ถือว่าบ้านเราก็เป็นหนึ่งในหลาย ๆ ประเทศที่ได้โครงข่ายสัญญาณ 5G พร้อมใช้งานครอบคลุมพื้นที่กว้างขนาดนี้ ทำให้หลาย ๆ แบรนด์มือถือต่างก็พยายามเปิดตัวมือถือรองรับสัญญาณ 5G มากมาย ซึ่งหนึ่งในมือถือเหล่านั้นก็คือ OPPO Reno 4 Z 5G ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ดีไซน์ตัวเครื่องที่บางเบาจับถือง่ายบางเพียง 8.1 mm พร้อมกล้อง AI ถึง 6 ตัว (หน้า 2 หลัง 4) อีกทั้งยังรองรับ 5G ตั้งแต่เปิดกล่องเลยด้วย
OPPO Reno 4 Z 5G เป็นมือถือตัวเริ่มต้นในซีรีส์มือถือ 5G ของ OPPO มาพร้อมกับดีไซน์สุดบาง โฉบเฉี่ยวสวยงาม จัดเต็มอัดแน่นมาด้วยสเปคเจ๋ง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นชิป Dimensity 800, RAM LPDDR4 8GB ความจำ 128GB แถมยังมาพร้อมหน้าจอรีเฟรชเรทสูง 120Hz อีกด้วย
สเปค OPPO Reno 4 Z 5G
- หน้าจอ LTPS LCD ขนาด 6.57 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2400 รีเฟรชเรท 120Hz
- ชิปเซ็ต Dimensity 800
- RAM 8GB (LPDDR4x)
- ความจุ 128GB (UFS 2.1) ไม่สามารถใส่ microSD Card เพิ่มได้
- กล้องหลัง 4 ตัว
- Wide: 48MP
- Wide-Angle: 8MP
- B&W Portrait Mono Lens: 2MP
- Vintage Portrait Mono Lens: 2MP
- กล้องหน้า 2 ตัว
- Main: 16MP
- Depth: 2MP
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านข้าง
- รองรับ 5G dual-mode
- ซิม 1 รองรับ 5G: n77/78/38/40/41/1/3/5/7/8/20/28
- ซิม 2 รองรับ 5G: n77/78/38/40/41/1/3/5/7/8/20/28
- รูหูฟัง 3.5 มม.
- แบตเตอรี่ 4,000 mAh รองรับชาร์จไว 18W
- ระบบปฏิบัติการ ColorOS 7.2 บนพื้นฐาน Android 10
Unboxing | เปิดกล่องดูของด้านใน
ต้องบอกเลยว่า OPPO Reno 4 Z 5G ตัวนี้ก็มาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมที่ครบครัน ซื้อกล่องเดียวจบไม่ต้องไปหาซื้อเพิ่มเลย ประกอบไปด้วยหัวชาร์จ 18W, สาย USB Type-C, หูฟังแบบ Earbuds พร้อมไมค์ และเคสใสพ่วงมาให้อีกอันสำหรับป้องกันรอยขีดข่วนโดยที่ยังเห็นฝาหลังอันแสนสวยงามนี้อีกด้วย
ดีไซน์
OPPO Reno 4 Z 5G มาพร้อมกับดีไซน์บางเบาโฉบเฉี่ยวสวยงามมาก ๆ ฝาหลังเป็นเป็นพลาสติกเคลือบวัสดุด้าน ๆ ให้ผิวสัมผัสที่มีความรู้สึกลื่น ๆ ไม่ติดรอยนิ้วมือซึ่งสีที่ Droidsans ได้มารีวิวในวันนี้ก็คือสี ขาว (Dew White) ซึ่งเป็นสีขาวที่ไล่ Gradient แบบมีสีรุ้ง ๆ สะท้อนเมื่อฝาหลังโดนแสง ดูความสวยงามแปลกใหม่ไปอีกแบบ
