สวัสดีเพื่อนสมาชิก Droidsans ทุกท่าน วันนี้ผมขออนุญาตมาแนะนำมือถือเจ้าใหม่ดั้งเดิมจากแดนมังกรที่เพิ่งเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ผมกำลังพูดถึง Meizu (เม่ยจู) นั่นเอง โดยรุ่นที่ Meizu นำเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยเป็นรุ่นแรกก็คือ “Meizu m2 note” สมาร์ทโฟนระดับ Mid-range ที่จัดสเปกมาดีพอสมควร แต่จำหน่ายในราคาเพียง 5,990 บาท ผ่านทาง Lazada เท่านั้น โดยมี 2 สีมาตรฐานคือ ขาวและดำ เปิดราคามาก็เรียกว่า “คุ้มเลย” แต่จะคุ้มแค่ไหน เจอกันได้หลังเบรก
หากใครเคยได้อ่าน รีวิว Meizu MX4 Pro ของผมมาก่อน จะได้รู้ประวัติอย่างคร่าวๆของบริษัท Meizu ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า Meizu เป็นผู้เล่นที่อยู่ในสนามแข่งขันสมาร์ทโฟน Android มานานพอสมควร ออกมือถือมาแล้วก็หลายรุ่น แต่ส่วนใหญ่จะจำหน่ายในบ้านเกิดที่ประเทศจีนเกือบทั้งหมด แต่ในที่สุด Meizu ก็ตัดสินใจ go inter ขายของนอกประเทศบ้าง และก็เข้ามาลองตลาดในประเทศไทยด้วย โดยการส่งเจ้า Meizu m2 note เข้ามาแนะนำตัวกับคนไทยเป็นรุ่นแรก เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของมือถือจาก Meizu คือสเปกต่อราคานั้นคุ้มค่าทุกรุ่น จริงๆมือถือแนรนด์จีนก็มาแนวนี้กันหมดอะนะ ดังนั้นเรามาดูงานของ Meizu ว่ามีอะไรแตกต่างและน่าสนใจกันบ้างครับ
แกะกล่อง Meizu m2 note
สำหรับกล่องของ Meizu m2 note ถือว่ามีขนาดใหญ่และใช้กระดาษแข็งให้อารมณ์พรีเมียมพอสมควร คือกล่องสวนกระแสมือถือจากค่ายใหญ่หลายๆเจ้าที่ตอนนี้กล่องมือถือจะหดเหลือเกือบเท่าขนาดตัวเครื่องไปแล้ว หน้าตากล่องของ m2 note ก็เป็นแบบนี้เลย
ขาวสะอาดหมดจด มีตัวหนังสืออยู่ตรงกลางใหญ่ว่า “m2 note”
แกะฝากล่องออกมาก็จะพบเจ้า m2 note นอนรออยู่เลย
สำหรับอุปกรณ์ที่มีมาให้ก็ตามมาตรฐานทั่วไป ได้แก่ คู่มือการใช้งาน, สาย USB, หัว Adapter สำหรับชาร์จ และหูฟะ.. เอ๊ะ นั่นอะไร?
“Earphone not included” = “ไม่ได้แถมหูฟังมาให้นะ” ขอบคุณครับที่บอก! มารยาทดีจริงๆ
สำหรับ Adapter ของ m2 note นั้นเป็นแบบ 5V 2A ชาร์จไม่ช้า โอเคเลยครับ
สำหรับของที่ให้มาในกล่องของ Meizu m2 note ก็ประมาณนี้แหละ ส่วนเรื่องหูฟังที่ไม่ได้แถมนั้นก็เพื่อลดต้นทุน จะได้ขายราคาถูกลง และคนส่วนใหญ่ก็มักจะมีหูฟังตัวเก่งของตัวเองอยู่แล้ว แถมใครสนใจหูฟังของ Meizu ก็สามารถสั่งซื้อผ่าน Lazada ได้เช่นกัน หูฟังของ Meizu นั้นเสียงดีเชียวล่ะ เพราะเค้าทำเครื่องเล่น MP3 มาก่อนนั่นเอง ดูของในกล่องเสร็จแล้ว เรามาดูสเปกของตัวเครื่องกันดีกว่า
สเปกของ Meizu m2 note
อย่างที่บอกไปในตอนต้นว่า Meizu m2 note นั้นเป็นสมาร์ทโฟนระดับ Mid-range สเปกโดยรวมจึงเป็นระดับกลางๆ แต่ก็จัดว่าเป็นที่สเปกที่สูงในมือถือระดับกลางด้วยเช่นกัน สำหรับสเปกของ Meizu m2 note เป็นดังนี้
