ลองจับลองเล่น OPPO Reno11 F 5G และ Reno11 5G สองมือถือดีไซน์สวยที่มีค่าตัวอยู่ที่หมื่นต้น ๆ เท่านั้น แต่ว่าได้กล้อง Portrait ที่ถ่ายสวยถึงใจ จอใหญ่ดูคอนเทนต์ได้สบายตา ใช้ชิป MediaTek Dimensity 7050 เล่นเกมได้ลื่น แบตเยอะแถมมีชาร์จไว SUPERVOOC 67W
OPPO Reno11 5G
ดีไซน์สวยเด่น เน้นความเป็นธรรมชาติ
OPPO Reno11 5G รุ่นเริ่มต้นของซีรีส์ ซึ่งสีที่เราได้มานั้นเป็นสีเขียว Wave Green เป็นสีเขียวแบบน้ำทะเล มีความแวววาว ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากผ้าไหมธรรมชาติ เพื่อสร้างแสงเงาสุดระยิบระยับ ผิวสัมผัสเรียบลื่นเหมือนกับสัมผัสไปที่พื้นผิวแบบหินอ่อน เมื่อมองเข้าไปใกล้ ๆ จะเห็นเป็นกลิตเตอร์กระจายตัวอยู่เต็มฝาหลัง ข้อดีคือจับแล้วไม่เป็นรอยนิ้วมือให้รำคาญใจ
ตัวเครื่องบางและเบา เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของดีไซน์ที่ชอบเลย ตัวเครื่องมีขนาดความบางอยู่ที่ 8.04 มม. และน้ำหนักประมาณ 182 กรัม กรอบหลังดีไซน์โค้งมน ทำให้หยิบจับได้ถนัดมือ พกพาใส่กระเป๋าหรือจะถือถ่ายรูปก็สะดวก
พลิกมาที่ด้านข้างของเครื่องจะเป็นปุ่ม Power และปุ่มเพิ่ม – ลดเสียง ส่วนที่ชาร์จจะอยู่ด้านล่างของตัวเครื่อง
จอโค้ง 3D 120Hz ลื่นไหลในทุกมิติ
OPPO Reno11 5G ให้จอแสดงผล OLED แบบโค้ง 3D ขนาดอยู่ที่ 6.7 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (2412×1080 พิกเซล) ดูหนัง ดูคอนเทนต์ได้อย่างเต็มตา ใช้งานได้อย่างลื่นไหลเพราะว่ารองรับการปรับรีเฟรชเรต 3 ระดับ 60/90/120Hz ให้สว่างสูงสุด 800 nits ใช้งานกลางแจ้งกลางแดดยังไงก็ไหว รองรับการแสดงผลคอนเทนต์ HDR10+ ด้วย
ลำโพงคู่ เสียงดังรอบด้านสะใจ
รุ่นนี้ให้ลำโพงมาถึง 2 ตัว ดูหนัง ฟังเพลงแบบสะใจ จากที่ทดสอบใช้งานลำโพงด้วยการเปิดเสียงแบบ 50% ในห้องที่มีคนอยู่หลายคน พบว่าเสียงที่ได้คือชัดแจ๋ว ดังมากพอที่จะฟังแบบเป็นเรื่องเป็นราวได้ จากนั้นได้ลองเปิดไปสุด 100% บอกเลยว่ากระหึ่มสะใจ ไม่มีผิดหวัง
กล้องหลังเทพ ถ่ายคนได้อย่างโปร
อย่างที่หลาย ๆ คนรู้กันดีอยู่แล้วว่า OPPO Reno11 5G เนี่ยเค้าโดดเด่นเรื่องการถ่ายภาพอยู่แล้ว โดยเฉพาะการถ่ายภาพคนที่ทำออกมาได้ดีเหมือนมีมือโปรมาถ่ายให้ โดยกล้องหลังของรุ่นนี้มีด้วยกันทั้งหมด 3 ตัว ได้แก่ กล้องหลัก 50MP มีเซนเซอร์กันสั่น OIS + กล้อง Portrait Telephoto 32MP ที่ใช้เซนเซอร์ IMX709 จาก Sony ถ่ายรูปเบลอหลังสวย ๆ เทียบชั้นกล้อง DSLR + กล้อง Ultrawide 8MP มุมกว้าง 112 องศา ซึ่งเรามาดูภาพจากกล้องหลักกันก่อนเลย
