คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ทุกวันนี้ “จอภาพดี ๆ” กลายมาเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักในการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนสักเครื่องหนึ่งที่ควรพิจารณาไม่แพ้ไปกว่าชิปเซตหรืออื่น ๆ เพราะเป็นส่วนที่ติดต่อกับผู้ใช้งานโดยตรงตลอดเวลา นอกเหนือจากชนิดพาเนล อัตรารีเฟรช และระดับความสว่างแล้ว ตอนนี้หน้าจอความลึกสีระดับ 10-bit ที่กำลังจะเป็นมาตรฐานใหม่ของเรือธงก็น่าสนใจไม่แพ้กัน


OPPO Find X3 Pro 5G

หน้าจอ 10-bit เทรนด์ใหม่ของสมาร์ทโฟน

จอภาพส่วนใหญ่ที่เราพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ทั้งสมาร์ทโฟน ทีวี แท็บเล็ต แล็ปท็อป มอนิเตอร์ หรืออื่น ๆ ส่วนมากจะมีความลึกสี 8-bit แสดงผลได้ 16.7 ล้านสี แต่เมื่อสักประมาณปี 2563 เป็นต้นมา หน้าจอ 10-bit เริ่มเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน และถูกนำไปใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปี 2564 จากเรือธงไปสู่มิดเรนจ์


OPPO คือหนึ่งในแบรนด์ที่เริ่มใจจอภาพ 10-bit เป็นรายแรก ๆ

การมาของหน้าจอ 10-bit ถือเป็นการพัฒนาที่สำคัญ เพราะเฉดสีทั้งหมดที่ฮาร์ดแวร์แสดงผลได้ ได้ถูกอัปเกรดขึ้นเป็น 1.07 พันล้านสี มากกว่าเดิมถึง 64 เท่า โดย OPPO Find X2 5G คือหนึ่งในมือถือกลุ่มแรก ๆ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีนี้

ตัวเลข 1.07 พันล้านสีมาจากไหน

เพื่อน ๆ เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมจาก 8-bit มา 10-bit ตัวเลขห่างกันแค่ 2 หน่วย แต่แสดงผลได้ต่างกันถึง 1.05 พันล้านสีเลย ? …เกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องอธิบายก่อนว่า ระบบสีที่ใช้ในวงการคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์จะใช้โมเดล RGB เป็นแม่สี ส่วน bit ที่กล่าวไปข้างต้นหมายถึงความลึกของแต่ละช่องสีบนระบบเลขฐานสอง

เท่ากับว่า สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน ที่ความลึก 8-bit สามารถแสดงผลได้สีละ 256 เฉด ตามผลลัพธ์ของ 28 ดังนั้นความเป็นไปได้ของสีทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการผสมกันระหว่างสีทั้งสามคือ 2563 หรือเท่ากับ 16,777,216 ล้านสี ซึ่งขยับขึ้นมาที่ 10-bit ใช้วิธีคำนวณแบบเดียวกันจะได้ว่า 1,0243 เท่ากับ 1,073,741,824 สีนั่นเอง

ข้อดีของจอภาพ 10-bit คืออะไร

หากอ้างอิงตามทฤษฎีแล้ว ดวงตาของมนุษย์สามารถรับรู้สีได้เพียง 10 ล้านสีหรือน้อยกว่านั้น ถ้าพิจารณาจากตรงนี้ หน้าจอ 8-bit ที่มี 16.7 ล้านสีก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ทว่า ในการใช้งานจริงมันกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เรายังคงมองเห็นความแตกต่างในการไล่ระดับของสีที่อยู่ในเฉดเดียวกันหรือใกล้เคียงได้อยู่ พบเห็นได้บ่อยกับภาพหรือวิดีโอที่มีท้องฟ้าโล่ง ๆ เป็นองค์ประกอบ ซึ่งการมาของหน้าจอ 10-bit เป็นการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างตรงจุด เพราะสามารถไล่สีได้ละเอียดอ่อน นุ่มนวลกว่าชนิดเทียบกันไม่ติด อย่างที่บอกไปว่า แต่ละช่องสีนั้นมีมากถึง 1,024 เฉด

หน้าจอ 8-bit หน้าจอ 10-bit

ภาพตัวอย่างเปรียบเทียบ จอ 8-bit และจอ 10-bit

ไฟล์ภาพและไฟล์วิดีโอเดี๋ยวนี้ก็เป็น 10-bit


ระบบสี 10-bit คือเทรนด์สำหรับอนาคตอย่างแท้จริง

ชุดกล้องของมือถือรุ่นใหม่ ๆ ตอนนี้สามารถบันทึกภาพได้ที่ความลึกสี 10-bit แล้วเช่นกัน ทำให้ไฟล์มีความยืดหยุ่น นำไปปรับแต่งภายหลังได้ละเอียดสุด ๆ ดังนั้นการมีฮาร์ดแวร์ (จอภาพ) ที่สอดรับกันอย่างเหมาะสมย่อมเป็นเรื่องดีกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เพื่อน ๆ รู้หรือไม่ว่า อันที่จริงแล้ว Android ดั้งเดิมในปัจจุบันยังรองรับการถอดรหัสภาพหรือวิดีโอออกมาแค่ 8-bit เท่านั้นนะครับ ในขั้นตอนการประมวลผลข้อมูลบางส่วนจะถูกตัดหายไประหว่างทาง