ภาพจาก Meizu Thailand Official
ชื่อและรหัสเครื่อง: Meizu m2 note
สัดส่วน: 150.9 x 75.2 x 8.7 มิลลิเมตร
น้ำหนัก: 149 กรัม
หน้าจอ: Sharp IGZO IPS LCD 5.5 นิ้ว ความละเอียด FullHD 1920 x 1080 พิกเซล
เครือข่ายที่รองรับ:
4G : LTE band 1(2100), 3(1800), 7(2600), 38(2600), 39(1900), 40(2300), 41(2500)
3G : HSPA 850/900/2100
2G : GSM 850/900/1800/1900
SIM : 2 SIM แบบ Nano SIM
CPU : MediaTek MT6753 1.3GHz octa-core
GPU : Mali T720 MP3/450MHz
RAM : 2GB LPDD3 800 MHz
หน่วยความจำภายใน : 16 GB ( รองรับ MicroSD ความจำสูงสุด 128 GB )
กล้องหน้า : 5 ล้านพิกเซล OV5670 F/2.0
กล้องหลัง : 13 ล้านพิกเซล F/2.2
แบตเตอรี่ : 3,100 mAh (ถอดเปลี่ยนไม่ได้)
OS : Flyme 4.5 UX บน Android 5.1 Lollipop
NFC : ไม่มี
OTG : มี
การเชื่อมต่ออื่นๆ:
Wi-Fi 802.11 a/b/g/n
Bluetooth 4.0 BLE, A2DP
A-GPS, GLONASS, Digital compass
USB 2.0
หูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
งานออกแบบตัวเครื่อง
Meizu m2 note นั้นเลือกใช้วัสดุเป็นพลาสติกทั้งหมด แต่ด้วยงานออกแบบที่เน้นความโค้งมน ด้านหลังตัวเครื่องนั้นเคลือบสารบางอย่างที่ทำให้รู้สึกด้าน ไม่ลื่นมาก จับกระชับมือได้ดี งานประกอบก็ทำได้แน่นหนา ไม่กรอบแกรบ การจัดวางส่วนประกอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง,แฟลช หรือปุ่มต่างๆก็นับว่าดีเช่นกัน โดยรวมทำให้ไม่รู้สึกว่ามือถือรุ่นนี้เป็นมือถือราคาถูกทั่วไป และสำหรับเครื่องรีวิวที่เป็นสีดำเทานั้น ยิ่งทำให้ดูเหมือนว่าเป็นโลหะได้เลย
หน้าจอของ Meizu m2 note มีขนาดใหญ่ถึง 5.5 นิ้ว แต่ด้วยขอบด้านข้างที่ค่อนข้างบางจึงทำให้ตัวเครื่องดูไม่ใหญ่มาก นอกจากนั้นยังมีน้ำหนักเบามากเพียง 149 กรัมเท่านั้น ความหนาของตัวเครื่องหากมองด้วยตาอาจจะดูหนา แต่จริงๆแล้วมีความหนาเพียง 8.7 มิลลิเมตร ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้ m2 note เป็นมือถือที่มีขนาดค่อนข้างดี สามารถจับถือใช้งานได้สะดวก
ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบด้วยไมค์สนทนา, พอร์ต USB และลำโพงสำหรับเสียงเรียกเข้า
ด้านบนของตัวเครื่องประกอบด้วยไมค์ตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน และช่องเสียงหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
ด้านขวาจะมีช่องใส่ซิมเพียงอย่างเดียว
ด้านซ้ายจะมีปุ่มปรับเสียงและปุ่ม Power อยู่ ซึ่งถือว่าอยู่คนละด้านกับมือถือ android ทั่วไป หรือว่าคนออกแบบถนัดมือซ้ายกันนะ 😛
เอาจิ้มถาดซิมออกมาก็จะเป็นดังรูป
ลองซูมดูถาดซิมชัดๆ จะเห็นว่าสามารถรองรับได้ 2 ซิม โดยช่องซิม 1 จะใช้เป็นช่องใส่ microSD card แทนได้ ซึ่งจะใช้ในกรณีเล่นซิมเดียว พร้อม microSD