ส่วนงานวิดีโอ รุ่นนี้สามารถถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 4K 30FPS และเมื่อเปิดระบบกันสั่นวิดีโอจะลดความละเอียดลงมาอยู่ที่ 1080P 60FPS วิดีโอก็จะประมาณนี้เลย
ภาพจากกล้อง Ultrawide ซึ่งเราได้ทำการถ่ายภาพเทียบกับกล้องหลักทั่วไป พบว่า ถ้ามองเผิน ๆ ภาพมุมกว้างที่ออกมาแทบจะไม่แตกต่างจากภาพจากกล้องหลักมากนัก (นอกจากระยะภาพ อันนี้ต่างแหละ) และถึงแม้ภาพที่ได้จะกว้างขึ้น แต่รายละเอียดของภาพก็ไม่ได้มีผิดเพี้ยนไป ที่น่าสนใจคือ สีของภาพถูกปรับให้สว่างขึ้น สีเหลืองถูกดึงออกมานิดหน่อย
Portrait หน้าชัดหลังละลาย ถ่ายคนอย่างโปร
รุ่นนี้ได้มีกล้อง Portrait Telephoto IMX709 32MP (f/2.0), ซูม Optical ได้ 2X ถ่ายคนได้หน้าชัด หลังละลายแบบที่ไม่สูญเสียความละเอียด มี Portrait Expert Engine ถ่ายรูปออกมาได้สวยปัง ไม่ต้องง้อแอป ซึ่งระบบเค้าจะปรับแต่งแสงและเงาของ Skin Tone ให้เรียบร้อยเลย
Portrait แบบธรรมดา
Portrait แบบ 2X
ขอบอกเพิ่มเติมอีกนิดว่า Portrait Expert Engine มีความสามารถที่หลากหลาย ทั้ง แยกหน้าคนกับวัตถุด้านหลังได้ คือ จะสามารถเบลอฉากหลังไว้ให้และแยกด้านหน้าให้ออกมาคมชัดเหมือนเดิม , มีการปรับแต่งสีผิวของนางแบบให้อัตโนมัติ, มีการช่วยลดจุดรบกวนของภาพให้ และปรับแสงเงาในภาพด้วยการใช้ HDR ที่เหมาะสม จบครบในเครื่องเดียว
ส่วนภาพถ่ายในโหมดกลางคืน เราได้ทำการทดสอบถ่ายภาพในที่แสงน้อย ซึ่งหากมองด้วยตาเปล่าอาจจะต้องใช้ไฟฉายช่วย แต่เมื่อลองใช้โหมดสำหรับถ่ายภาพกลางคืนแล้วนั้นบอกเลยว่ากล้องสามารถดึงแสงออกมาได้สว่างเห็นทุกรายละเอียดเลย
กล้องเซลฟี่ที่ถ่ายออกมาแล้วสวยจึ้ง
OPPO Reno11 5G ให้กล้องเซลฟี่ความละเอียดมาอยู่ที่ 32MP ถ่ายแบบธรรมดาก็เก็บได้ครบทุกรายละเอียดบนใบหน้า หรือว่าจะถ่ายแบบเปิด Beauty ก็ทำออกมาได้ดีเหมือนผิวดีตั้งแต่เกิด โดยได้ทดลองเปิด Beauty ตามที่ตัวเครื่องตั้งค่า ภาพที่ออกมาก็จะประมาณนี้เลย
นอกจากนี้ยังเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอได้ด้วย สามารถปรับค่าความเบลอได้ตั้งแต่ f16 ไปจนถึง f1.4 พอเซลฟี่ออกมาก็จะมีความเบลอหลังเนียน ๆ เป็นธรรมชาติแบบนี้เลย
สำหรับการเซลฟี่ในที่แสงน้อย ตัวเครื่องได้มีแฟลชแบบซอฟท์แวร์มาให้ สว่างจ้าสะใจ จะไปถ่ายรูปตรงมุมไหนก็เห็นได้ชัดแจ๋ว โดยเราได้ทำการทดสอบถ่ายภาพในห้องที่มีแสงเล็ดลอดเล็กน้อย ภาพที่ได้จากแสดงแฟลชของจอก็จะประมาณนี้เลย
