สวัสดีเพื่อนสมาชิก Droidsans ทุกท่าน หลังจากที่ผมได้ทำการ รีวิว Moto X Play มือถือรุ่นกลาง แต่ทรงประสิทธิภาพจาก Moto Thailand ไปในคราวที่แล้ว วันน้ีขออนุญาตแนะนำคู่หูของ Moto X Play ที่วางจำหน่ายคู่กัน มันคือ Moto 360 (2nd Gen) นาฬิกาข้อมืออัจฉริยะหรือ smartwatch ที่มีการปรับปรุงทุกอย่างให้ดีขึ้นจากรุ่นแรก แถมรอบนี้มีหน้าปัดให้เลือก 2 ขนาดคือ 46 มิลลิเมตรสำหรับผู้ชาย และ 42 มิลลิเมตรสำหรับผู้หญิง จำหน่ายในราคา 13,999 บาท และ 12,999 บาท ตามลำดับ ลองมาดูความน่าสนใจของ Moto 360 (2nd Gen) กันครับ
สำหรับ Moto 360 เครื่องที่ทางเว็บได้มารีวิวนั้นเป็นรุ่นหน้าปัด 46 มิลลิเมตรสำหรับผู้ชายหรือจะเป็นผู้หญิงที่ข้อมือใหญ่ก็ใส่ได้เหมือนกัน โดยเป็น Moto 360 รุ่นที่ 2 หรือ 2nd Gen ที่เปิดตัววางจำหน่ายในต่างประเทศไปตั้งแต่เมื่อกลางปี 2015 ที่ผ่านมา ซึ่งรุ่นนี้มีการปรับเปลี่ยนงานออกแบบจากรุ่นแรกให้ดูหรูหรามากขึ้น มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆเข้ามา และปรับปรุงข้อเสียของรุ่นแรกไปอีกหลายอย่าง เรามาดูรายละเอียดกันครับ
แกะกล่องกันซะก่อน
กล่องของ Moto 360 นั้นทำมาน่าสนใจ เป็นกล่องพลาสติกทรงกระบอก มีฝาใสปิดด้านบน ดูหรูหราใช่เล่น เปิดฝาออกมาก็จะเห็นตัวนาฬิกานอนรออยู่แล้ว
ด้านล่างของกล่องทรงกระบอกจะมีข้อมูลชื่อรุ่น และรายละเอียดมือถือที่รองรับเอามาเชื่อมต่อใช้งานได้ ประกอบด้วย มือถือ Android 4.3 ขึ้นไป และ iPhone 5/5c/5s/6/6s ที่ทำงานบน iOS 8.2 ขึ้นไป โดยฟีเจอร์บางอย่างจะไม่สามารถใช้งานบน iOS ได้
สำหรับอุปกรณ์ในกล่องก็ไม่มีอะไรมาก มีเพียงแท่นชาร์จไร้สาย, สาย USB และคู่มือ เท่านั้นครับ
เวลาจะชาร์จก็เอาตัวเรือนไปวางไว้บนแท่นชาร์จแค่นั้น
สำหรับการแกะกล่องก็มีประมาณนี้ ต่อไปเรามาดูเรื่องอื่นๆดันดีกว่า
หน้าจอแสดงผล
หน้าจอของ Moto 360 รุ่นใหม่นั้นจะมีความละเอียดเพิ่มมากขึ้นจากรุ่นเดิม โดยรุ่น 46 มม.จะมีความละเอียด 360 x 330 คิดเป็นความหนาแน่นของเซลที่ 233ppi ส่วนรุ่น 42 มม.จะมีความละเอียด 360 x 325 คิดเป็นความหนาแน่นพิกเซล 263ppi ให้ภาพที่คมชัดกว่ารุ่นใหญ่เพราะหน้าจอที่เล็กกว่านั่นเอง
หน้าจอของ Moto 360 (2nd Gen) นั้นให้ภาพที่คมชัดและมีความสว่างมากเพียงพอ การใช้งานแอพบนนาฬิกาหรือการเปลี่ยนหน้าตาของนาฬิกาที่เรียกว่า Watch face นั้นให้ภาพที่สวยงามและดูมิติดีมาก พูดง่ายๆว่าดูเผินๆเหมือนหน้าปัดนาฬิกาของจริงเลยครับ ถึงแม้ว่าการมองใกล้ๆหน่อยก็พอเห็นพิกเซลแตกเป็นเม็ดอยู่ แต่นั่นคือต้องมองใกล้จริงๆ ส่วนกระจกที่ใช้เป็น Gorilla Glass 3 ช่วยป้องกันการขีดข่วนได้ดีพอประมาณ แต่อย่าเอาไปวัดกับพื้นคอนกรีตละกัน
