มือถือกล้องหน้าเด้งแบบ Pivot Rising Camera อย่าง OPPO Reno 2, Reno 2Z และ Reno 2Fเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เผลอแป๊บเดียวก็ได้ฤกษ์เข้ามาถึงประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในบ้านเราจะเอาเข้ามาจำหน่ายทั้งหมด 2 รุ่น คือตัวท็อป OPPO Reno 2 และรุ่นเล็กสุด Reno 2F โดยเคาะราคาเริ่มต้นมาที่ 11,990 บาท

ตัวเครื่องด้านหลังครอบด้วย Gorilla Glass 5 ทนแรงขีดข่วน

OPPO Reno 2 และ Reno 2F มีตัวเครื่องด้านหลังที่ครอบด้วยกระจกสุดอึด Gorilla Glass 5 ที่สามารถทนการขีดข่วนได้จากเหรียญหรือกุญแจต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการดีไซน์แบบสมมาตรของทั้งกล้องหลัง 4 ตัว รวมถึงโลโก้ OPPO ที่เรียงลงมาเป็นแนวตั้ง ตรงกลางเครื่องแบบเป๊ะๆ

หน้าจอ AMOLED อัตราส่วนต่อตัวเครื่องสูง 93.1%

หน้าจอของ OPPO Reno 2 มีขอบบางสุดๆ เพียง 3.35 มม. ทำให้สามารถขยายหน้าจอออกไปได้สุดๆ จนมีอัตราส่วนต่อตัวเครื่องสูงถึง 93.1% (Reno 2F 91.6%) แถมยังครอบด้วยกระจก Gorilla Glass 6 สุดอึดสุดถึกอีกต่างหาก

OPPO Reno 2F

เซ็นเซอร์สแกนนิ้วมือใต้หน้าจอที่แม่นยำกว่าเดิม

ทั้ง Reno 2 และ Reno 2F มีหน้าจอที่ใหญ่เต็มตาเพราะยืดออกไปจนสุดขอบเครื่อง เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือก็เลยย้ายมาไว้ใต้หน้าจอแทน ซึ่งเซ็นเซอร์ดังกล่าวสามารถปลดล็อคเครื่องได้เร็วกว่าเดิมถึง 11.3%

กล้องหลัง 4 ตัว ความละเอียด 48MP

OPPO Reno 2 มาพร้อมกับกล้องหลังถึง 4 ตัว ประกอบด้วยเลนส์หลักเซ็นเซอร์ Sony IMX586 48MP (f/1.7) + เลนส์ซูม 13MP (f/2.4) + เลนส์ Wide Angle 119° 8MP + เลนส์ Mono จับความลึก 2MP 

ส่วนกล้องหลังของ OPPO Reno 2F ก็มีกล้องหลัง 4 ตัว เช่นกัน แต่จะลดสเปคลงมานิดนึง ประกอบด้วยกล้องหลัก 48MP (f/1.7) + เลนส์ Wide Angle 119° 8MP (f/2.2) + เลนส์ Mono 2MP + เลนส์จับความลึก 2MP 

โหมดถ่ายภาพกลางคืน Ultra Dark

OPPO Reno 2 มีโหมดถ่ายภาพในที่แสงน้อยอย่าง Ultra Dark ที่สามารถเก็บภาพในสภาวะแสงน้อย หรือแทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ให้ออกมาคมชัด แจ่มแจ๋ว เหมือนเปิดไฟเลยทีเดียว แถมยังทำงานร่วมกับระบบ AI ในการลด Noise บนภาพถ่าย ให้ภาพออกมาคมกว่าอีกด้วย

ส่วนรุ่นน้องอย่าง OPPO Reno 2F ก็มีมีโหมดถ่ายกลางคืนให้มาด้วยเหมือนกัน แต่จะใช้เทคโนโลยีคนละแบบ เรียกว่า Ultra Night Mode 2.0 ที่ให้ความสว่างและรายละเอียดของภาพแบบครบๆ ไม่แพ้กัน

ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้ง่ายกว่าที่เคยด้วย Portrait Mode 2.0

ทั้ง OPPO Reno 2 และ Reno 2F มากับเทคโนโลยีหน้าชัดหลังเบลอ Portrait Mode 2.0 ที่มีลูกเล่นหลากหลายทั้ง Portrait Bokeh การปรับความเบลอได้ก่อนถ่าย, HDR Portrait ลดแสงในการถ่ายในพื้นที่แสงมากไป และเพิ่มแสงให้กับพื้นที่ที่แสงน้อยเกินไป, โหมด Monochrome ที่จะเปลี่ยนพื้นหลังให้เป็นสีขาวดำแทนการเบลอก็ยังได้

ซูมดิจิตอลสูงสุด 20 เท่า

นอกจากกล้องหลังของ Reno 2 จะมีเลนส์ให้เลือกใช้ได้หลากหลายแบบแล้ว มันยังสามารถซูมภาพแบบ Optical ได้ 2 เท่า ซูมแบบ Hybrid ได้ 5 เท่า และสามารถซูมแบบดิจิตอลได้สูงสุดถึง 20 เท่า โดยที่ยังคงความคมชัดและรายละเอียดต่างๆ ของภาพได้เป็นอย่างดี

นิ่งสุดๆ ด้วย ULTRA STEADY VIDEO

OPPO Reno 2 มีโหมดถ่ายวิดีโอแบบ Ultra Steady Video ที่ใช้ระบบกันสั่นทั้ง OIS และ EIS พร้อมๆ กัน ทำให้คลิปวิดีโอที่ออกมานิ่งพอๆ กับการถ่ายด้วย Action Cam แถมยังสามารถบันทึกวิดีโอได้ที่ 60fps อีกด้วย