มาที่งานวิดีโอ กล้องหน้าสามารถถ่ายวิดีโอได้ 4K 30FPS เช่นเดียวกับกล้องหลัง แต่เมื่อเปิดกันสั่น ความละเอียดจะถูกลดลงมาอยู่ที่ 1080P 30FPS ค่ะ หรือจะถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอก็ทำได้ดีเหมือนกันนะ
สเปค OPPO Reno11 5G
- จอภาพ : จอโค้ง 3D AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว
– ความละเอียด FHD+ (1080 x 2412 พิกเซล)
– สว่างสูงสุด 800 nits
– อัตรารีเฟรช 120Hz
– รองรับ HDR10+ - ชิป : Dimensity 7050
- RAM LPDDR4x : 12GB
- ROM UFS 2.2 : 256GB
- กล้องหลัง Sony 3 ตัว :
– กล้องหลัก LYT600 50MP (f/1.8), ระบบกันสั่น OIS
– กล้องอัลตราไวด์ IMX355 8MP มุมกว้าง 112 องศา (f/2.2)
– กล้อง Portrait Telephoto IMX709 32MP (f/2.0), ซูม Optical x2 - กล้องหน้า : OmniVision 32MP (f/2.4)
- เสียง : ลำโพงคู่สเตอริโอ
- แบตเตอรี่ : 5,000 mAh
– รองรับชาร์จไว SUPERVOOC 67W - การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 6 / Bluetooth 5.3 / NFC / USB Type-C 2.0
- เซนเซอร์: สแกนลายนิ้วมือใต้จอ, accelerometer, gyro, proximity, compass, IR Blaster
- ระบบปฏิบัติการ : ColorOS 14.0 บนพื้นฐาน Android 14
- ขนาด / น้ำหนัก : 162.4 มม. x 74.3 มม. x 7.99 – 8.04 มม. (ขึ้นอยู่กับรุ่นฝาหลัง) / 182 กรัม
ข้อดี
- จอใหญ่
- จอโค้ง เครื่องสวย
- กรอบหลังลายเป็นเอกลักษณ์
- กรอบหลังไม่เป็นรอยนิ้วมือ
- ถ่ายรูปสวย มีกล้อง Portrait Telephoto มาให้
- โหมด Beauty แต่งภาพดี
- ลำโพงคู่
- แบตเตอรี่เยอะ มาพร้อมชาร์จไว
ข้อสังเกต
- โมดูลใหญ่ เวลาเล่นเกมแล้วมือไปโดนกล้อง
- ไม่มีมาตรฐานกันน้ำ กันฝุ่นให้
OPPO Reno11 F 5G
มาดูที่รุ่นเล็กอย่าง OPPO Reno11 F 5G กันบ้าง ซึ่งรุ่นนี้ก็จะมีสเปคหลาย ๆ อย่างที่คล้ายกับรุ่น Reno11 5G เลย ซึ่งก่อนจะไปถึงตรงนั้น เรามาดูด้านดีไซน์เครื่องกันก่อน ตัวเครื่องรุ่นนี้เป็นจอแบน ตัวเครื่องสี่เหลี่ยม ตัวเครื่องจะหนากว่ารุ่น Reno11 5G ขึ้นมาอีก
ซึ่งสีที่เราได้มารีวิวนั้นคือสีฟ้า Ocean Green เมื่อส่องเข้าไปใกล้ ๆ ตัวเครื่องจะมีความระยิบระยับ คล้ายกับแสงที่ส่องไปบนท้องทะเล จับแล้วไม่เป็นรอยนิ้วมือเช่นเดียวกัน กล้องหลังวางอยู่บนโมดูลวงกลมที่ทับอยู่บนกรอบสี่เหลี่ยมอีกที
เมื่อสำรวจรอบ ๆ เครื่อง ปุ่ม Power และปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงจะอยู่ฝั่งเดียวกันที่ด้านขวาของตัวเครื่อง ถาดใส่ซิมจะอยู่ฝั่งซ้าย ส่วนลำโพงและพอร์ตชาร์จจะอยู่ด้านล่างของตัวเครื่องค่ะ
จอ 6.7 นิ้ว ลื่น 120Hz ขอบบาง
