OPPO เปิดตัวมือถือรุ่นระดับกลางใหม่สำหรับสายกล้องที่ชอบถ่ายภาพคนถึง 2 รุ่น ทั้ง OPPO Reno11 และ OPPO Reno11 Pro มาพร้อมจุดเด่นในเรื่องกล้องที่ทางแบรนด์เคลมว่าถ่ายได้สวยเทียบชั้นกล้อง DSLR แถมยังกล้องของ Sony ครบทุกระยะ มีเลนส์ Telephoto ให้ทุกรุ่นเหมือนเดิม แถมรุ่นมาตรฐานยังได้เซนเซอร์ใหม่ LYTIA LYT-600 เป็นครั้งแรกด้วย

เปิดตัว OPPO Reno11

OPPO Reno11 เปิดตัวมาพร้อมกับดีไซน์ที่ดูคล้ายเดิม ตัวกล้องมาในดีไซน์แบบแคปซูลขนาดใหญ่ พร้อมฝาหลังโค้งรับมือที่เล่นลวดลายต่างกันไปในแต่ละสีสัน โดยสีเด็ดของรุ่นนี้คือสีขาว Moonshine Gemstones ที่มีใช้วัสดุพิเศษ เล่นลวดลายพื้นผิวเป็นสามมิติคล้ายหินอัญมณี

จอแสดงผลในรุ่นนี้เป็นจอโค้ง 3D AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ รองรับรีเฟรชเรตระดับสูง 120Hz +UHF PWM Dimming 2160Hz ดูในที่มืดแล้วสบายตา หน้าจอสว่างสูงสุด 950 nits และรองรับการแสดงผลคอนเทนต์ HDR10+

ส่วนลำโพงในรุ่นนี้ให้เป็นลำโพงเดี่ยว รองรับระบบ Hi-Res และเป็นมือถือรุ่นแรกในวงการที่รองรับเทคโนโลยีเสียง Holographic Audio ช่วยแยกมิติเสียงผ่านหูฟังทุกรุ่น จำแนกเสียงต่าง ๆ ได้ถึง 12 อย่าง และฟังเสียงได้ไกลสุดถึง 5 เมตรแบบรอบทิศทาง

ทีเด็ดของรุ่นนี้อยู่ที่กล้องถ่ายภาพที่ทาง OPPO เคลมว่าเป็นกล้องที่เทียบชั้น DSLR ได้สบาย ๆ ในการถ่านภาพบุคคล โดยกล้องหลังมาด้วยกันทั้งหมด 3 ตัวใช้เซนเซอร์จาก Sony ทั้งหมด ได้แก่ กล้องหลัก LYT-600 ความละเอียด 50MP มีเซนเซอร์กันสั่น OIS ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้คมชัด

ด้านกล้องเสริมมีเลนส์ Ultrawide มุมกว้าง 112 องศา ความละเอียด 8MP และเลนส์ Portrait Telephoto IMX709 32MP ที่รองรับการซูมแบบ Optical x2 และ Digital Zoom 20 เท่าส่วนกล้องเซลฟี่ให้มาที่ 32MP ในดีไซน์แบบเจาะรู รองรับการถ่ายวิดีโอสูงสุดที่ 4K 30FPS ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง

ด้านประสิทธิภาพในรุ่นนี้มาพร้อมกับชิประดับกลางตัวแรงอย่าง Dimensity 8200 ประกบคู่มากับหน่วยความจำแบบ LPDDR5X + UFS 3.1 สูงสุด 12GB + 512GB ด้านแบตเตอรี่ให้มาที่ 4,800 mAh รองรับชาร์จไว 67W ชาร์จจาก 0 – 50% ใช้เวลา 19 นาที แถมรอบนี้ OPPO ยังเคลมว่าใช้เซลล์แบตเตอรี่คุณภาพดี อยู่ได้นานสูงสุดถึง 4 ปี โดยที่แบตเตอรี่ยังเก็บไฟได้ถึง 80% นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จในอุณหภูมิติดลบ -20 องศาเซลเซียสด้วย

