ข่าวในวงการแอนดรอยด์ที่ร้อนแรงสุดๆในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเห็นจะหนีไม่พ้นการเปิดตัวของ Kindle Fire จากทาง Amazon โดยตัวนี้เป็นตัวต่อยอดของ Kindle 1,2,3 ที่ประสบความสำเร็จในด้านอุปกรณ์พกพาสำหรับอ่านหนังสือ ล่าสุดทาง Amazon ก็เลือกระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เป็นตัวชูโรงในการสร้าง Tablet ตัวล่าสุดนี้พร้อมประกาศราคาที่สนั่นวงการเพราะสนนราคาเพียง $199 หรือ 6,000 บาท เท่านั้น!! … ร้อนเป็นไฟตามชื่อ Tablet กันเลยทีเดียว
ซึ่งสเปคไม่ใช่กระจอกครับเพราะมันมาพร้อมซีพียู Dual Core จอ IPS ขนาด 7 นิ้วและรันด้วยระบบปฏิบัติการณ์ Android 2.3 Gingerbread ส่วนซอฟต์แวร์ก็ทำมาเพื่อการเป็น Kindle โดยเฉพาะ … เริ่มสนใจแล้วใช่มั้ยล่า มาทำความรู้จักมันกันเลยละกัน
[br]ระบบปิด ข้อดีและข้อจำกัด
แต่อย่างไรก็ตาม Kindle Fire มันถูกออกแบบมาเพื่อรองรับธุรกิจของ Amazon เป็นหลักดังนั้นมันจึงเป็น “ระบบปิด” เราจะไม่ได้เห็นซอฟต์แวร์บริการทั้งหลายของ Google แต่ทุกอย่างจะถูกแทนที่ด้วยระบบของ Amazon แทนเช่น Market ก็จะถูกแทนที่ด้วย Amazon App Store หรือพวก Cloud Storage ก็จะโยกไปใช้ Cloud ของตัวเองอีกด้วย นอกจากนั้น Amazon ยังตัดสินใจตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นอย่างกล้องและไมโครโฟนทิ้งอีกด้วย เราจึงไม่อาจเห็นระบบสั่งงานด้วยเสียงบน Kindle Fire แน่นอน =)
นอกจากนั้น Fire ยังถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้อินเทอร์เนตความเร็วสูงเพราะทุกอย่างต้อง Streaming มาจากอินเทอร์เนต จึงมั่นใจได้ว่า Carrier ไม่เอาด้วยแน่ๆเพราะแค่ iPhone / Android ก็ทำระบบล่มจนแทบขาดทุนแล้ว นี่จึงอาจจะเป็นสาเหตุที่ Fire ไม่มี 3G มาด้วยและต้องใช้ WiFi เท่านั้น … ซึ่งจริงๆแล้ว WiFi มันก็เพียงพอนะสำหรับการโหลดหนังสือมาอ่าน แต่ถ้าจะเล่นเว็บหละ? อันนี้คงไม่สะดวกเท่าไหร่
อีกข้อจำกัดหนึ่งของ Kindle คือมีเนื้อที่ภายในเพียง 8GB และไม่สามารถเสียบ Memory ภายนอกได้ จึงต้องบริหารเนื้อที่กันดีๆ ณ จุดนี้ และการที่มันขยับขึ้นมาใช้ Android และจอสีหวือหวา สิ่งที่คงหนีไม่พ้นคือชั่วโมงการใช้งานที่ลดลงจาก Kindle ตัวก่อนๆเพราะ Fire สามารถใช้แบตอยู่ได้เพียง 8 ชั่วโมงเท่านั้น โดยต้องปิด WiFi อีกด้วย ซึ่งส่วนตัวต้องบอกว่ามันน้อยมากเลย
[br]Amazon Silk
Web Browser บน Kindle Fire มีความพิเศษเหนือกว่า Web Browser บนแอนดรอยด์ทั่วไปเพราะ Amazon ได้พัฒนาบริการที่ชือว่า Amazon Silk ขึ้นมา โดย Silk คือบริการไปดูดข้อมูลจากเว็บที่เราจะเปิด จัดวาง Layout และ Render ให้เสร็จสรรพ จากนั้นจึงส่งมาเป็นแพคเกจเล็กๆสู่ Fire … จุดนี้เป็นการเอา Cloud Service ของตัวเองอย่าง EC2 และ S3 มาใช้ประโยชน์นั่นเอง
จริงๆมันก็คล้ายๆกับ Opera Mini และ Skyfire ที่เป็นที่นิยมอยู่ก่อนหน้านี้นั่นแหละ เพียงแต่ Silk ไม่ได้ Render เป็นภาพแล้วส่งมา แต่เป็นการส่ง Assets ทุกอย่างมาโดยสมบูรณ์ แต่ Silk จะทำการบีบอัดและส่งข้อมูลมาด้วยวิธีที่ฉลาดกว่า ส่งผลให้การเปิดเว็บเร็วกว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญแต่เว็บก็ยังครบถ้วนไม่มีส่วนไหนขาดหายไป
