ไม่กี่วันที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้รับเชิญจากทาง LINE ประเทศไทยให้ไปงาน LINE Developer Day ที่จัดที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัว Clova ปัญญาประดิษฐ์ของ LINE และในการเดินทางครั้งนี้ก็ได้มีโอกาสไปชมออฟฟิศใหญ่ของบริษัทอีกด้วย ซึ่งเป็นออฟฟิศที่เพิ่งย้ายมาสร้างเสร็จได้ไม่นาน เรียกว่ายังใหม่ๆ อยู่เลยครับ ว่าแล้วก็มาดูกันดีกว่าว่าบริษัทอย่าง LINE เค้าจะมีออฟฟิศในลักษณะไหนกัน

ออฟฟิศใหญ่ของ LINE นั้นตั้งอยู่บนตึก Miraina Tower ใกล้กับสถานีรถไฟชินจูกุครับ โดยทาง LINE ได้พาผมไปชมชั้นที่ 23 ที่เป็นชั้นสำหรับต้อนรับพาร์ทเนอร์หรือลูกค้าเป็นหลักครับ โดยทาง LINE ได้ย้ำกับทีมสื่อว่าให้ระมัดระวังการถ่ายภาพอย่าให้ติดคน หรือถ้าติดคนก็ต้องขออนุญาตเค้าก่อน เป็นไปตามแนวทางเรื่องความเป็นส่วนตัวของคนญี่ปุ่นเค้าน่ะครับ

เมื่อเดินออกจากลิฟต์มาทางแผนกต้อนรับก็จะเจอนี่เลยครับ หุ่น Cony ขนาดเบิ้มใส่ชุดยูนิฟอร์มของพนักงานต้อนรับของ LINE ตั้งอยู่ข้างเคาน์เตอร์ของแผนก

มองห่างออกไปอีกหน่อยเราจะเห็น James นั่งกินที่โซฟาเล่นแท็บเล็ตอยู่ริมหน้าต่าง บริเวณนี้จะเป็นที่นั่งที่เห็นวิวตึกสูงรอบๆ ได้ไกลทีเดียวครับ ดูอลังการดี มองลงไปข้างล่างก็จะเห็นทางรถไฟด้วย

พอหันขวาไปอีกหน่อยก็จะพบกับหมี Brown ขวัญใจมหาชน ตัวใหญ่ยักษ์อยู่อีกมุมครับ เทียบกับขนาดคนคือสูงเท่าประมาณคอของ Brown เท่านั้น

มีจอขนาดใหญ่ฉายโฆษณา

ทาง LINE อธิบายว่าภายในชั้นนี้จะตกแต่งให้มีโทนสีไปทางเขียว ให้บรรยากาศเหมือนเป็นสวน ดูแล้วผ่อนคลาย (และผมเข้าใจเองว่าสีมันพอดีกับโลโก้ของ LINE ด้วย) และนอกจากส่วนแผนกต้อนรับที่ไว้รับแขก พาร์ทเนอร์ ลูกค้าแล้ว ภายในชั้นนี้ก้ยังประกอบไปด้วยห้องประชุมเล็กๆ จำนวนมาก กะคร่าวๆ น่าจะอยู่ที่ 10-20 ห้องครับ

ระหว่างทางเดินผ่านห้องประชุมก็จะเจอกำแพงที่แปะนาฬิกาแบ่ง Timezone ตามกลุ่มประเทศ แล้วก็ข้อความพันธกิจของ LINE นั่นก็คือ CLOSING THE DISTANCE หรือการลดระยะในการเชื่อมโยงของผู้คนให้ใกล้กันมากขึ้นนั่นเอง (สังเกตว่ามีภาษาไทยด้วย!)