อย่างไรก็ตามจุดเสียจุดเดียวที่ยังคงอยู่มาตั้งแต่ Moto 360 รุ่นแรกคือ “หน้าจอทรงล้อแบน (Flat tire)” เพราะมันไม่ได้เป็นวงกลมสมบูรณ์แบบ 100% แต่มีการตัดขอบด้านล่างเป็นแถบดำ เหมือนคนตัดเค้กไม่เป็น ซึ่งเหตุผลก็ยังเป็นเรื่องของงานออกแบบเหมือนเดิม เนื่องจาก Moto 360 มีขอบหน้าปัดที่ค่อนข้างบาง เพราะต้องการให้ตัวเรือนไม่ใหญ่มาก ทำให้ต้องเอาเซ็นเซอร์ต่างๆมารวมกันที่ด้านล่างหน้าจอ แต่ Moto ก็เคลมว่า Moto 360 มีอัตราส่วนขนาดหน้าจอต่อตัวเครื่อง (Screen-to-body ratio) ถึง 71.7% ถือว่าเยอะมากแล้ว แต่ๆๆมันขัดหูขัดตานี่นา >_<”
สเปกของ Moto 360
Moto 360 มีการปรับสเปกเพิ่มเติมจากรุ่นแรกในทุกส่วน โดยเฉพาะ CPU ที่ของเดิมใช้ TI OMAP 3 ซึ่งมีคนบ่นว่าทำงานได้ค่อนข้างช้าเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งใน gen เดียวกัน รุ่นนี้จึงจัดมาให้สมน้ำเนื้อด้วย CPU Qualcomm Snapdragon 400 และ GPU Adreno 305 ซึ่งถือว่าเหลือเฟือสำหรับนาฬิกา smartwatch สเปกโดยละเอียดเป็นดังนี้
ชื่อและรหัส: Moto 360 (2nd Gen)
น้ำหนัก: ไม่ทราบ
สัดส่วน:
รุ่น 46 มม.: เส้นผ่านศูนย์กลาง 46 มม. สูง 11.4 มม.
รุ่น 42 มม.: เส้นผ่านศูนย์กลาง 42 มม. สูง 11.4 มม.
แบตเตอรี่:
รุ่น 46 มม.: 400mAh (ใช้งานได้สูงสุด 2 วันด้วยรูปแบบการใช้งานผสมผสานและปิดใช้งาน Ambient)
รุ่น 42 มม.: 300mAh (ใช้งานได้สูงสุด 1 วันครึ่งด้วยรูปแบบการใช้งานผสมผสานและปิดใช้งาน Ambient)
หน้าจอ: แบ็คไลท์แบบ LCD Corning® Gorilla® Glass 3
รุ่น 46 มม.: 1.56 นิ้ว (40 มม.), 233ppi (360 X 330)
รุ่น 42 มม.: 1.37 นิ้ว (35 มม.), 263ppi (360 X 325)
OS: Android Wear 1.4.0 บน Android 6.0.1 Marshmallow รองรับการทำงานร่วมกับมือถือทั้ง Android และ iPhone
มือถือที่ทำงานบน Android 4.3 ขึ้นไป
มือถือ iPhone 5, iPhone 5c, iPhone 5s, iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ที่ทำงานบน iOS 8.2 ขึ้นไป
CPU: Snapdragon 400 ความเร็ว 1.2GHz
GPU: Adreno 305 ความเร็ว 450MHz
RAM: 512MB
ความจุ: 4GB
มาตรฐานการกันน้ำ: IP67
การเชื่อมต่อ:
Bluetooth® 4.0 Low Energy
Wi-Fi 802.11 b/g
เซ็นเซอร์ต่างๆ:
ตัวนับก้าว (Pedometer)
เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจ (Heart Rate Sensor)
ไมโครโฟนดิจิตอลคู่
Accelerometer, Ambient Light Sensor, Gyroscope, Vibration/Haptics engine
จะเห็นว่าสเปก Moto 360 (2nd Gen) นั้นโดยหลักเป็นการอัพเกรด CPU ส่วน RAM และ ROM ยังเท่าเดิม ซึ่งก็ไม่น่าแปลกเพราะยังไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่ม และคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นก็ยังอยู่เหมือนเดิมคือ IP67 ซึ่งทาง Moto อธิบายไว้ดังนี้