สเปค OPPO Reno11

  • จอภาพ : จอโค้ง 3D AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว
    – ความละเอียด FHD+ (1080 x 2412 พิกเซล)
    – สว่างสูงสุด 950 nits
    – อัตรารีเฟรช 120Hz
    – มาตรฐานสี P3 100%
    – รองรับ HDR10+
  • ชิป : Dimensity 8200
  • RAM LPDDR5x : 8GB / 12GB
  • ROM UFS 3.1 : 256GB / 512GB
  • กล้อง Sony 3 ตัว :
    – กล้องหลัก LYT-600 50MP (f/1.8), ระบบกันสั่น OIS
    – กล้องอัลตราไวด์ 8MP มุมกว้าง 112 องศา (f/2.2)
    – กล้อง Portrait Telephoto IMX709 32MP (f/2.0), ซูม Optical x2, ซูมดิจิทัล x20
  • กล้องหน้า : IMX709 32MP (f/2.4)
  • เสียง : ลำโพงเดี่ยว รองรับ Hi-Res, LDAC, LHDC
  • แบตเตอรี่ : 4,800 mAh
    – รองรับชาร์จไว SUPERVOOC 67W
  • การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 6 / Bluetooth 5.4 / NFC / USB Type-C 2.0
  • เซนเซอร์: สแกนลายนิ้วมือใต้จอ, accelerometer, gyro, proximity, compass, IR Blaster
  • ระบบปฏิบัติการ : ColorOS 14.0 บนพื้นฐาน Android 14
  • ขนาด / น้ำหนัก : 162.4 มม. x 74.1 มม. x 7.59 – 7.66 มม. (ขึ้นอยู่กับรุ่นฝาหลัง) / 184 กรัม

เปิดตัว OPPO Reno11 Pro

OPPO Reno11 Pro มาในดีไซน์ที่เหมือนกัน แต่จะเสริมความพรีเมียมที่โมดูลกล้องด้วยการเสริมลวดลายหมุดเพชรไว้ที่ขอบวงแหวน พร้อมตีบวกจอแสดงผลให้ใหญ่ขึ้นเป็น 6.74 นิ้ว รีเฟรชเรต 120Hz ปรับรีเฟรชเรตแบบ Adaptive ได้ 3 สเต็ป 60Hz / 90Hz / 120Hz อัปเกรดความละเอียดเป็น 1.5K แถมยังรองรับความสว่างสูงสุดถึง 1,600 nits

ด้านกล้องถ่ายภาพทุก ๆ เซนเซอร์จะเหมือนรุ่นมาตรฐานทุกประการ แต่จะแตกต่างกันที่เลนส์หลักที่ใช้เป็นเซนเซอร์ระดับเรือธงอย่าง IMX890 ความละเอียด 50MP ที่ทางแบรนด์เคลมว่าถ่ายดีไม่แพ้ Find X Series อีกทั้งยังรองรับการถ่ายวิดีโอกล้องหลังที่ความละเอียดสูงสุด 4K@60FPS ส่วนกล้องหน้ายังรองรับที่ 4K@30FPS

อีกหนึ่งจุดที่ OPPO Reno11 Pro ต่างจากรุ่นมาตรฐานคือชิปประมวลผล ที่ในรุ่น Pro ใช้เป็นชิปอดีตเรือธงที่ยังแรงดีไม่ตกอย่าง Snapdragon 8+ Gen 1 ประกบคู่มากับหน่วยความจำแบบ LPDDR5X + UFS 3.1 สูงสุด 12GB + 512GB ให้แบตเตอรี่มาน้อยกว่านิดนห่อยที่ 4,700 mAh แต่ชาร์จได้ไวกว่า สูงสุดที่ 80W ชาร์จจาก 0 – 50% ใช้เวลา 11 นาที และทนทานนาน 4 ปีเหมือนกัน

