iPhone SE 3 วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จากรูปร่างหน้าตาที่ Apple ทำออกมาเหมือนเดิมเป๊ะ ๆ ทุกกระเบียดนิ้วทำให้หลายคนโฟกัสไปที่ประเด็นนี้ จนอาจมองข้ามส่วนอื่น ๆ ที่อัปเกรดขึ้นมาจากรุ่นก่อน ซึ่งดูแล้วน่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชิป A15 Bionic ที่ปลดล็อกฟีเจอร์ใหม่เข้ามาหลายอย่าง แต่จะเป็นอย่างไรบ้าง หากนำไปเทียบกับ Galaxy A53 5G ของ Samsung

เทียบสเปค iPhone SE 3 และ Galaxy A53 5G

iPhone SE 3Galaxy A53 5G
จอภาพRetina HD ขนาด 4.7 นิ้วsAMOLED ขนาด 6.5 นิ้ว
ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซลความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล
ความหนาแน่น 326 ppiความหนาแน่น 405 ppi
อัตรารีเฟรช 60 Hzอัตรารีเฟรช 120 Hz
ชิปA15 BionicExynos 1280
หน่วยความจำRAM 4GBRAM 8GB
สตอเรจ64 / 128 / 256GB128GB
รองรับ microSD card สูงสุด 1TB
กล้องหลัง
กล้องหลัก 12MP
รูรับแสง ƒ/1.8
ระบบโฟกัส Focus Pixels
กล้องหลัก 64MP
รูรับแสง ƒ/1.8
ระบบกันสั่น OIS
กล้องอัลตราไวด์ 12MP
รูรับแสง ƒ/2.2
กล้องมาโคร 5MP
รูรับแสง ƒ/2.4
กล้องจับความลึก 5MP
รูรับแสง ƒ/2.4
กล้องหน้าความละเอียด 7MP
รูรับแสง ƒ/2.2
ความละเอียด 32MP
รูรับแสง ƒ/2.2
เครือข่าย5G
การเชื่อมต่อWi-Fi 802.11a/b/g/n/ac/axWi-Fi 802.11a/b/g/n/ac
Bluetooth 5Bluetooth 5.1
NFC
พอร์ตLightningUSB Type-C
เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
(บนปุ่มโฮม)
สแกนลายนิ้วมือ
(ใต้หน้าจอ)
แบตเตอรี่2018mAh
ชาร์จไว
ชาร์จไร้สาย
5000mAh
ชาร์จไว 25W
ความทนทานทนน้ำและฝุ่น IP67
ระบบปฏิบัติการiOS 15One UI 4.1 บนพื้นฐาน Android 12
ขนาด138.4 x 67.3 x 7.3 มม.159.6 x 74.8 x 8.1 มม.
น้ำหนัก144 กรัม189 กรัม

 

iPhone SE 3 เหล้าใหม่ในขวดเก่า ชิปตัวท็อปโคตรแรงในราคาย่อมเยา

ตามที่กล่าวไปข้างต้น iPhone SE 3 ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง A15 Bionic ซึ่งจนถึงตอนนี้คงไม่มีกังขาในแง่ความแรงกันอีกแล้ว และคงปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือส่วนที่โดดเด่นที่สุดที่ทำให้มันดูน่าสนใจ จากการที่ได้ชิปเซตเดียวกับ iPhone 13 ในราคาที่ถูกกว่ากันเป็นหมื่นบาท

iPhone SE 3 มีกล้องหลักความละเอียด 12MP เท่าเดิม อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก Apple ไม่ได้มีแนวทางโปรโมตสินค้าโดยการเจาะลึกฮาร์ดแวร์มาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่อาจทราบได้ว่า เซนเซอร์กล้องและองค์ประกอบอื่น ๆ ยังเหมือนเดิมด้วยหรือเปล่า แต่ถึงกระนั้นด้วยอานิสงส์จาก A15 Bionic ที่มีหน่วยประมวลผลภาพและหน่วยประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ทรงพลังมากขึ้น ทำให้รองรับฟีเจอร์  Smart HDR 4, Photographic Styles และ Deep Fusion แบบเดียวกับ iPhone 13 แถมยังรองรับ 5G และมากับ iOS 15 อีกต่างหาก

iPhone SE 3 ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับใครที่อยากใช้งานสมาร์ทโฟนจาก Apple แต่ไม่ได้อยากจ่ายแพงเกินจำเป็น ยกตัวอย่างเช่น

  • มี iPhone 12 หรือ iPhone 13 เป็นเครื่องหลักอยู่แล้ว อยากได้ iPhone อีกเครื่องเป็นเครื่องสำรอง
  • มี Android เป็นเครื่องหลักอยู่แล้ว อยากได้ iPhone อีกเครื่องเป็นเครื่องสำรอง
  • อยากทดลองใช้งานระบบ iOS ด้วยราคาที่ย่อมเยา
  • พ่อ แม่ ผู้ปกครอง อยากซื้อ iPhone ให้ลูก ๆ หลาน ๆ ใช้งาน