IP67 – ทนทานต่อการจมอยู่ใต้น้ำจืดความลึกสูงสุด 3 ฟุตเป็นระยะเวลา 30 นาที ผลิตภัณฑ์ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้งานขณะอยู่ใต้น้ำ ห้ามใช้งานขณะว่ายน้ำ หรือนำไปใช้งานในกระแสน้ำแรงดันสูง หลีกเลี่ยงสายรัดข้อมือหนังจากการสัมผัสกับน้ำ อุปกรณ์นี้ไม่ป้องกันฝุ่นละออง
งานออกแบบส่วน Hardware
Moto 360 รุ่นแรกในปี 2014 ถือเป็น Android Wear ตัวแรกที่เลือกทำหน้าปัดแบบทรงกลม และมันยังคงสืบทอดมาให้รุ่นที่สองเช่นกัน แต่รุ่นที่สองจะมีการปรับเปลี่ยนงานออกแบบตัวเรือนให้ดูเหมือนกับนาฬิกาข้อมือมากขึ้นไปอีก เรามาดูรอบๆกันดีกว่า
ตัวเรือนของ Moto 360 (2nd Gen) ยังคงทำมาจาก Stainless Steel เกรด 316L เช่นเดิม เพิ่มเติมคือ มันดูหรูมากขึ้น และมีตัวล็อคสายยื่นออกมาข้างนอกชัดเจน สามารถเปลี่ยนสายได้ง่ายเหมือนนาฬิกาปกติ ต่างจากรุ่นแรกที่สายจะจมเข้าไปในตัวเครื่อง เปลี่ยนยากและต้องใช้ความพยายามนิดหน่อย
“เม็ดมะยม” ถูกเลื่อนตำแหน่งจากตรงกลางขึ้นไปด้านบนเล็กน้อย เหตุผลน่าจะเป็นเรื่องความสวยงามอย่าเดียว เพราะเจ้าเม็ดมะยมก็ยังหน้าที่เป็นปุ่ม Home, ปุ่ม Power และปุ่มเปิด-ปิดหน้าจอ เหมือนเดิม
ฝั่งตรงข้ามกับเม็ดมะยมจะเป็นรูไมโครโฟนดิจิตอล สำหรับรับคำสั่งเสียง
พลิกมาดูด้านหลังของตัวเรือนเป็นกระจกครอบอยู่ ซึ่งภายในจะมีเซ็นเซอร์ชาร์จแบบไร้สายอยู่ ส่วนกลมๆตรงกลางนั้นเป็น เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจ (Heart Rate Sensor) โดยเวลาทำงานจะมีแสงไฟสีเขียวยิงออกมา
อย่างที่บอกคือ Moto 360 รุ่นนี้สามารถเปลี่ยนสายได้ง่ายมากๆ เพราะมันมีสลักมาให้ปลดสายได้เลย เราสามารถหาสายนาฬิกามาเปลี่ยนได้เอง โดยต้องเป็นสายขนาด 22 มม.นะครับ
สายที่มากับ Moto 360 เป็นสายหนังจาก Horween Leather เหมือนกับรุ่นแรก โดยเราสามารถหาสายนาฬิกาขนาด 22 มม.มาเปลี่ยนได้เองเลยครับ หรือใครจะลองสั่งของใหม่อย่าง MODE band ของ Google มาลองใส่เล่นดูก็ได้
MODE band จาก Google ก็รองรับ Moto 360 ด้วย
โดยภาพรวมงานออกแบบของ Moto 360 (2nd Gen) นั้นจะเน้นที่ความเรียบง่าย แต่ก็ดูหรูหรา และด้วยความเรียบง่ายนี้ทำให้เราสามารถเลือกเปลี่ยนสายนาฬิกาได้หลายรูปแบบ และมันยังดูเข้ากันได้กับสายแบบนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นสายหนัง, สายซิลิโคน หรือสายเหล็ก สามารถเลือกใส่ได้ตามใจชอบเลย
Android Wear และ Moto Body