ระบบซูมทั้งภาพและเสียง

นอกจาก Reno 2 จะซูมภาพเข้าไปได้ถึง 20 เท่า ในระหว่างบันทึกวิดีโอแล้ว มันยังสามารถซูมเสียงได้อีก ด้วยการเพิ่มระดับเสียงของสิ่งที่เรากำลังถ่ายอยู่ และใช้ระบบตัดเสียงรอบข้างออก ทำให้เสียงของสิ่งที่เราถ่ายมีความคมชัดมากขึ้น

กล้องเซลฟี่ที่ถ่ายวิดีโอแบบ Bokeh ได้

กล้องหน้าแบบ Pivot Rising Camera ของ Reno 2 และกล้อง Rising Camera ของ Reno 2F ยังสามารถถ่ายวิดีโอเซลฟี่เก๋ๆ ด้วยการใส่เอฟเฟ็คท์ Bokeh หรือหน้าชัดหลังเบลอได้อีกด้วย

ระบบชาร์จสุดไว VOOC FLASH CHARGE 3.0

OPPO Reno 2 และ Reno 2F ให้แบตเตอรี่มาให้ใช้งานกันได้สบายๆ ถึง 4000 mAh โดยเล่นเกมต่อเนื่องได้ถึง 8 ชม. และดูวิดีโอต่อเนื่องได้ถึง 13 ชม. แถมยังใส่ระบบชาร์จไวอย่าง VOOC Flash Charge 3.0 ที่สามารถชาร์จไฟจาก 0 – 51% ได้ในเวลาเพียง 30 นาที เท่านั้น

สเปค OPPO RENO 2

  • หน้าจอ AMOLED ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080) ขนาด 6.5 นิ้ว
  • CPU : Snapdragon 730G
  • GPU : Adreno 618
  • RAM : 8GB
  • ความจุ : 256GB
  • กล้องหลัง : Sony IMX586 48MP (f/1.7) + 8MP (f/2.4) + 13MP (f/2.2) + 2MP (f/2.4), OIS + EIS, Ultra Dark Mode
  • กล้องหน้า Pivot Rising Camera : 16MP
  • เซ็นเซอร์สแกนนิ้วมือบนหน้าจอ
  • การเชื่อมต่อ : WLAN Function: 2.4/5GHz 802.11 a/b/g/n/ac, BT 5.0, USB-C
  • เซ็นเซอร์ : Gyro, Light, Proximity, G-Sensor/Acceleration Sensor, Compass
  • แบตเตอรี่ 4000 mAh รองรับ VOOC Flash Charge 3.0
  • ขนาด / น้ำหนัก : 160 x 74.3 x 9.5 มม. / 189 กรัม
  • ระบบ Android 9 ครอบด้วย ColorOS 6.1
  • สีที่วางจำหน่าย : สีดำ Luminous Black, สีชมพู Sunset Pink

สเปค OPPO RENO 2F

  • หน้าจอ AMOLED ความละเอียด FHD+ (2340 x 1080) ขนาด 6.5 นิ้ว
  • CPU : Helio P70
  • GPU : Mali-G72 MP3
  • RAM : 8GB
  • ความจุ : 128GB รองรับ MicroSD card 256GB
  • กล้องหลัง : Samsung Bright GM1 48MP (f/1.7) + 8MP (f/2.2) + 2MP (f/2.4) + 2MP (f/2.4), Ultra Night Mode
  • กล้องหน้า Rising Camera : 16MP
  • เซ็นเซอร์สแกนนิ้วมือบนหน้าจอ
  • การเชื่อมต่อ : WLAN Function: 2.4/5GHz 802.11 a/b/g/n/ac, BT 4.2, USB-C
  • เซ็นเซอร์ : Gyro, Light, Proximity, G-Sensor/Acceleration Sensor, Compass
  • แบตเตอรี่ 4000 mAh รองรับ VOOC Flash Charge 3.0
  • ขนาด / น้ำหนัก : 161.8 x 75.8 x 8.7 มม. / 195 กรัม
  • ระบบ Android 9 ครอบด้วย ColorOS 6.1
  • สีที่วางจำหน่าย : สีเขียว Lake Green, สีขาว Sky White

นอกจากจะเปิดตัวมือถือทั้ง OPPO Reno 2 และ Reno 2F แล้ว ก็ยังมีหูฟังบลูทูธแบบคล้องคอ OPPO Enco Q1 ที่มีฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนด้วยระบบ AI แบบ Dual Active Noise Canceling ใช้งานได้ยาวๆ 15 ชม. เมื่อเปิดโหมดตัดเสียง และได้ยาวกว่าเดิมเป็น 22 ชม. เมื่อปิดโหมดตัดเสียง

OPPO Enco Q1 จะเริ่มวางขายตาม OPPO Brand Shop และร้านค้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2019 เป็นต้นไป ในราคา 2,990 บาท

OPPO Reno 2 และ Reno 2F จะเริ่มเปิดให้จองได้ตั้งแต่วันที่ 9 – 25 ตุลาคม 2019 โดย Reno 2 มีราคาอยู่ที่ 17,990 บาท (รับฟรี Special Gift Box และ Premium Card) ส่วน Reno 2F มีราคาอยู่ที่ 11,990 บาท (รับฟรี OPPO Sport Bag และ VIP Card) โดยจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2019 เป็นต้นไป

และสำหรับลูกค้าที่จอง OPPO Reno 2 และ Reno 2F ผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย AIS, dtac และ Truemove H ในวันที่ 9 – 25 ตุลาคม 2019 พร้อมแพ็คเกจรายเดือนที่กำหนด จะได้สิทธิซื้อเครื่องในราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 3,490 บาท เท่านั้น