OPPO Reno11 F 5G ใช้จอขนาด 6.7 นิ้ว ที่ขอบบางมาก ๆ เพียง 1.47 – 2.37มม. ใช้พาเนล AMOLED 10-bit ความละเอียด (2412×1080) Full HD+ รองรับการแสดงผล HDR10+ ให้ความสว่างสูงสุด 1100 nits ใช้งานดูคอนเทนต์หรือเล่นเกมได้สบาย จอใหญ่เต็มตา ไม่ต้องเพ่งเยอะ
กล้องหลัก 64MP จะถ่ายรูปหรือวิดีโอก็ปัง
OPPO Reno11 F 5G เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ถ่ายรูปได้สนุกไม่แพ้กัน กล้องหลังมีทั้งหมด 3 ตัว ประกอบไปด้วยกล้องหลัก 64MP + กล้อง Ultrawide IMX355 8MP มุมกว้าง 112 องศา + กล้อง Macro 2MP ภาพที่ได้จากกล้องหลักก็จะคมชัดประมาณนี้เลย
มาดูที่ กล้อง Ultrawide กันบ้าง เมื่อเทียบกับภาพถ่ายธรรมดามาดูในเรื่องของสีก่อน ในภาพมุมกว้างสีที่ได้จะไม่ค่อยต่างกับภาพธรรมดาสักเท่าไหร่ แต่ถ้าสังเกตดี ๆ ดูเหมือนจะติดแดงเล็กน้อย แต่ถ้าถ่ายไปโดนแสงไฟก็จะมีความฟุ้งในบริเวณแสงขึ้นมานิดหน่อย ส่วนการเก็บรายละเอียดก็ทำออกมาได้ดี เก็บรอบข้างได้อย่างครบถ้วน
รุ่นนี้รองรับวิดีโอความละเอียด 4K 30FPS และเมื่อเปิดระบบกันสั่นวิดีโอจะลดความละเอียดลงมาอยู่ที่ 1080P 60FPS
ส่วนการถ่ายภาพบุคคล รุ่นนี้ก็สามารถเบลอหลังได้สวยเช่นเดียวกัน เพราะว่าได้มี Portrait Expert Engine ใส่มาให้ด้วย ซึ่งดูที่ความเบลอก็ถือว่าเก็บขอบได้ดี หน้าชัดหลังละลาย แต่จะมีบางจุด (เล็กมาก ๆ ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็คือไม่เห็นแหละ)
Portrait แบบธรรมดา
Portrait แบบ 2X
รุ่นนี้ได้ให้กล้อง Macro มาให้เอาไว้ถ่ายภาพวัตถุใกล้ ๆ ซึ่งเราก็ได้ลองไปถ่ายนางแบบประจำออฟฟิศอย่างน้องคนนี้ บอกเลยว่ากล้องเก็บได้ทุกเม็ด ไม่ว่าจะขนเส้นเล็กเส้นใหญ่
มาต่อที่ภาพถ่ายในโหมดกลางคืน เราได้ทำการทดสอบถ่ายภาพในที่แสงน้อยโดยใช้โหมดสำหรับถ่ายภาพกลางคืน ถือว่าทำออกมาได้โอเคเลย คมชัดเห็นทุกอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน ตัวกล้องดึงแสงออกมาได้ดี แต่จะมีบางช่วงของแสงที่ดูเหมือนว่าจะทำให้ภาพจะมีความฟุ้งเล็กน้อย
กล้องหน้า 32MP
OPPO Reno 11 F 5G ให้กล้องเซลฟี่ความละเอียดมาอยู่ที่ 32MP เท่ากับรุ่น Reno 11 5G เลย ซึ่งก็มีมาให้แบบครบ ๆ ทั้งปรับแต่งสีและโหมด Beauty ทำหน้าที่คอยเติมหน้าและเบลอผิวให้ออกมาดูดี ตลอดจนภาพถ่ายแบบ Portrait ก็เบลอหลังออกมาได้สวยละมุน ถูกใจสายเซลฟี่แบบเรามาก
ภาพถ่ายธรรมดาแบบเปิด Beauty
ภาพถ่ายแบบเปิด Portrait
ส่วนงานวิดีโอกล้องหน้าก็สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ 4K 30FPS และหากเปิดกันสั่นหรือเปิดโหมด Beauty วิดีโอจะลดความละเอียดลงมาอยู่ที่ 1080P 30FPS หรือจะถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอก็ทำได้เช่นกัน