Moto 360 มาพร้อมกับ Android Wear เวอร์ชันล่าสุดคือ 1.4.0 ทำงานบน Android 6.0.1 Marshmallow เรียบร้อย ซึ่งซอฟต์แวร์เวอร์ชันนี้มีการปรับปรุงแก้ปัญหาไปหลายอย่างแล้ว ตั้งแต่ตอนที่วางขายใหม่ๆ การใช้งานจึงเสถียรมาก และทำให้เราได้ใช้ประโยชน์จาก smartwatch ได้เต็มที่ และ Moto 360 ก็ได้รับซอฟต์แวร์อัพเดตค่อนข้างรวดเร็วหากมีเวอร์ชันใหม่จาก Google ออกมา เพราะรุ่นนี้น่าจะเป็นลูกรักของ Google เห็นได้จากโฆษณาหรือการประชาสัมพันธ์ต่างๆเกี่ยวกับ smartwatch ของ Google จะมี Moto 360 เป็นนายแบบอยู่เสมอ
Smartwatch ที่เป็น Android Wear นั้นมีจุดเด่นอย่างหนึ่งคือเรื่องของ “Watch faces” หรือหน้าปัดนาฬิกาที่มีมากมายหลายรูปแบบให้เราเลือกใช้ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีการแสดงข้อมูลแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น เวลา, พยากรณ์อากาศ, แบตเตอรี่, จำนวนก้าวเดิน และอัตราการเต้นหัวใจ ซึ่งนอกจาก Watch face ที่มีมาให้ในเครื่องแล้ว เรายังสามารถ download เพิ่มเติมจาก Play Store ได้อีกมากมาย และส่วนใหญ่ก็จะเป็นหน้าปัดทรงกลมเหมาะกับ Moto 360 พอดีเลยครับ
ตัวอย่าง Watch faces ที่สามารถใช้ได้กับ Moto 360
สำหรับการใช้งาน Android Wear ทั่วไปนั้น ผมจะไม่ขอลงรายละเอียดมาก หากใครสนใจ สามารถไปอ่านได้จากบทความ รีวิว Moto 360 รุ่นแรกของน้อง Akexorcist ได้เลย วิธีการใช้งานเหมือนกันครับ
Moto Body
Moto 360 นั้นนอกจากจะใช้งานในแง่ของ การดูเวลา, การดูข้อมูลแจ้งเตือนต่างๆม การสั่งงาน Google Now และการเปลี่ยน Watch face แล้ว Smartwatch รุ่นนี้ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์สำหรับการรักษาสุขภาพและการออกกำลังกาย โดย Moto 360 จะมี ตัวนับก้าว (Pedometer) และ เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจ (Heart Rate Sensor) มาให้ด้วย ซึ่งมันจะทำงานร่วมกับ app อีกหนึ่งตัวที่ชื่อว่า “Moto Body”
Moto Body จะมีการบันทึกข้อมูลการเดินและอัตราการเต้นหัวใจของเราในทุกๆวัน และตลอดทั้งวัน (เวลาที่ใส่นาฬิกาอยู่) โดยเริ่มแรกเราต้องใส่ข้อมูลส่วนตัว เช่น เพศ, ส่วนสูง และน้ำหนัก ไว้ด้วย จากนั้นระบบก็จะทำการคำนวนปริมาณแคลอรี่ที่ถูกเผาผลาญไปในแต่ละวัน เพื่อให้เรามาดูข้อมูลสถิติต่างๆที่บันทึกไว้ได้ พร้อมมีคำแนะนำสำหรับการออกกำลังกายเบื้องต้นให้อีกต่างหาก
ภาพแสดงกราฟของการเต้นของหัวใจ, จำนวนก้าวเดิน และแคลอรี่ที่เผาผลาญ
นอกจากนั้นถ้าเราไม่ชอบดูข้อมูลผ่าน Moto Body เราสามารถเลือกแชร์ข้อมูลไปยังแอพอื่นๆที่เราใช้งานอยู่แล้วเป็นประจำก็ได้ เช่น Google Fit, Fitbit หรือ Strava เป็นต้น
Moto Running