ระหว่างทางผ่านห้องประชุมก็จะมีม้านั่งอยู่บ้าง แล้วก็อีกมุมหนึ่งก็จะมีโซฟานั่งริมหน้าต่างคล้ายบริเวณแผนกต้อนรับครับ วิวดีทีเดียวเลย

ใกล้ๆ กันก็มี Jessica ใส่ชุดพนักงานต้อนรับตั้งอยู่

 

ผ่านบริเวณห้องประชุมมาก็จะข้ามมาอีกฝั่งของชั้นนี้ ที่ LINE ได้ออกแบบให้เป็นบริเวณผ่อนคลายของพนักงาน มีตู้ขายของและมีคาเฟ่ขายเครื่องดื่มให้พนักงาน แล้วก็ใช้เป็นสถานที่นั่งคุยงานกับพาร์ทเนอร์ได้ด้วย

ระหว่างทางก็มีภาพของตัวละคร LINE ใส่กรอบประดับไว้

 

ระหว่างเดินเจอโซน Health Care ที่มีห้องให้พนักงานเข้าไปนั่งเก้าอี้นวดได้ รวมถึงมีเคาน์เตอร์จ่ายยาให้ด้วย ตรงข้ามกับเคาน์เตอร์จ่ายยาก็มี Brown นั่งแอบอยู่

บริเวณนี้จะเป็นที่นั่งแทบทั้งหมดครับ มีทั้งโต๊ะ เก้าอี้สไตล์ร้านกาแฟ, โต๊ะพูล, ที่เล่นปาลูกดอก และโซฟาโอ่อาพร้อมทีวีอยู่อีกมุมห้อง (ด้านขวาในภาพ Brown นี่แหละครับ) จังหวะที่ผมเข้าไปเจอเค้าคุยงานกันอยู่เลยไม่ได้ถ่ายภาพมาครับ

อันนี้ตู้ใช้ Suica จ่าย หาได้ทั่วไปในญี่ปุ่น

ตู้กดน้ำในบริเวณนี้จะมทั้งตู้ที่รับเงินสด, ตู้ที่รับบัตรเงินจำพวก Suica และที่เจ๋งสุดก็คือตู้ที่รับการจ่ายผ่าน LINE Pay หรือมีชื่อว่า Tappiness พัฒนาร่วมกันกับทาง Kirin ครับ

ทีมงานของ LINE ที่พาผมเดินชมก็ได้ทดลองซื้อน้ำด้วย LINE Pay ให้ดูด้วยครับ กระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบนั้นง่ายมาก เพียงแค่เปิด Bluetooth ไว้ แล้วเดินเข้าใกล้ตู้น้ำก็จะมี Beacon จากตู้ส่งสัญญาณเข้ามาที่มือถือเรา เปิดแอป LINE ไว้ พอเห็นข้อความก็กดเข้าไป แล้วแตะมือถือเข้ากับบริเวณที่ตู้ระบุ กดยืนยันบนมือถือ แล้วเลือกเครื่องดื่มที่ต้องการ มันก็จะหล่นลงมาให้เราหยิบแล้วตัดเงินจากบัญชี LINE Pay เลยครับ สะดวกมากๆ

ผมได้สอบถามมาเบื้องต้น และไปทดลองด้วยมือถือตัวเองมานิดหน่อยก็พบว่าตู้ขายน้ำที่ใช้ LINE Pay นั้นสามารถนำมาปรับใช้ในไทยได้ครับ ถือว่าน่าสนใจมากทีเดียวถ้า LINE Pay (Rabbit LINE Pay) ในไทยจะมีตู้ขายน้ำในลักษณะนี้ให้ใช้กัน เข้าใกล้สังคมไร้เงินสดเข้าไปอีกขั้น

นอกจากตู้กดน้ำแล้วก็มีตู้กดพวกบะหมี่ถ้วย หรือขนมอื่นๆ ด้วยครับ

 

เดินมาอีกหน่อยจะมีสินค้าเกี่ยวกับ LINE ขาย

ข้างๆ กันก็คือคาเฟ่ ร้านกาแฟที่มีไว้บริการพนักงานของ LINE ผมส่องๆ ดูราคาของเมนูแล้วถือว่าถูกมากครับ กาแฟเริ่มแก้วละประมาณ 100 เยน (ร้านค้าข้างนอกขายประมาณแก้วละ 400 เยน) อันนี้ผมขออนุญาตถ่ายหน้าร้านมาแล้วครับ

เท่านี้เป็นอันเดินวนครบรอบของชันนี้แล้วครับ พื้นที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก และส่วนที่เป็นออฟฟิศทำงานจริงจังนั้นอยู่อีกชั้นนึง ซึ่งเวลาไม่เอื้ออำนวยให้ทางสื่อไทยได้ไปเยี่ยมชมกัน