พลิกมาดูด้านหน้าของมือถือดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
ส่วนบนของหน้าจอจะมีช่องลำโพงสำหรับสนทนาและกล้องหน้าอยู่ทางด้านขวา ด้านซ้ายของลำโพงดูเหมือนจะไม่มีอะไรแต่เป็นจุดรวมเซ็นเซอร์ต่างๆ เช่น เซ็นเซอร์วัดระดับความสว่าง และ Proximity sensor เป็นต้น
ส่วนล่างของหน้าจอจะมีปุ่มอยู่ปุ่มเดียวตรงกลางเรียกว่า ปุ่ม “mBack” โดยจะรองรับ input 2 แบบด้วยกันคือ การสัมผัสแบบ capacitive และการกดปุ่มลงไปจริงๆ ซึ่งการสัมผัสหรือแตะ 1 ครั้งจะทำหน้าที่เป็นปุ่ม Back ส่วนการดกปุ่มลงไปจะกลับไปหน้า Home
พลิกมาด้านหลังของตัวเครื่องกันบ้าง ดูเรียบๆ แต่ก็สวยดี
ส่วนบนของด้านหลังจะเป็นกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลชแบบ Dual-tone
ด้านล่างมีโลโก้ของ Meizu พร้อมสโลแกน “Designed by Meizu Made in China”
สำหรับงานออกแบบของ Meizu m2 note โดยรวมก็อย่างที่ได้เห็นและแนะนำไป โดยส่วนตัวผมว่ารุ่นนี้ออกแบบมาให้ดูพรีเมียมดี ทั้งที่ใช้วัสดุเป็นพลาสติกธรรมดา งานประกอบก็ทำได้แน่นหนาดี ยกเว้นถาดใส่ซิมโดยเฉพาะบริเวณพลาสติกด้านนอกที่ใช้ดึงเข้าดึงออกนั้นดูเหมือนจะหลุดได้ง่าย เพราะเครื่องรีวิวก็เริ่มหลวมๆแล้วเหมือนกัน
ระบบปฏิบัติการ Flyme OS
Meizu m2 note นั้นมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการของตัวเองที่ชื่อว่า Flyme OS พัฒนาบนพื้นฐานของ Android 5.1 Lollipop สำหรับเวอร์ชันที่ทำการรีวิวนี้จะเป็น Flyme OS 4.5.4I ซึ่งมีการแก้ปัญหาเรื่อง Google services เรียบร้อย
Homescreen
หน้า Homescreen ของ Flyme OS จะไม่มี App Drawer หรือ “หน้ารวมแอพ” ที่คนใช้ Android มาก่อนจะคุ้นเคยกันดี แต่สำหรับ Flyme OS แอพทุกแอพจะเรียงอยู่บนหน้า Homescreen คอนเซ็ปท์เดียวกับ iOS และมือถือของจีนอีกหลายๆยี่ห้อ ตรงนี้แล้วแต่ความชอบและถนัดของแต่ละคน บางคนอาจจะชอบ App Drawer มากกว่า ในขณะที่บางคนจะชินและติดมาจาก iOS หรือมือถือจีนรุ่นอื่นก็มี
เริ่มต้นหน้าจอจะมีให้ 2 หน้าแต่ก็เพิ่มได้เองเรื่อยๆ แล้วแต่ว่าลงแอพมากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงการเอา widget มาวางรวมกับแอพด้วย
Notification
ในส่วนของแถบแจ้งเดือนหรือ Notification shade เมื่อเราลากลงมาจากด้านบนของหน้าจอ จะมีวงกลม 5 วงเป็นสวิตช์หรือ toggle ให้เปิดปิดฟีเจอร์ต่างๆ เช่น WiFi, 3G, Bluetooth หรือ Auto brightness นอกจากนั้นถ้าเราเอานิ้วแตะบริเวณวงกลมแล้วลากลงมาหรือแตะรูปตารางจุดด้านบนขวา จะเป็นการขยาย toggle เพิ่มเติมออกมาให้เลือกใช้ได้อีก ส่วนด้านล่างของ toggle จะเป็นรายการของการแจ้งเตือนเหมือนกัน android มาตรฐานทั่วไป
Recent apps