ส่วนระบบเสียงนั้นรุ่นนี้ได้อัปเกรดไปใช้ลำโพงคู่สเตอริโอ รองรับมาตรฐานเสียง Hi-Res พร้อมเทคโนโลยี Holographic Audio สำหรับสายเกมรุ่นนี้ยังมีมอเตอร์จำลองการสั่น 4D รอบทิศทางแบบ X-axis linear motorซึ่งช่วยให้เล่นเกมได้เต็มอรรถรสกว่าด้วย ส่วนด้านระบบนั้นทั้งสองรุ่นติดตั้งมากับ ColorOS 14 เวอร์ชั่นล่าสุดบน Android 14

สเปค OPPO Reno11 Pro

  • จอภาพ : จอโค้ง 3D AMOLED ขนาด 6.74 นิ้ว
    – ความละเอียด 1.5K (1240 x 2772 พิกเซล)
    – สว่างสูงสุด 1600 nits
    – อัตรารีเฟรช 120Hz
    – มาตรฐานสี P3 100%
    – รองรับ HDR10+
  • ชิป : Snapdragon 8+ Gen 1
  • RAM LPDDR5x :12GB
  • ROM UFS 3.1 : 256GB / 512GB
  • กล้อง Sony 3 ตัว :
    – กล้องหลัก IMX890 50MP (f/1.88), ระบบกันสั่น OIS
    – กล้องอัลตราไวด์ 8MP มุมกว้าง 112 องศา (f/2.2)
    – กล้อง Portrait Telephoto IMX709 32MP (f/2.0), ซูม Optical x2, ซูมดิจิทัล x20
  • กล้องหน้า : IMX709 32MP (f/2.4)
  • เสียง : ลำโพงคู่ รองรับ Hi-Res, LDAC, LHDC
  • แบตเตอรี่ : 4,700 mAh
    – รองรับชาร์จไว SUPERVOOC 80W
  • การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 6 / Bluetooth 5.3 / NFC / USB Type-C 2.0
  • เซนเซอร์: สแกนลายนิ้วมือใต้จอ, accelerometer, gyro, proximity, compass, IR Blaster
  • ระบบปฏิบัติการ : ColorOS 14.0 บนพื้นฐาน Android 14
  • ขนาด / น้ำหนัก : 163 มม. x 74.2 มม. x 8.19 – 8.26 มม. (ขึ้นอยู่กับรุ่นฝาหลัง) / 190 กรัม

ราคา และการวางจำหน่าย

OPPO Reno11 และ OPPO Reno11 Pro เปิดให้พรีออเดอร์ที่จีนแล้ววันนี้ และจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ธันวาคม 2023 เป็นต้นไป ทั้งสองรุ่นมีตัวเครื่องให้เลือก 3 สีด้วยกัน ได้แก่ สีเขียว Turquoise Green, สีดำ Obsidian Black และสีขาว Moonshine Gemstones ส่วนราคา และรุ่นความจุ มีดังนี้

ราคา OPPO Reno11

  • 8GB + 256GB ราคา 2,499 หยวน หรือประมาณ 12,500 บาท
  • 12GB + 256GB ราคา 2,799 หรือประมาณ 14,000 บาท
  • 12GB + 512GB ราคา 2,999 หรือประมาณ 15,000 บาท

ราคา OPPO Reno11 Pro

  • 12GB + 256GB ราคา 3,499 หยวน หรือประมาณ 17,500 บาท
  • 12GB + 512GB ราคา 3,799 หยวน หรือประมาณ 19,000 บาท

สำหรับตลาด Global และในไทยนั้น คาดว่า OPPO Reno11 Series จะไม่ได้นำออกมาจำหน่าย เพราะตอนนี้หากอิงจากรุ่นก่อนแล้ว จะนำมาเปิดตัว Global แบบซีรีส์เว้นซีรีส์ (Reno8 ข้ามมา Reno10 ไม่นำ Reno9 มาขายนอกจีน) ดังนั้นจึงเป็นไปได้สูงว่าในรอบนี้อาจมีการข้ามซีรีส์ไปอีกเช่นเคย แต่อย่างไรก็ตามต้องรอดูว่า OPPO ประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนทิศทางอีกรึเปล่า

ที่มา: OPPO China