พิเศษสำหรับคนชอบออกลำกายด้วยการวิ่ง ตัว Moto Body เองก็มีฟีเจอร์ย่อยที่ชื่อว่า “Moto Running” ที่เอาไว้ใช้ติดตามข้อมูลการวิ่งของเรา ได้ด้วยเช่นกัน โดยเราสามารถเปิดแอพ Moto Body บนนาฬิกาแล้วเลือกที่เมนู Running เพื่อเริ่มเก็บข้อมูลการวิ่งของเรา เราสามารถตั้งเป้าหมายการวิ่งได้ทั้งแบบ จับเวลา, ระยะทาง หรือ อัตราการเต้นหัวใจ เมื่อตั้งค่าเสร็จก็กด Start เริ่มวิ่งได้เลย โดยในระหว่างวิ่งก็สามารถดูระยะทาง, ความเร็ว และอัตราการเต้นหัวใจได้ตลอดเวลา
นอกจากนั้นเรายังสามารถดูสถิติการวิ่งครั้งที่ผ่านๆมาของเราบนมือถือได้ด้วยครับ
สำหรับฟีเจอร์ Moto Body พอสังเขปก็ประมาณนี้ แต่เท่าที่ผมสังเกตคือ ตัวนับก้าว นั้นดูจะโอเวอร์เกินไปนิด จำนวนก้าวที่เดินเลยเกินจริงไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสมากมายครับ อ้อ! อีกอย่างคือ Moto 360 ที่เป็นสายหนังนั้นไม่เหมาะกับการออกกำลังกายนะครับ ควรจะหาสายซิลิโคนมาเปลี่ยนดีกว่า สำหรับคนที่ออกกำลังกายจริงจังจะมี Moto 360 Sport รุ่นที่ทำมาเพื่อการออกกำลังกายอยู่แล้ว ใช้รุ่นนี้จะเหมาะกว่า
ประสิทธิภาพและความอึดของแบตเตอรี่
Moto 360 รุ่นแรกนั้นมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพอยู่ หากใครได้ติดตามข่าวมาบ้าง แต่สำหรับ Moto 360 (2nd Gen) รุ่นนี้ไม่มีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพ ไม่อืด ไม่หน่วงอีกแล้ว ต้องขอบคุณหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 400 และ GPU Adreno 305 ที่เป็นพระเอกในเรื่องนี้ ทำให้การใช้งาน Moto 360 นั้นลื่นไหล และมีการตอบสนองได้ดี ไม่แพ้ Android Wear รุ่นอื่นๆในตลาดอีกต่อไป
สำหรับเรื่องแบตเตอรี่ของ Moto 360 (2nd Gen) นั้น เท่าที่ผมลองใช้งานมา 2-3 อาทิตย์ พบว่า Moto 360 สามารถใช้งานได้นานเฉลี่ย 1.5-2 วัน แล้วแต่ว่าเล่นกับนาฬิกาเยอะแค่ไหน ซึ่งถือว่าดีกว่าเดิมมาก แต่ก็ถือว่าได้ตามมาตรฐาน Android Wear ทั่วไป นอกจากนั้นยังมีโหมดประหยัดพลังงาน ที่สามารถยืดอายุไปได้อีกหลายชั่วโมงเลย โดยการแจ้งเตือนและความสว่างจะน้อยลง แต่ก็ยังสามารถดูเวลาได้ตลอด เรียกว่าไม่เสียสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนาฬิกาคือ “การบอกเวลา” นั่นเอง สำหรับการชาร์จแบตให้เต็มนั้นใช้เวลา 35-45 นาที ซึ่งถือว่าโอเคเลยครับ
บทสรุป
Moto 360 (2nd Gen) คืออุปกรณ์ Android Wear ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งในปัจจุบันอย่างไม่ต้องสงสัย งานออกแบบที่ดูเรียบหรูและสวยงามใกล้เคียงนาฬิกาข้อมือของจริง ประสิทธิภาพการใช้งานที่ลื่นไหล ไม่มีสะดุด สามารถเปลี่ยนสายนาฬิกาได้ง่ายกว่าเดิม และแบตเตอรี่ที่อึดใช้งานได้เกือบ 2 วัน แล้วเป็นข้อดีของ Moto 360 รุ่นที่สองที่แก้ไขปัญหาของรุ่นแรกได้ทั้งหมด ผมขอสรุปจุดเด่นและจุดด้อยของ Moto 360 ไว้ดังนี้
จุดเด่น
งานออกแบบสวยงามเหมือนนาฬิกาของจริง
เปลี่ยนสายนาฬิกาได้ง่าย