สำหรับหน้าจอ Recent apps ที่เอาไว้สลับแอพใช้งานนั้น ใน Flyme OS จะไม่เหมือนกับ Android รุ่นอื่นๆที่มีปุ่มและหน้าเฉพาะสำหรับ Recent apps เลย สำหรับของ Flyme OS จะเรียกใช้ Recent apps ได้ด้วยการเอานิ้วลากจากขอบล่างของหน้าจอขึ้นมาด้านบน เสมือนดึงแถบ Recent apps ขึ้นมา
จากนั้นเราสามารถเอานิ้วแตะที่แอพแล้วลากขึ้นหรือลากลงเพื่อปิดแอพนั้นๆได้ นอกจากนั้นยังสามารถล็อคแอพไว้ไม่ให้โดนปิดจากระบบได้ โดยการแตะค้างไว้ที่แอพนั้นจนขึ้นรูปตัวล็อคกุญแจขึ้นมา เท่านี้ตัวแอพก็จะค้างอยู่ในหน่วยความจำแล้วครับ แต่ไม่แนะนำให้ใช้หรอกนะ ให้มันเป็นไปตามที่ระบบจัดการดีกว่า
Lockscreen
หน้าจอ lockscreen ของ m2 note นั้นออกแบบมาแบบเรียบง่าย ไม่มี shortcut ของแอพใดๆบนหน้า lockscreen เลย การใช้งานอาศัยทิศทางในการปัดเพื่อทำให้เกิดรูปแบบต่างๆกัน โดยการปัดขึ้นจะเป็นการปลดล็อคหน้าจอ, การปัดไปทางขวาจะเป็นการเลือกเปิดแอพอะไรก็ได้ 1 แอพ และการปัดไปทางซ้ายจะเป็นการเปิดหน้ากล้องพร้อมถ่ายรูปทันที
นอกจากนั้นยังมีระบบ Gesture Wakeup ที่ให้เราสามารถตั้งค่าการสัมผัสหน้าจอตอนที่ดับอยู่เพื่อเปิดหน้าจอหรือเปิดแอพต่างๆได้ เช่น Double-tap แตะสองครั้งเพื่อเปิดหน้าจอ หรืแ Slide upward ลากนิ้วขึ้นเพื่อปลดล็อคหน้าจอ สำหรับการเปิดแอพสามารถใช้การวาดเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ เช่น c, e, m, o และอื่นๆ เพื่อเปิดแอพที่ต้องการได้
Themes
FlymeOS นั้นมาพร้อมกับระบบ theme ที่สามารถเปลี่ยนหน้าตาของ UI ในเครื่องได้หลากหลายรูปแบบ โดยการเข้าถึงส่วนนี้จะอยู่ในแอพที่ชื่อว่า “Personalize” ซึ่งพอเปิดขึ้นมาจะมีคำเตือนก่อนว่า “เนื้อหาเป็นภาษาจีนนะ ภาษาอื่นกำลังตามมา” แต่นั่นไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร มั่วๆไปก็หาเจอ
Theme ที่มีให้เลือกใช้งานมีทั้งแบบที่ต้องจ่ายเงินซื้อและแบบฟรี ซึ่งเอาจริงๆของฟรีก็เยอะมากพอแล้ว โดยแต่ละ Theme จะมีการปรับหน้าตา UI ของเครื่องมากน้อยไม่เท่ากัน ซึ่งเราก็เลือกเองได้ด้วยว่า อยากใช้หรือไม่ใช่ส่วนไหน (module) เช่น เปลี่ยนแค่ Homescreen ไม่ต้องเปลี่ยน Lockscreen หรือหน้า Dialer เป็นต้น
ตัวอย่างของ Theme ที่ไม่ต้องจ่ายตังค์ซื้อ
Gallery
สำหรับ Gallery หรืออัลบั้มภาพของ Flyme OS นั้นจะแบ่งเป็น 2 มุมมองด้วยกันคือ Photo และ Gallery ในมุมมอง Photo นั้นจะเป็นการดูรูปถ่ายแบ่งตามเดือนที่ถ่ายภาพ โดยสามารถเปลี่ยนเป็นดูตามสถานที่ที่ถ่ายรูปก็ได้ ส่วน Gallery จะเป็นการดูตาม Folder ที่เก็บรูปเหล่านั้น ซึ่งสามารถเพิ่ม Folder หรือ search หารูปที่ต้องการได้
Music
แอพสำหรับฟังเพลงภายในเครื่อง โดยจะมีการแบ่งเพลงตามมาตรฐานของแอพเล่นเพลงทั่วไปคือ เรียงตามชื่อเพลง, ชื่อศิลปิน, ชื่ออัลบั้ม หรือตามชื่อ folder