ข้อจำกัดของ iPhone SE 3 ที่ควรทราบ

ในกรณีที่คิดจะซื้อ iPhone SE 3 มาเป็นเครื่องหลัก อาจมีเรื่องที่ต้องพิจาณาอยู่บ้าง ประการคือ หน้าจอ 4.7 นิ้ว ขนาดเท่านี้เล็กไปไหม ใช้งานจริงจะถนัดหรือเปล่า ประการถัดมาคือ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า เป็นจุดอ่อนของ iPhone SE 2 แต่ Apple ก็เคลมว่า iPhone SE 3 ใช้งานได้นานขึ้น 2 ชั่วโมงนะ ตามความจุแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นจาก 1821mAh ใน iPhone SE 2 เป็น 2018mAh ประกอบกับระบบจัดการพลังงานที่ทันสมัยขึ้น และสิ่งที่ควรทราบเพิ่มเติมคือ ถึงแม้กล้องจะมีโหมดใหม่ให้ใช้งานเพียบ แต่ Night mode ที่สำคัญมาก ๆ กลับไม่รองรับเสียอย่างนั้น

Play video

หากรับกับข้อจำกัดเหล่านี้ได้ ในภาพรวม iPhone SE 3 ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก อะไรที่ iPhone 13 ทำได้ iPhone SE 3 ก็ทำได้เหมือนกันแทบทุกอย่าง และในอนาคตก็คงจะได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์ไปจนสุดทางเท่า ๆ กันด้วย หรือถ้าจะให้เห็นภาพง่ายขึ้น ลองดู iPhone SE รุ่นดั้งเดิมที่พึ่งมีอายุครบ 6 ขวบไปหมาด ๆ ตอนนั้นออกมาพร้อม iOS 9.3.2 ตอนนี้ยังอัปเดตเป็น iOS 15.4 ได้อยู่เลย

เปรียบเทียบกับ Galaxy A53 5G ที่มีราคาถูกกว่าแล้วเป็นอย่างไรบ้าง

ข้ามฟากมาดูฝั่ง Android คู่แข่งที่ดูสมน้ำสมเนื้อกับ iPhone SE 3 ที่สุดในเวลานี้คงหนีไม่พ้น Galaxy A53 5G ของ Samsung ซึ่งวางจำหน่ายในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันอย่างพอเหมาะพอเจาะเสียจริง ๆ โดยทั้งคู่มีค่าตัวดังนี้

ราคา iPhone SE 3

  • ความจุ 64GB : ราคา 15,900 บาท
  • ความจุ 128GB : ราคา 17,900 บาท
  • ความจุ  256GB : ราคา 21,900 บาท

ราคา Galaxy A53 5G

  • ความจุ 128GB : 14,499 บาท

เมื่อเทียบที่สตอเรจ 128GB เท่ากัน Galaxy A53 5G จะมีราคาถูกกว่า iPhone SE 3 อยู่  3,400 กับอีก 1 บาท ไม่นับรวมส่วนลดและโปรโมชันอื่น ๆ ดังนั้น คำถามต่อไปคือ ส่วนต่างเท่านี้มีอะไรน่าดึงดูดบ้าง

  • หน้าจอ Super AMOLED ขนาดใหญ่กว่า สีสันสดใสกว่า สว่างกว่า และอัตรารีเฟรชสูงกว่า
  • กล้องหลัง 4 ตัว มีกล้องอัลตราไวด์และกล้องมาโครให้สลับใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นตามสถานการณ์ รวมถึงกล้องจับความลึกสำหรับถ่ายภาพบุคคลละลายฉากหลังใน Portrait mode
  • กล้องหน้าความละเอียดสูงกว่า
  • พอร์ต USB Type-C ใช้งานกับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้หลากหลายโดยไม่ต้องพึ่งพาอะแดปเตอร์
  • เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ใต้หน้าจอ ไม่เกะกะพื้นที่ภายนอกเครื่อง
  • แบตเตอรี่ความจุเยอะกว่าเกินสองเท่า และชาร์จไวกว่า
  • ถาดซิมใส่ได้ 2 ช่อง ซึ่งอาจสะดวกกว่า eSIM ในบางกรณี

เพื่อน ๆ จะเห็นได้ว่า นอกเหนือจากเรื่องชิปเซตที่คงต้องยอมให้ iPhone SE 3 ไป กับการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ Apple สร้างมาตรฐานเอาไว้ดีมากแล้ว ส่วนอื่น ๆ ที่เหลือ Galaxy A53 5G นั้นเหนือกว่าทั้งหมด ซึ่งถ้าไม่ได้ยึดติดหรือปักธงในใจไปที่ระบบ iOS แล้ว…ตาชั่งของความคุ้มค่าต่อราคาดูจะเอนมาทางฝั่ง Samsung เต็ม ๆ เลย

แต่ทั้งนี้ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนมีแง่มุมอื่นที่ผู้เขียนอาจมองข้ามไป หรือเห็นต่างออกไปจากนี้ ก็สามารถคอมเมนต์เข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ครับ

Play video