2 ตัว อีกด้วย ส่วนกล้องเซลฟี่ก็มีความละเอียดมากกว่าที่ 12MP

อื่นๆ

สำหรับความแตกต่างอื่นๆ ของ iPhone SE (2020) ที่ต่างจาก iPhone ก็มีทั้งการเชื่อมต่อ WiFi ที่คราวนี้รองรับแบบ WiFi 6 และรองรับการใช้งานแบบ 2 SIM (1 Nano SIM + 1 eSIM) ส่วนแบตเตอรี่ยังไม่มีการเปิดเผยออกมาว่ามีกี่ mAh แต่คาดว่าน่าจะเท่า หรือพอๆ กับ iPhone 8 ที่ให้มา 1821 mAh และสำหรับระบบชาร์จไว ทั้ง 3 รุ่น จะรองรับสูงสุดเท่ากันที่ 18W รวมทั้งรองรับการชาร์จแบบไร้สายอีกด้วย

ราคา

ราคาของ iPhone SE (2020) ในประเทศไทยจะแบ่งออกตามหน่วยความจำดังนี้

  • iPhone SE 2020 รุ่น 64GB : ราคา 14,900 บาท
  • iPhone SE 2020 รุ่น 128GB : ราคา 16,900 บาท
  • iPhone SE 2020 รุ่น 256GB : ราคา 20,900 บาท

ถ้าเอาไปเทียบกับ iPhone 8 ตอนเปิดตัวเมื่อปี 2017 (ตอนนี้ไม่มีขายใน Apple Store แล้ว) ก็จะอยู่ที่

  • iPhone 8 รุ่น 64GB : ราคา 29,000 บาท
  • iPhone 8 รุ่น 256GB : ราคา 33,500 บาท
  • iPhone 8 รุ่น 64GB : ราคา 15,900 บาท (ปรับราคาเมื่อปี 2019)
  • iPhone 8 รุ่น 256GB : ราคา 17,900 บาท (ปรับราคาเมื่อปี 2019)

เรียกว่า iPhone SE (2020) มีราคาตอนเปิดตัวที่ถูกกว่าแทบจะครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว แต่หลังจากที่ Apple ปรับราคาของ iPhone 8 ลงไปเมื่อช่วงปลายปี 2019 ก็จะมีราคาที่สูสีกับ iPhone SE (2020) อยู่เหมือนกัน ส่วนถ้าจะไปเทียบราคากับรุ่นใหญ่อย่าง iPhone 11 ก็จะเรียกว่าห่างชั้นกันเกินไปหน่อยครับ เพราะรุ่นนั้นจะโดดขึ้นไปถึง 24,900 – 30,900 บาท เลยทีเดียว

โดยสรุปแล้ว เรียกได้ว่า iPhone SE (2020) เป็นการนำเอา iPhone 8 มายกเครื่องใหม่ใส่ชิป Apple A13 Bionic เข้าไป และบอกว่านี่คือรุ่นใหม่ พร้อมทำราคาเปิดตัวถูกที่สุดในประวิตศาสตร์ของ iPhone เพื่อเป็นการเรียกแขกเรียกสาวกก็คงจะไม่ผิดนัก เผลอๆจะเป็นแคมเปญการตลาดที่แรงที่สุดของ Apple ในปีนี้ ซึ่งเมื่อเข้ามาในตลาดไทย เชื่อว่าจะเกิดแรงกระเพื่อมต่อตลาด Smartphone ในช่วงราคาตั้งแต่ 8,000 – 20,000 บาท เลยก็เป็นได้