หน้าตาเครื่องเล่นเพลงก็จะมีการโชว์รูปอัลบั้มหรือศิลปินพร้อมข้อมูลของเพลงนั้นๆ
ตัวแอพ Music ยังมีระบบ Equalizer มาให้ด้วย โดยจะมี Equalizer แบบ 5 band มาให้ปรับเองหรือจะใช้ preset ที่ให้มาก็ได้เช่นกัน นอกจากนั้นยังมีฟีเจอร์ Dirac HD Sound ที่เป็นการปรับปรุงเสียงตามรุ่นหูฟังของ Meizu ที่ใช้
Videos
สำหรับแอพดูวิดีโอที่ให้มานั้นก็ใช้งานง่าย โดยเริ่มจะแบ่งตาม folder ที่เก็บไฟล์วิดีโอ ซึ่งจริงๆแล้วเราก็สามารถกดเล่นวิดีโอจาก File explorer หรือ Gallery ก็ได้เหมือนกัน แต่การเข้ามาที่ Videos จะเป็นการคัดเฉพาะวิดีโอทั้งหมดในเครื่องมาให้เลือกดูได้ง่ายขึ้น
สำหรับตัว Player ระหว่างที่ดูวิดีโอนั้นก็มีฟีเจอร์พิเศษที่สามารถทำให้ video กลายเป็นหน้าต่างเล็กๆลอยบนหน้าจอได้ ทำให้เราสามารถทำอย่างอื่นเวลาที่ดูวิดีโอได้
โดยรวมแล้ว FlymeOS ทำออกมาได้ดีในหลายๆส่วนเลย ถึงแม้อาจจะต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยสักพัก โดยเฉพาะปุ่ม Back เนี่ย แต่เมื่อคุ้นเคยแล้วก็สามารถใช้งานได้ลื่นไหลดี ถือว่า Meizu ปรับจูนตัว UI มาดีด้วย ทำให้การใช้งานทั่วไปใช้ได้ง่ายดีไม่มีอะไรสะดุด
ประสิทธิภาพและความอึดของแบตเตอรี่
Meizu m2 note เลือกใช้หน่วยประมวลผล MediaTek MT6753 octa-core ความเร็ว 1.3GHz ซึ่งเป็น CPU สำหรับมือถือระดับ mid-range มาพร้อม GPU Mali-T720MP3 ซึ่งถือว่าไม่สูงมาก แต่ด้วยหน้าจอเพียง Full HD 1080p ทำให้เครื่องไม่ต้องรับภาระประมวผลมากนัก ซึ่งผลการทดสอบ benchmark ด้วย Antutu, Geekbench และ 3DMark ได้ออกมาดังนี้
Antutu Benchmark
Geekbench 3
3DMark : Ice Storm Extreme
สำหรับประสิทธิภาพของ Meizu m2 note นั้นเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป เท่าที่ลองใช้งานมานั้นลื่นไหลไม่มีสะดุด รวมไปถึงการเล่นเกมส์ก็พอได้ แต่ข้อสังเกตคือหลังจากที่ใช้งานไปสักพัก 2-3 ชั่วโมงเครื่องจะหน่วงลงอย่างเห็นได้ชัด ต้นเหตุน่าจะมาจากปัญหาการจัดการ RAM ที่ยังไม่ดีพอ รวมถึงปัญหา RAM รั่วด้วยเช่นกัน เพราะถึงแม้จะพยายาม clear แอพออกจากหน่วยความจำแล้วก็ยังหน่วงอยู่ ต้อง reboot เครื่องถึงจะกลับมาลื่นอีกครั้ง
ในส่วนความอึดของแบตเตอรี่รุ่นนี้ถือว่า ทำได้ดี เลยทีเดียว จากการใช้งาน 2 รูปแบบคือ ใช้งานน้อย และ ใช้งานหนัก สำหรับในวันที่ใช้งานน้อยนั้น m2 note อยู่ได้ยาวนานเกือบ 2 วัน นั่นแสดงว่า standby time ของมือถือรุ่นนี้ใช้งานพลังงานน้อยมาก สำหรับวันที่มีการใช้งานหนักก็อยู่ได้ข้ามวันสบายๆเช่นกัน นับว่าไม่เสียแรงที่มีแบตใหญ่ถึง 3100mAh
ปล. สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพนั้นผมทำในโหมด High Performance นะครับ ซึ่งปกติ m2 note จะทำงานในโหมด Balance ที่ประหยัดพลังงานมากกว่า
กลัองและตัวอย่างภาพถ่าย