ต่อจากออฟฟิศก็ได้ไปเดินร้าน LINE Friends Store ที่อยู่กลางย่านฮาราจูกุครับ ซึ่งก็เป็น Official Store ที่ทาง LINE นำสินค้าลายตัวละครต่างๆ ภายใต้ลิขสิทธิ์ของ LINE มาจัดจำหน่าย รวมถึงชั้นใต้ดินของร้านมีห้องให้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์และตกแต่งด้วยตัวละครของ LINE ด้วยครับ (ญี่ปุ๊น ญี่ปุ่นเนอะ)

ภายในร้านก็มีตั้งแต่ปากกา, สมุด, แก้วน้ำ, โคมไฟ LED, หมอน, ขนม, รองเท้าแตะ Slipper แบบใส่ในบ้าน และก็มีหมี Brown ไซส์เดียวกับที่ออฟฟิศมาตั้งให้คนเดินผ่านไปมาแวะเข้ามาถ่ายรูปกันด้วยครับ ป๊อปปูล่ามากๆ ทั้งเกาหลี, ฝรั่ง และคนญี่ปุ่นเองแวะเวียนเข้ามาถ่ายรูปกันไม่ขาดสายเลย แต่เนื่องจากคนพลุกพล่านมาก ผมจึงไม่ค่อยกล้าถ่ายรูปมาเท่าไรนักครับ

ผมเข้าใจว่าเป็นโมเดล DJ Brown ที่ขายหมดแล้ว เหลือแต่ตัวโชว์

LINE นั้นเป็นอีกหนึ่งบริษัทสายไอทีที่เติบโตได้รวดเร็วมากในช่วงเวลาอันสั้น ธุรกิจของ LINE นั้นประกอบไปด้วยโฆษณา, เกมมือถือ, บริการคอนเทนท์อย่าง LINE Music แล้วก็บริการส่งความที่พวกเรารู้จักกันดี ซึ่งถ้านับจากช่วงเปิดบริการส่งข้อความมาก็เป็นเวลาราวๆ 5-6 ปีเท่านั้นครับ ปัจจุบัน LINE มีพนักงานร่วม 3,000 คนทั่วโลกแล้ว และเปิดสาขาของสำนักงานไปหลายๆ แห่งทั่วโลก รวมถึงในไทยด้วยและยังคงรับสมัครพนักงานสายเทคนิคอย่างวิศวกรเข้าไปร่วมทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง

ขวา – คุณ อึยบิน ปาร์ค CTO ของ LINE

ซ้าย – คุณ ไทอิจิ ฮาชิโมโตะ หัวหน้าทีมพัฒนา Clova

ผลิตภัณฑ์ล่าสุดที่ LINE ได้เปิดตัวมาวันก่อนก็คือ AI ที่มีชื่อว่า Clova ที่ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของ LINE เช่นกันที่จะเข้ามาร่วมต่อสู้ในตลาดที่มีทั้ง Google (Google Assistant), Apple (Siri) และ Amazon (Alexa) ยักษ์ใหญ่ไอทีที่คร่ำหวอดวงการมาเป็นสิบๆ ปี แต่ทาง LINE กลับมีมุมมองที่ว่า วงการ AI ณ เวลานี้ยังไม่มีใครได้เปรียบใคร ทาง LINE จึงได้พร้อมที่จะพัฒนาผู้ช่วยอัจฉริยะของตัวเองเข้าสู่ตลาด และหวังที่จะให้เป็น AI ที่กลืนกินเข้าสู่ชีวิตประจำวันของคนได้อย่างแนบเนียนอีกด้วย

การเดินทางไปสัมผัสออฟฟิศและได้พูดคุย-สัมภาษณ์กับทีมงานของ LINE ในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ได้ไปศึกษาว่าแนวทางของ LINE ในอนาคตจะเป็นเช่นไร และ LINE วางตัวอยู่ในระดับไหนของวงการไอทีระดับโลก ต้องขอขอบคุณทาง LINE ประเทศไทยที่จัดทริปครั้งนี้ให้มา ณ ที่นี้ครับ