ส่วนการถ่ายเซลฟี่ในที่แสงน้อย รุ่นนี้ก็ทำออกมาได้สว่างไม่แพ้กับรุ่น 11 เลยล่ะค่ะ ด้วยความที่ทั้งดึงแสงและมีแฟลชแบบซอฟท์แวร์ช่วยเราได้ลองนำเครื่องไปถ่ายในห้องที่แสงน้อยมุมเดียวกัน ภาพที่ได้ไก็จะสว่างชัดประมาณนี้เลย
สเปค OPPO Reno11 F 5G
- จอภาพ : จอ AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว
– ความละเอียด FHD+
– อัตรารีเฟรช 120Hz
– รองรับ HDR10+ - ชิป : MediaTek Dimensity 7050
- RAM LPDDR4x :8GB
- ROM UFS 2.2 : 256GB
- กล้อง 3 ตัว :
– กล้องหลัก OV64B 64MP
– กล้องอัลตราไวด์ IMX355 8MP มุมกว้าง 112 องศา
– กล้อง Macro 2MP - กล้องหน้า : IMX615 32MP
- เสียง : ลำโพงเดี่ยว
- แบตเตอรี่ : 5,000 mAh
– รองรับชาร์จไว SUPERVOOC 67W - การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 6 / Bluetooth 5.3 / NFC / USB Type-C 2.0
- เซนเซอร์: สแกนลายนิ้วมือใต้จอ, accelerometer, gyro, proximity, compass
- ระบบปฏิบัติการ : ColorOS 14.0 บนพื้นฐาน Android 14
- ความทนทาน: IP65
- ขนาด / น้ำหนัก : 161.1 x 74.7 x 7.54 มม. / 177 กรัม
ข้อดี
- จอใหญ่
- กรอบหลังลายเป็นเอกลักษณ์
- กรอบหลังไม่เป็นรอยนิ้วมือ
- ถ่ายรูปสวย เบลอหลังดี
- โหมด Beauty แต่งภาพดี
- แบตเตอรี่เยอะ มาพร้อมชาร์จไว
- มีมาตรฐานกันน้ำ กันฝุ่น IP65
ข้อสังเกต
- โมดูลกล้องใหญ่ เวลาเล่นเกมแล้วมือไปโดนกล้อง
- ลำโพงเดี่ยว
ชิป MediaTek Dimensity 7050 เล่นเกมไหว
ทั้งสองรุ่นนี้ได้ใช้ชิปตัวเดียวกันคือ MediaTek Dimensity 7050 แต่ที่ต่างกันก็คือ RAM ที่จะทำให้การเล่นเกมจะมีความเหลือบกันอยู่เล็กน้อย โดย OPPO Reno11 F 5G จะใช้เป็น RAM LPDDR4x ที่ 8GB ส่วน OPPO11 F 5G จะเพิ่มมาอยู่ที่ 12GB ผลการทดสอบก็จะประมาณนี้
Subway Surfers
มาที่เกมแรกเราก็ได้เลือกโหลด Subway Surfers ลองเล่น พบว่าทั้งรุ่น Reno11 F และ 11 5G เล่นได้ลื่นดี ตอบสนองไว กดเลื่อนขึ้นลงได้ปกติไม่มีกระตุก ตอนที่วิ่งไว ๆ สับ ๆ ก็ไหว ไม่อืด สำหรับเกมเบสิคทั่ว ๆ ไป คือเล่นได้หายห่วงเลย
Genshin Impact
จากนั้นได้มาทดสอบด้วยเกมที่กินสเปคอย่าง Genshin Impact ต่อ ซึ่งเราได้ทดสอบเล่นเกมดังกล่าวด้วยการเปิดกราฟิกไปที่สูงสุด 60FPS พบว่าสามารถเล่นได้ แต่ไม่ถึงกับลื่นไหล เมื่อเล่นไปสักพักจะรู้สึกได้ถึงความหน่วงบ้าง กระตุกบ้างเป็นปกติ แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีเลยล่ะ ส่วนเรื่องความร้อนของตัวเครื่องจะเริ่มอุ่น ๆ เมื่อเล่นไปที่ประมาณ 15 – 20 นาที และร้อนขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนี้