Meizu m2 note มาพร้อมกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล โดยเป็นภาพสัดส่วนใน 4:3 ใช้เซ็นเซอร์ของ Samsung เลนส์มีค่า Aperture f/2.2 สำหรับค่า default นั้นตัวกล้องตั้งมาที่ 8 ล้านพิกเซล สัดส่วนกว้าง 16:9 สำหรับการถ่ายภาพโหมด Auto เราสามารถเปิดฟีเจอร์เพิ่มเติมได้ เช่น HDR, เส้นตาราง (Gridlines) และ Level gauge ที่เอาไว้เช็คว่าเราตั้งกล้องเแนวนอนเบี้ยวหรือไม่เบี้ยว นอกจากนั้นก็ตั้งเวลา (Timer) ถ่ายรูปได้ด้วย
โหมดการถ่ายรูปที่ให้มาก็ถือว่ามีให้ใช้งานกันหลากหลายทั้ง Auto, Manual, Beauty, Panorama, Light field และ Slowmotion แต่โหมดที่น่าสนใจของมือถือรุ่นนี้ก็คือ Manual นี่แหละครับ
ตอนแรกผมคิดว่ามือถือราคา 5000 นิดๆไม่น่าจะมีโหมด Manual มาให้ แต่ Meizu m2 note ให้มาครับ! แถมปรับค่าได้เยอะกว่ามือถือหลัก 20,000 บาทซะด้วยสิ โดยโหมด Manual นั้นจะให้เราตั้งค่าได้ 4 อย่างด้วยกันคือ
Shutter speed ตั้งแต่ 1/5000 วินาทีไปจนถึง 10 วินาที
ISO ตั้งแต่ 100 จนถึง 1600
Exposure ตั้งแต่ -3 ถึง 3
Focal length ตั้งแต่ Macro ถึงระยะอนันต์
ด้วยการปรับค่าขนาดนี้น่าจะถูกใจขาถ่ายรูปแต่งบน้อย เพราะ Manual ปรับได้เยอะจริงๆ
ร่ายยาวฟีเจอร์กล้องมาเยอะ ได้เวลามาดูภาพตัวอย่างกันแล้วครับ
สภาพแสงปกติ
สภาพแสงน้อย
HDR ย้อนแสง
Light trail
Slowmotion
สำหรับวิดีโอนั้นถ่ายได้สูงสุดที่ความละเอียด Full HD 1080p เสียงที่อัดเป็นสเตริโอ คุณภาพพอใช้ เสียงไม่อู้อี้ ตัวอย่างมีดังนี้
ในส่วนของกล้องหน้าถ่ายภาพได้สูงสุด 5 ล้านพิกเซล ซึ่งก็นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับการถ่าย Selfie โดยจะมีโหมด Beauty มาช่วยปรับหน้าตาให้ดูดีขึ้นอีกจมเลย
โดยรวมกล้องของ Meizu m2 note ถือว่าทำได้ดีมากในมือถือราคาระดับนี้ ภาพที่ได้นั้นคมชัด เก็บรายละเอียดได้ดีพอสมควร noise ก็ไม่ค่อยเห็นมากนัก ส่วนที่ทำได้ไม่ดีนักน่าจะเป็นตอนสภาพแสงน้อยหรือตอนกลางคืนที่ภาพติดเบลอได้ง่ายมาก มือต้องนิ่งจริงๆถึงจะไม่เบลอ แต่ผมก็คงไม่เรียบร้องอะไรมากกว่านี้สำหรับมือถือในช่วงราคา 5,000 บาท
บทสรุปและข้อสังเกตเพิ่มเติม
Mezu m2 note นับเป็นมือถืออีกรุ่นที่คุ้มค่าเงินที่สุดในตลาดตอนนี้ ด้วยสเปกที่นับว่าเทียบชั้นกับมือถือในช่วงราคาระดับ 9,000-10,000 บาท แต่กลับขายเพียงแค่ 5,990 บาทเท่านั้น (แอบเห็นว่ามีลดลงมาเหลือ 5,490 บาทด้วยช่วงนึง) นี่น่าจะเป็นมือถือสำหรับคนที่มองหาความคุ้มค่าในราคาไม่แพงมาก แต่ได้มือถือที่มีคุณภาพทั้งงานประกอบและใช้งานทั่วไปได้เพียงพอ แถมมีกล้องที่ดีและฟีเจอร์การถ่ายภาพที่น่าสนใจ โดยเฉพาะโหมด Manual นี่เซอร์ไพรส์จริงๆ
อย่างไรก็ตาม Meizu m2 note ยังมีจุดที่ไม่สมบูรณ์บางอย่างอยู่เหมือนกัน เท่าที่สังเกตจากการใช้งานมาร่วม 2 เดือนมีดังนี้
