เมื่อพูดถึงคำว่าแทบเล็ต หลายๆ คนก็คงจะนึกถึงไอแพด หรือไม่ก็ซัมซุงกาแลกซี่แท็บ ซึ่งล้วนเป็นแทบเล็ตที่ใช้ระบบปฏิบัติการอย่าง iOS, Android เป็นหลัก และทำงานในด้านของความบันเทิง หรือติดต่อสื่อสารกับเพื่อนๆ เป็นหลัก แต่ในยุคก่อนหน้าที่ไอแพดจะดัง คำว่าแทบเล็ตมักจะมีความหมายไปในเชิงของอุปกรณ์สำหรับทำงาน Digital Art อย่างเช่นแทบเล็ตของ Wacom นั่นเองครับ

ไม่นานนี้ทาง Wacom ได้บุกตลาดประเทศไทยด้วยการเปิดตัวแทบเล็ตสำหรับสายงาน Digital Art จำนวนหนึ่งครับ แต่ถ้านำพวกอุปกรณ์เหล่านั้นมาพูดถึงก็อาจจะผิดคอนเซปท์เว็บไปบ้าง จึงขอนำเสนอตัวที่ตรงกับคำว่าแทบเล็ตที่เรารู้จักดีกว่า ซึ่งก็คือตระกูล Cintiq จาก Wacom นั่นเองครับ

แทบเล็ตตระกูล Cintiq จาก Wacom นั้นแต่เดิมจะเป็นคอมพิวเตอร์แทบเล็ต ก็คือคอมพิวเตอร์หน้าจอสัมผัส ที่รองรับระดับความแรงการกดได้แตกต่างกันนั่นเองครับ แต่มาถึงยุคนี้จะใช้แต่ Windows ก็กะไรอยู่ ก็เลยมีเวอร์ชัน Android ออกมาให้ใช้งานกันด้วย ว่าแล้วก็ขอเริ่มต้นกล่าวถึงตระกูล Windows ก่อนนะครับ

480x360
Cintiq Companion Professional Creative Tablet

  • หน้าจอ 13.3 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920 x 1080)
  • ระบบปฏิบัติการ Windows 8 หรือ Windows 8 Pro
  • CPU : Intel Core i7-3517U
  • GPU : Intel HD Graphic 4000
  • RAM 8GB DDR3
  • SSD 256/512 GB (เลือกเอาว่าจะซื้อความจุไหน)
  • น้ำหนัก 1.8 กิโลกรัม
  • รองรับระดับการกด 2,048 ระดับ ทั้งปลายสไตลัสและท้ายสไตลัส
  • แท่นขาตั้งสามารถปรับได้ 3 ระดับด้วยกัน (22, 35, 50 องศา) และสามารถถอดแท่นได้

จากสเปคนี้จะเห็นได้ว่านี่มันคอมพิวเตอร์ชัดๆ เลย ซึ่งก็ถูกต้องแล้วครับ ราคาเปิดตัวก็อู้ฟู่มากเช่นกัน ใน Press Kit ระบุว่ารุ่น 256GB ราคา SG$ 2,699 ดอลลาร์สิงค์โปร ส่วนรุ่นความจุ 512GB ก็ SG$ 3,999 ดอลลาร์สิงค์โปรครับ ร้องเจี๊ยกจ๊ากกันเลยทีเดียว

480x360
Cintiq Companion Professional Hybrid Creative Tablet

  • หน้าจอ 13.3 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920 x 1080)
  • ระบบปฏิบัติการ Android 4.2
  • CPU : Nvidia Tegra 4 Quad Core
  • GPU : Tegra GPU with 72 core
  • RAM 2GB
  • SSD 16/32 GB
  • น้ำหนัก 1.7 กิโลกรัม
  • รองรับระดับการกด 2,048 ระดับ ทั้งปลายสไตลัสและท้ายสไตลัส
  • แท่นขาตั้งสามารถปรับได้ 3 ระดับด้วยกัน (22, 35, 50 องศา) และสามารถถอดแท่นได้

สำหรับเจ้าตัว Hybrid นี้ก็จะเป็นแทบเล็ตรุ่นรองลงมา โดยจะใช้หน่วยประมวลผลจาก Nvidia Tegra 4 นั่นเองครับ และน้ำหนักที่เคลมว่าเบากว่า (แค่ 0.1 กิโลกรัมจะเคลมทำม้าย) สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือหน่วยประมวลผลเป็น ARM แตกต่างจากรุ่นใหญ่ที่เป็น X86 จาก Intel นั่นเองครับ

สำหรับราคาเริ่มต้นนั้นรุ่น 16GB จะอยู่ที่ SG$1,999 ดอลลาร์สิงค์โปร และรุ่น 32GB จะอยู่ที่ SG$2,399 ดอลลาร์สิงค์โปร์ครับ

สำหรับราคาแบบนี้หลายๆ คนอาจจะมองว่าโอย แทบเล็ตราคานี้ขอบายดีกว่า ก็คงจะต้องบายจริงๆ ครับ เนื่องจากเจ้าแทบเล็ตเหล่านี้ออกแบบมาเพื่องานโปรเฟสชันแนลโดยเฉพาะ คนทั่วไปซื้อไปใช้ถ้าไม่ได้ใช้ทำงาน Digital Art ก็คงไม่คุ้มล่ะครับ เล่นเริ่มต้นก็ 50,xxx บาทแล้วแบบนี้

ถ้าคุณรู้สึกว่ามันแพง แปลว่ามันไม่เหมาะสมกับคุณนั่นเองครับ แน่นอนครับ มันไม่เหมาะสมกับผมด้วยยยยยยย : (