ด้วยเหตุนี้ OPPO จึงต้องพัฒนาตัวถอดรหัสภาพของตัวเองออกมาใน OPPO Find X3 Pro 5G จึงกล่าวได้ว่า มือถือรุ่นนี้รองรับระบบสี 10-bit อย่างเต็มรูปแบบ ไล่ตั้งแต่ขั้นตอนแรกสุด คือ ถ่ายภาพ เข้ารหัสไฟล์ บันทึกไฟล์ ถอดรหัสไฟล์ จนออกมาแสดงผลบนหน้าจอในท้ายที่สุด โดยเป็น Android รุ่นแรกที่ทำแบบนี้ได้ แถมยังรองรับฟอร์แมต HEIF ที่ให้คุณภาพระดับเดียวกับ JPEG แต่ประหยัดพื้นที่มากกว่าราว 2 เท่าอีกด้วย

ภาพก่อนแต่ง ภาพหลังแต่ง

ภาพและวิดีโอ 10-bit สามารถปรับแต่งได้ยืดหยุ่นกว่าไฟล์ทั่ว ๆ ไป

OPPO Find X3 Pro 5G มากับหน้าจอเทพ ๆ และ 10-bit Full-path Colour Engine

นอกเหนือจากเรื่องของสีแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายอย่างที่เป็นตัวบ่งชี้คุณภาพของหน้าจอ สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่อยากได้มือถือหน้าจอแจ่ม ๆ แล้ว OPPO Find X3 Pro 5G ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะได้ทั้งอัตรารีเฟรชแบบไดนามิกสูงสุด 120Hz บนความละเอียด QHD+ ทำความสว่างสูงสุดได้ 1,300 นิต ปรับได้ละเอียด 8,192 ระดับ ผ่านมาตรฐาน HDR10+ และมีคอนทราสต์เรโชสูงถึง 5,000,000:1 เรียกได้ว่า ครบ…จบทุกอย่าง…เท่าที่จะนึกออกแล้ว

  • ขนาด 6.7 นิ้ว
  • พาเนล AMOLED แบบ LTPO
  • ขอบเขตสี
  • โหมด Gentle : 71% ของ NTSC ; 100% ของ sRGB
  • โหมด Vivid : 97% ของ NTSC ; 100% ของ DCI-P3
  • โหมด Cinematic : 97% ของ NTSC ; 100% ของ DCI-P3
  • โหมด Brilliant : 104% ของ NTSC ; 100% ของ DCI-P3
  • ความละเอียด 3,216 × 1,440 พิกเซล (QHD+)
  • ความสว่าง 800 นิต (ปกติ) ; 1,300 นิต (สูงสุด)
    – ปรับได้ 8,192 ระดับ
  • อัตรารีเฟรช 5 – 120Hz
  • อัตราตอบสนองการสัมผัส 240Hz (ที่ 2 จุด) ; 120Hz (ที่ 10 จุด)
  • คอนทราสต์เรโช 5,000,000:1
  • กระจกหน้าจอ Corning Gorilla Glass 5

Colour Vision Enhancement หน้าจอที่เหมาะสำหรับทุกคน

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้หน้าจอจะส่งผ่านสีสันได้สวยงามและเที่ยงตรงเพียงใด แต่จากผลสำรวจพบว่า 68% ของมนุษย์เรามีความสามารถในการรับรู้สีอยู่ในระดับปานกลาง อีก 16% รับรู้สีได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นหรือตาบอดสี โดยมากแล้วพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ด้วยสัดส่วน 16 ต่อ 1 สุดท้ายจึงเหลืออีกแค่ 16% ที่มองเห็นสีได้ตามปกติ ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่น้อยจนอาจทำให้บางคนต้องประหลาดใจ


เซลล์รูปกรวยในดวงตาของมนุษย์รับรู้สีได้มากหรือน้อยไม่เท่ากันในแต่ละช่วงคลื่นแสง

OPPO ต้องการให้ผู้ใช้งานแต่ละคนมองเห็นสีสันจากหน้าจอได้ใกล้เคียงกันมากที่สุด จึงพัฒนาเทคโนโลยี Colour Vision Enhancement ขึ้นมาให้กับ Find X3 Pro 5G ซึ่งจะมีฟีเจอร์สำหรับทดสอบการรับรู้สี และอุปกรณ์จะใช้อัลกอริทึมพิเศษปรับการแสดงผลเพื่อชดเชยสีสันให้เหมาะสมมากที่สุด


OPPO Find X3 Pro 5G สามารถแสดงสีสันที่เหมาะกับทุกคนได้ด้วยฟีเจอร์ Colour Vision Enhancement

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า OPPO Find X3 Pro 5G ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างใส่ใจ ไม่ได้มีดีแค่ความสวยงามของหน้าจอ 1.07 พันล้านสี หากแต่ยังปรับการให้แสดงผลให้เหมาะสมอย่างเฉพาะเจาะจงได้เป็นรายบุคคล มีประโยชน์ทั้งในแง่ของการทั่วไป ช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับชมคอนเทนต์ต่าง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น การมองเห็นสีสันที่แตกต่างออกไปจากที่เคยอาจเป็นตัวช่วยสร้างสรรค์แรงบันดาลใจใหม่ ๆ ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดีครับ


จอภาพของ OPPO Find X3 Pro 5G สีสดสวย ไม่ผิดหวังแน่นอน

สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่สนใจ ตอนนี้ OPPO Find X3 Pro 5G สามารถหาซื้อได้หลากหลายช่องทาง ทั้งร้านค้าออนไลน์และออฟไลน์ในราคา 33,990 บาท (คลิก)

Play video