หลังจากใช้งานไปสักพักเครื่องจะหน่วงเหมือนกับ RAM ไม่พอใช้ ตรงนี้ต้อง reboot ถึงจะกลับมาเร็วเหมือนเดิม
วิดีโอที่ถ่ายมาไม่สามารถอัพโหลดขึ้น Instagram ได้ (แต่ถ้าถ่ายจาก Instagram เองจะอัพได้)
การจับสัญญาณ WiFi ยังไม่นิ่ง มีสัญญาณ drop เป็นบางครั้ง
การเปิดเข้าใช้งานกล้องยังช้าอยู่ และตอนที่เปิดดูรูปที่ถ่ายเสร็จก็ช้าเหมือนกัน
GPS หลุดบ่อย ไม่เหมาะใช้นำทาง
สำหรับผู้ที่สนใจ Meizu m2 note ตอนนี้ทาง Meizu จะขายแบบ Flash sale ผ่านทาง Lazada เท่านั้น ในราคา 5,990 บาท มี 2 สีคือ ขาวและดำ ซึ่งแว่วๆว่าจะมีการขาย Meizu MX5 มือถือตัวแรงตามมาด้วยเร็วๆนี้ โดยหลังจาก Deal ระหว่าง Meizu กับ Lazada จบแล้วก็จะเริ่มวางจำหน่ายตามร้านทั่วไปครับ ผมขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้ สวัสดีครับ
ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ
ถามหน่อยซิ ตัวนี้กับ redmi note2 ของเสี่ยวหมี้ ตัวไหนดีกว่ากันอ่ะ (พอดีจะซื้อให้แม่ใช้อ่ะ ฝากพี่หิ้วมา4500) บาทเองตัวไหนคุ้มกว่ากันครับ
ถ้าสองตัวนี้ ผมเลือก Redmi note 2 นะ เพราะยาวๆ ไป เปลี่ยนแบตได้เอง และจับถนัดมือกว่า ใช้ทั้งสองตัวเช่นกัน
ข้อเสียเลย คือ Redmi Note 2 ยังไม่มี rom inter ออกมา (หวังว่าคงอีกไม่นาน) ตอนนี้ต้องเอามาลง playstore เอง แต่ทำไม่ยาก หา app google installer ลง
ผมซื้อตัว TD LTE มา สามารถใช้ FDD-LTE และ 3G ในบ้านเราได้หมดครับ ซึ่งรุ่นนี้ราคาถูกกว่าประมาณ 100 หยวน มันจะล็อคเครือข่ายในจีนเฉยๆ แต่ออกนอกประเทศใช้งานได้ปกติ
Redmi note2 มี rom ภาษาไทยแล้วเหรอครับ
ตามอยุ่แค่ช่วงแรกๆอะครับ
คหสต. ผมจะซื้อให้ ผู้ใหญ่ ดูภาษาไทยก่อนเลยอะครับ
หมายถึงคำสั่งทุกอย่างเป็นภาษาไทยใช่ไหมครับ ถ้าใช่ คิดว่ายังไม่มีนะ
เท่าที่ผมเคยผ่านตามา รอมไทย เกิดจากการที่คนไทยแปลกันเอง ซึ่งบางตัวที่ดังๆ ยังไม่สมบูรณ์เลยครับ
แต่ให้ชัวร์ ลองถามในเว็บเฉพาะทาง น่าจะดีครับ
ใช่ครับ rom ภาษาไทย
ขอบคุณครับ
ไปดูอีกที มีแล้วนะครับ แต่ยังไม่ใช่ตัวสมบูรณ์ เพราะ Redmi Note 2 ยังไม่มีรอม global
สนใจลองเข้าไปดูนะครับ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=942632229161207&id=747616315329467&hc_location=ufi
ขอบคุณ ทุกท่่านที่เข้ามาตอบมากครับ ตกลงตัวมันซื้อมาต้องลงรอมภาษาไทยเองใช่ไหมครับ (ซึ่งรอมมันยังไม่สมบูรณ์ด้วยใช่ไหมครับ? ผมเข้าใจถูกรึป่าวเอ่ย)
แนะนำช่วงนี้ราคาลดไปเยอะคับ..
www.lazada.co.th/shop-mobiles-tablets/meizu/?price=4690-10390 ตอนนี้ถ้ามีเงินซื้อ MX5 คุ้มกว่าคับ M2 Note คับสเปคดีกว่า
ลองเช็คราคาดู MX5 เหลือประมาณ 7 พันนิดคับ..
หาโค้ดลดได้เพิ่มอีก > โค้ดส่วนลด
แต่ไม่แน่ใจราคายังลดอีกอ่ะป่าว บ้างทีกรอกโค้ดลดไม่ได้เพราะเหมือนราคามันลดแล้วคับ..
