ดูเหมือนช่วงนี้จะเป็นขาลงของ Meta ซะแล้วค่ะ เพราะมีรายงานว่าตอนนี้ทางบริษัทกำลังวางแผนลดค่าใช้จ่ายลงอย่างน้อย 10% ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ด้วยเศรษฐกิจของโลกที่เปลี่ยนไป ดังนั้นบริษัทจึงต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคใหม่เนื่องจากตลาดโซเชียลมีเดียที่มีการแข่งขันสูงมาก จนรายได้ของ Meta ไม่เป็นไปตามเป้า (คู่แข่งที่น่ากลัวคือ TikTok ค่ะ) ก็เลยต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนกันยกใหญ่เลย

มีรายงานว่า Meta จะลดค่าใช้จ่ายของบริษัทลงอย่างน้อย 10% ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แน่นอนว่าบริษัทจะดำเนินการเลิกจ้างพนักงานและโยกย้ายทีมภายในองค์กร บางคนก็เป็นเรื่องยากที่จะต้องปลดออกด้วยความที่เป็นคนเก่งมีความสามารถ แต่ก็ต้องรับเข้าพิจารณาสู่กระบวนการนี้เหมือนกันค่ะ แต่ในขณะเดียวกันก็มีพนักงานบางคนไม่สมควรได้ทำงานต่อเพราะประสิทธิภาพการทำงานไม่ดีเท่าที่ควรด้วย 

ตามแหล่งข่าวทาง Meta ได้เริ่มเลิกจ้างพนักงานไปหลายตำแหน่งแล้วค่ะ เพื่อเป็นการจัดระเบียบใหม่ แต่พนักงานที่ได้รับผลกระทบถูกปลดออกจากตำแหน่งเดิม ก็ยังสามารถหางานใหม่ในตำแหน่งอื่นได้แทนค่ะ โดยพนักงานที่ถูกปรับโครงสร้างจะมีเวลา 30 วันในการหาตำแหน่งงานใหม่ใน Meta ซึ่งหากยังไม่ผ่านก็จะถูกเลิกจ้างค่ะ

ซึ่งเรื่องนี้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เคยบอกเอาไว้แล้วตั้งแต่กรกฎาคมที่ผ่านมาว่าบริษัทจำเป็นต้องจัดสรรทรัพยากรใหม่ตามลำดับความสำคัญขององค์กรนั่นเอง

สำหรับการปลดพนักงานครั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าการแข่งขันในตลาดโซเชียลมีเดียที่ดุเดือดขึ้น นอกจากนี้ยังมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่า 22% เมื่อช่วงไตรมาสที่สองของปี และไหนจะพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจนต้องมาเจอกับคู่แข่งที่น่ากลัวอย่าง TikTok ทำให้ Meta มีความจำเป็นต้องปลดพนักงานออกเพื่อลดขนาดองค์กร กับลดค่าใช้จ่ายให้เหลือเฉพาะที่จำเป็นเพื่อเตรียมรับมือกับอนาคตค่ะ

อย่างไรก็ตาม Meta ไม่ใช่บริษัท IT ยักษ์ใหญ่เพียงรายเดียวนะคะที่ต้องปลดพนักงานออก เพราะ Google เองก็ต้องปลดพนักงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายลงด้วยเช่นกัน โดยแจ้งล่วงหน้า 60 วัน เพื่อให้เวลาพนักงานหาตำแหน่งใหม่ แต่ทางพนักงาน Google จำนวน 1,400 คนได้ลงนามคำร้อง ขอให้ยืดระยะเวลาออกเป็น 180 วัน

เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของหลายบริษัทเทคทั่วโลกเลยนะคะ ใครจะคิดว่าบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลกยังต้องประสบปัญหาเรื่องรายได้จนจต้องปลดพนักงานกันขนาดนี้ ต้องมารอดูกันต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก

 

ที่มา : The Wall Street Journal