ประสิทธิภาพดี ตอบสนองเยี่ยม
มีหลายขนาดให้เลือก เหมาะทั้งผู้ชายและผู้หญิง
Moto Body ช่วยเก็บข้อมูลการออกกำลังกาย
รองรับการใช้งานกับ iPhone ได้ด้วย
จุดด้อย
หน้าปัดทรงล้อแบน ไม่กลม 100%
แบตเตอรี่น่าจะอึดกว่านี้
ราคาสูง
Moto 360 (2nd Gen) วางจำหน่ายแล้วผ่าน True Shop ทั่วประเทศ โดยมี 2 ขนาดให้เลือกคือ 46 มม.สำหรับผู้ชาย จำหน่ายในราคา 13,999 บาทและ 42 มม.สำหรับผู้หญิง จำหน่ายในราคา 12,999 บาท ซึ่งถือเป็นราคาที่สูงพอสมควร แต่ก็มีประกันเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้เลยถ้าเครื่องมีปัญหาครับ นอกจากนั้นยังมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับการชื้อพร้อมมือถือ Moto ทั้งแถมฟรีและลด 50% อีกด้วย ใครสนใจลองสอบถามได้ที่ True Shop เลยครับ วันนี้ผมขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
สงสัยอยู่อย่างเดียว ถ้าจะใส่ยาวๆแบบนาฬิกาทั่วไปสักประมาณ 5 ปี พอแบตเสื่อมแล้วจะหาเปลี่ยนได้หรือเปล่า???
หน้าปัดสวยมาก..อย่าคาดหวังความทนแบบ casio เลยคับ smart watch ตอนนี้ราคาลงมาหลักพันเองคับ http://www.smarturl.it/moto360-discount
ที่ดีที่สุดคือ
Casio WSD-F10 ครับ
แถบดำด้านล่างหายเมื่อไหร่ จะน่าซื้อขึ้นเยอะเลยฮ่ะ
คิดแบบนี้ตั้งแต่รุ่นแรก สุดท้ายก็ตัดจบสอย LG G R มาใช้แทน
แล้วก็รู้สึกว่าตัดสินใจถูกยิ่งขึ้น เพราะทำให้เปิด away on ได้นานกว่า 360 มากๆ
พอ Gen 2 ออกมาก็ยังยัดติ่งดำเข้ามาอยู่ดี ตอนนี้เลยกลายเป็นว่า ถ้าเปลี่ยนตัวใหม่หรือแนะนำคนอื่น คงแนะนำ Huawei ดีกว่า
ราคาอะเหื้อก มาก
ขอเสริมข้อมูลครับ แต่ก็ไม่แน่ใจนะ ผมไปจับมาที่ทรูชอปละ พบว่ามันเบากว่ารุ่นแรกแบบรู้สึกได้อยู่นะครับ เพราะผมใส่รุ่นแรกไปเทียบแต่เป็นสายเหล็ก แต่ที่ทรูเป็นสายหนัง ก็พยายามจับแค่ตัวเรือนนะ ก็รู้สึกเบาๆกว่ารุ่นแรกอยู่ครับ
อยากให้รีวิว ของ LG บ้าง ^^
สะดุดตรงคำว่า "ที่ดีที่สุดในปัจจุบัน" ใครรับรองให้น้าาา
'ที่ดีที่สุด' ต้องแยกออกเป็น
1.ที่ดีที่สุดด้านเทคโนโลยี = เทคโนโลยีดีสุด เทคโนโลยีล้ำหน้าสุด แต่ยอดขายไม่สูงสุด
2.ที่ดีที่สุดด้านการตลาด = ยอดขายสูงสุด แต่เทคโนโลยีตามหลังชาวบ้านเขาตลอด แบบ Apple Watch ที่แบตใช้ได้แค่ไม่ถึงวันแบตก็หมด
หนึ่งในที่ดีที่สุดครับ เนื่องจากเป็นบทความรีวิว มันก็เลยจะเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้รีวิวด้วยน่ะครับ อาจจะไม่ใช่ fact
แอบแซวเล่นครับ ผมเข้าใจอยู่หรอก 🙂
ผู้รีวิวยังใช้ไม่ครบทุกรุ่น ควรจะรีวิวให้เป็นกลางกว่านี้นะครับ คหสต.
เคยใช้ 360 พอ Gen2 ออกมาและหน้าปัดยังไม่เต็มจอ
ผมรีบถอย Huawei watch มาใช้และฟินจนมาถึงตอนนี้(ตอนนี้ลำโพงใช้ได้แล้วนะ)