[br]ตลาดร้อนเป็น “ไฟ”
หลังจากเปิดตัวไปได้ไม่นาน Tablet เจ้าต่างๆที่ Spec ใกล้เคียงกันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทันที เริ่มต้นจาก HTC Flyer ที่ประกาศหั่นราคาจาก $499 เหลือ $299 ไปแล้ว และได้ยินแว่วๆว่าเจ้าอื่นก็กำลังจะเปลี่ยนแปลงตาม จะมากน้อยแค่ไหนต้องติดตามชมครับ
Kindle Fire ตอนนี้จึงกลายเป็นตัวที่ทำให้ตลาดร้อนเป็นไฟเนื่องจากทำให้กลไกราคาที่ทุกแบรนด์ตั้งไว้ล่มสลาย จากนี้ฐานราคาของ Tablet คงจะถูกลงไม่มากก็น้อยครับ
[br]สรุป
สุดท้ายคงต้องขอสรุปว่า Kindle Fire เป็นคำสั้นๆว่า
ไม่ใช่ Tablet ที่เพียบพร้อม แต่มีจุดแข็งด้านการใช้งานบางประเภท
Fire เป็น Android Tablet ที่ถูกสร้างมา “เฉพาะทาง” ไม่ได้ยัดทุกสิ่งอย่างไปอย่าง Tablet ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ ทำให้ทำออกมาได้ราคาถูกมาก แต่คงต้องบอกว่ามันไม่ใช่ Tablet ที่ทำได้ทุกอย่าง แต่หากทำในสิ่งที่มันเก่งได้ดีต่างหากซึ่งได้แก่ การอ่านหนังสือ ดูหนัง เล่นเกมและเล่นเว็บ
ดูแล้ว Kindle Fire อาจจะเป็นตัวที่ทำให้ตลาด Tablet พลิกโฉมไปอีกทางหนึ่งก็เป็นได้เพราะทุกวันนี้แต่ละเจ้ายัดทุกอย่างมาพร้อมราคาแพงแสรด หากตัดโน่นตัดนี่ทิ้งแล้วทำมาเฉพาะทางเลยแล้วขายถูกๆก็อาจจะขายดีได้ แต่ก็ต้องมีบริการที่เพียบพร้อมมารองรับด้วย อย่างเช่นที่ Amazon มีระบบซื้อขายหนังสือหลังบ้านให้ลูกค้าได้ใช้ทันทีที่ซื้อ Kindle มาใช้นั่นเอง
[br]Kindle Fire กับประเทศไทย
จนถึงตอนนี้ตลาด Tablet เมืองไทยเป็นตลาดที่เอาไว้ใช้เล่นเนตและเล่นเกมเป็นหลัก หาน้อยมากที่ซื้อ Tablet มาเพื่ออ่าน e-Book เนื่องจาก Content ในไทยไม่อำนวย ซึ่งก็เป็นปัญหาไก่กับไข่ที่มีมานานแล้วคือ คนไทยไม่ชอบซื้อทำให้ผู้ผลิต Content จึงไม่อยากทำ e-Book ให้คนไทยอ่าน หรือถ้าทำก็ไม่มีงบเพียงพอที่จะทำออกมาดีๆ สุดท้ายจึงเป็นอย่างที่เห็น เท่าที่ทราบมามีสำนักพิมพ์หลายเจ้าอยากทำ e-Book บน Tablet แต่สุดท้ายก็ล้มโครงการไปเพราะดูแล้วยังไงก็ไม่คุ้มกับตลาด Volume ต่ำอย่างประเทศไทย จะมีที่เห็นเหลือรอดและดังๆก็คือหนังสือการ์ตูนคลาสสิคอย่างขายหัวเราะหรือหนังสือแฟชั่นหรูๆอย่าง Mars เท่านั้นแล
จริงอยู่ที่ Kindle Fire ราคาถูกมาก แต่ด้วยข้อจำกัดต่างๆที่ดูเหมือนเค้าจะผลิตมาเพื่อ Infrastructure และนิสัยการใช้งานแบบสหรัฐฯ ทำให้คาดว่ามันคงไม่เกิดในไทยเป็นวงกว้างแน่นอน แต่ถ้ามีตัว 3G มาก็ไม่แน่ครับ อาจจะได้เห็นอะไรที่มันเปลี่ยนแปลงได้อยู่
[br]ส่งท้าย
ส่งท้ายด้วยวีดีโอทดลองใช้จากเว็บ This is my next บางหน้าก็ลื่นแต่บางหน้าก็กระตุกตามสไตล์แอนดรอยด์ครับ
Source: Android and Me, Android and Me, Bloomberg, CNET, ExtremeTech, This Is My Next
อยากให้มี Content แบบนี้ในไทยบ้างใจ แต่คงยากอ่ะ
เห็นราคาของขายหัวเราะในแอนดรอย แล้วกดซื้อไม่ลงครับ
Flyer ในไทยลดราคาไวๆนะ … จะได้สอยซะที
พอรู้ราคาเจ้านี่ก่อนไปงาน tme ทำให้รู้สึกว่า tablet ทุกตัวดูแพงไปหมดเลย
ใครๆก็ทำ android สวยๆออกมายกเว้น google ปะ O_o
ราคาน่าสอยมาก…
เฮ็ดเป็ด
สนุกสนานกันไป ผู้บริโภคก็เปรม
อ่านแล้ว มันไม่คุ้มซะจริง