อาจจะลดได้ประมาณ 50 บาทหรือไงลองเช็คดูคับ…
พอดีใช้ทั้ง 2 ตัว ดีทั้งคู่ครับ แต่ remi note2 แรงกว่าแพงกว่านิดหน่อย ทั้ง 2 รุ่นแนะให้เอาแบบ 32 GB ไปเลยครับ
ชิปเสียง ได้เหมือนตัว top ป่าวครับรุ่นนี้
ไม่ได้ครับ ถ้าได้นี่ ไม่อยากจะคิด
สเป็คดีนะเนี้ยแต่ผมไม่ชอบ Flyme UI
ลงรอมอื่นได้นะ
Flyme ออกแบบมาแนวๆ iOS มาก ใช้แบบแค่ปุ่ม home อย่างเดียว ไม่ต้อง back ได้
เสียดายหลังจากอัพเดทล่าสุด เขาเอาระบบ Theme ออกจาก Flyme UI ไม่น่าเลย เสียใจมาก
เท่าที่ใช้มาประมาณเดือนกว่า ๆ ถือว่าโอเค กล้องดี
ปกติไม่ได้ปรับ เลยไม่รู้ว่าเอาออกไปแล้ว
+1
เซงกันไปหลายคนเช่นกัน
แรกๆใช้กึ่ง rom จีนเลยมีให้
พอตอนหลัง update เปน inter หายเลย
..ก็ทำได้นะ แต่มันสะดวกเหมือนมีอะเนอะ ง่ายก่าเยอะ
รบกวนคุณ badpig ขอลิ้งค์วิธีทำได้ไหมคะ คืออยากได้ ธีม กลับมา
ขอบคุณคะ
อ้าว เอาของดีออกซะงั้น
รูปสวยเลย ทั้งกลางแจ้งและที่แสงน้อย … คนเขียนรีวิวมือนิ่งดีจัง
คัดแล้วคัดอีก #ล้อเล่น
เห็นด้วยครับ ทำไมถ่ายได้สวยขนาดนี้น้อ น่าจะต้องมีความรู้เรื่องกล้องอยู่พอตัวใช่ไหมครับ
กว่าจะหมดดีลก็ไม่รู้คนจะสนใจไหม แทนที่จะเอามาขายที่ร้านทั่วไป
ป.ล สรุปแล้วชื่อ LARUKU ก็มาจาก L'Arc -en-Ciel สินะครับ
ผมซื้อตอน 11/11 ได้ราคาหลังหักส่วนลดเหลือ 48xx คุ้มมาก
ทีแรกว่าจะรอสีฟ้า ตอนงานมือถือ ทาง Meizu ที่มาออกบูธแจ้งว่าสีอื่นๆ จะตามหลังมาประมาณ 2 เดือน แต่เดาว่าคงดูว่าขายดีไหม ถ้าดีคงเอาเข้ามาเพิ่ม แต่ไม่ดี คงจบกัน
ใช่แล้วครับ ^_^
เหมือนว่าจะมีอีก 12/12
สนใจจะซื้อตัวนนี้นะครับ
แต่เหนเพื่อนที่มีทั้ง M2 note ทั้ง Flash 2 บอกว่า
M2 note เล่น app iflix กะ Primetime มะได้
-iflix ติดที่ app จอดำ
-Primetime ติดที่ rom Meizu กึ่ง root ซึ่ง Primetime เล่นกะ root device มะได้
ผมอะเสียดายเลย กะเอาจอสวยๆมาดูหนังซะหน่อย (>_<)
แบบนี้จะใช้ App KBank ได้ไหมนี่
m2 note ผมมองว่าไม่คุ้มแล้วครับ
ทาง meizu ออกตัวใหม่ meizu metal มาสู้กับ redmi note 2
ได้ MTK 6795 มีแสกนนิ้วมือด้วย ตัวเครื่องเป็นอลูมิเนียม ดูหรูกว่าตัวนี้เยอะ
ขอบคุณครับ 😀
จอมีปัญหาตั้งแต่วันแรก ส่งเคลมไปเรียบร้อย ยังไม่ได้ใช้เบย T_T
กลับมา update ด้วยนะครับว่าเป็นไงบ้าง ใช้เวลากี่วัน เผื่อให้ท่านอื่นได้ทราบด้วย
พุธเย็น – ได้รับของวัน พบปัญหา
พฤหัสเช้า – ส่งเคลม
ศุกร์เช้า – ของถึงคลัง
จันทร์เช้า – เมล์ไปบ่นนิดเล็กน้อย ^^
อังคารบ่าย – Approve คืนเงิน!!
ยังลังเลอยู่ จะสั่งตัวเดิมอีกรอบ หรือไปสั่ง MX5 หรือย้ายแบรนไปเลย 55
ได้ครับ เด๋วได้เครื่องคืนมาแล้วมาสรุปให้ฟัง