ฟีเจอร์ Flie Dock เก็บภาพและข้อความใน 30 วัน
อีกหนึ่งพาร์ทของรุ่นนี้ที่ทำให้การใช้งานสะดวกขึ้นเลยก็คือฟีเจอร์ Flie Dock นี่แหละ เป็นฟีเจอร์เอาไว้บันทึกภาพ หรือข้อความที่เราก็อบไว้ การใช้งานก็แสนจะง่าย หากต้องการที่จะบันทึกข้อความหรือภาพก็แค่ครอบตรงจุดนั้น แล้วลากมาใส่ไว้ใน Flie Dock ที่อยู่มุมขวาบนของจอได้เลย แถมไม่ต้องกังวลว่าความจำของฟีเจอร์นี้จะเต็ม เพราะเค้าเก็บข้อมูลไว้ 30 วัน และข้อมูลนี้จะซิงค์กับโทรศัพท์และแท็บเล็ต ColorOS 14 ที่ลงชื่อเข้าใช้บัญชี OPPO ไว้
แบตเยอะ ชาร์จไว หายห่วง
ทั้งสองรุ่นนี้ได้ให้แบตเตอรี่มาเท่ากันอยู่ที่ 5000mAh จะใช้งานดูหนัง ถ่ายรูป หรือเล่นเกม ก็ไม่ต้องกังวลว่าแบตจะไม่พอใช้ แถมยังได้ชาร์จไวอีกด้วย SUPERVOOC 67W ด้วย จากที่เราได้ลองนำทั้งคู่ออกไปใช้งานรีวิวแบบรัว ๆ ตั้งแต่ชาร์จเต็ม 100% โดย OPPO Reno11 5G ใช้งานไป 1 วัน 16 ชั่วโมง มีข้ามคืนบ้าง พักบ้าง แบตเตอรี่ลดเหลือ 5% ส่วน OPPO Reno11 F 5G ใช้งานไปประมาณ 20 ชั่วโมง ซึ่งรุ่นนี้ได้เทสเกมและดูซีรีส์แบบไม่พักหนักไปหน่อย แบตเตอรี่ลดเหลือ 2%
สรุปการใช้งาน
ในการใช้งานทั้งสองเครื่องนั้น การใช้งานทั่วไปก็ถือว่าใช้ได้เลย ทั้งเอาไว้ดูคอนเทนต์ เล่นเกม แต่งรูป ทำออกมาได้ดีทั้งคู่ แต่ตรงที่ต่างกันก็จะเป็นในเรื่องของกล้องที่มีมาให้ไม่เหมือนกัน แต่เรื่องการดึงแสง โหมด Beauty การถ่ายภาพเบลอหลังต่าง ๆ บอกเลยว่าเอาเรื่องจริง ๆ ในส่วนที่ไม่ได้คาดหวังอย่างการเล่นเกมก็ทำออกมาได้โอเค ใครที่มองหามือถือเอาไว้ถ่ายภาพในงบหมื่นต้น ๆ ก็ฝากมองสองรุ่นนี้ไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกนะ
ราคาจำหน่าย
OPPO Reno11 5G รุ่นที่วางจำหน่ายในไทยมีให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สี Wave Green และ สี Rock วางขายในรุ่นความจุเดียว คือ 12GB + 256GB ราคา 14,990 บาท
OPPO Reno11 F 5G มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีฟ้าลายน้ำ Ocean Blue, สีม่วงคริสตัล Coral Purple และสีเขียวกลิตเตอร์ Palm Green มากับรุ่นความจุ 8GB + 256GB ราคา 10,990 บาท
จริง ๆ นอกจากรุ่นนี้ก็ยังมีรุ่นพี่ใหญ่อย่าง OPPO Reno11 Pro 5G ซึ่งวางจำหน่ายในไทยมีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สี Pearl White, สี Wave Green และ สี Rock วางขายในรุ่นความจุเดียว คือ 12GB + 512GB ราคา 19,990 บาท
design กล้องหลังดูแปลก ๆ แฮะ