ส่วนด้านหน้าก็มาพร้อมกับหน้าจอ 6.57 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2400 รีเฟรชเรท 120Hz ดีไซน์กล้องหน้าแบบเจาะรูสองตัว ตั้งอยู่บริเวณด้านบนซ้ายของหน้าจอ ขอบหน้าจอด้านล่างก็จะมีขนาดที่กว้างกว่าส่วนบนเล็กน้อย ส่วนด้านข้างก็จะเป็นพลาสติกเคลือบแบบเงา ๆ สวยงาม ตัดกับฝาหลังที่เป็นด้าน ๆ ทางซ้ายก็จะมีเป็นปุ่มเพิ่มลดเสียง ตามมาด้วยปุ่ม Power และเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่อยู่ทางขวาอยู่ในตำแหน่งที่นิ้วโป้งสัมผัสได้พอดีเลย
ส่วนโมดูลกล้องก็มาพร้อมเซนเซอร์ 4 ตัวเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมขอบมน ๆ กินพื่้นที่ด้านหลังไปเพียงเล็กน้อย ตัวแฟลชถูกวางอยู่จุดตรงกลางระหว่างกล้องทั้ง 4 ตัว ในเรื่องความนูนของโมดูลกล้องก็มีความหนาเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เป็นจุดสังเกตจนเกินไป
จากการใช้งานจริง ๆ ก็ต้องบอกเลยว่า OPPO Reno 4 Z 5G เป็นมือถือที่ให้ความรู้สึกบางเบาจับถือง่าย ด้วยความที่ตัวขอบมือความโค้งมนเล็กน้อย อีกทั้งตัวเครื่องยังมีน้ำหนักโดยรวมที่เบา ทำให้เป็นมือถือที่ใช้งานสะดวกพกพาง่าย แต่อาจจะมีข้อสังเกตอยู่ตรงที่ความเบาของตัวเครื่องอาจทำให้ตัวมือถือรู้สึกไม่ค่อยพรีเมียมเท่าไหร่นัก แต่โดยรวมแล้วไม่มีปัญหาเลย
ถัดลงมาด้านล่าง ก็จะพบกับรูเสียบสายชาร์จ USB-C พร้อมไมค์ และรูลำโพง แต่จุดที่น่าสนใจก็จะเป็นในเรื่องของรูเสียบหูฟัง 3.5มม. ที่ใส่มาให้ด้วย ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่เริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ แล้วในมือถือปี 2020 ถือว่าเป็นฟีเจอร์เล็ก ๆ ที่หลาย ๆ คนต่างก็ถามหากัน
UI/UX และการใช้งานเบื้องต้น
OPPO Reno 4 Z 5G ตัวนี้ก็มาพร้อมกับ ColorOS เวอร์ชั่น 7.1 ทำงานบนระบบ Android 10 ซึ่งถ้าใครเคยใช้ ColorOS กันมาก่อนก็น่าจะคุ้นเคยกับหน้าตา และการทำงานของ UI กันเป็นอย่างดี โดยส่วนตัวที่ได้ใช้งานมาเป็นเวลาเกือบ ๆ 2 สัปดาห์ก็พอจะบอกได้เลยว่าเป็น OS ที่ลื่นไหลมาก ๆ สามารถใช้งานพื้นฐานในชีวิตประจำวันได้ไม่มีสะดุด แถมยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ในการปรับแต่งมากมายอีกด้วย บอกได้เลยว่าเป็นหนึ่งในประสบการณ์ Android ที่ดีมากเลยทีเดียว
หน้า Home ของ ColorOS 7.1 ก็จะไม่มีหน้า App Drawer ทำให้แอปพลิเคชั่น และ Widget ต่าง ๆ ถูกรวมเอาไว้อยู่หน้าเดียว อีกทั้งผู้ใช้งานยังสามารถปรับแต่งหน้า Home ได้มากมายตามต้องการทั้งเปลี่ยนรูปทรง icon ไปจนถึงการเปลื่ยนเอฟเฟกต์ Transition ต่าง ๆ ทำให้การใช้งานรู้สึกสดใหม่ไม่น่าเบื่อ แถมยังมี Dark Mode ที่จะเปลี่ยนหน้า UI ทั้งหมดให้ดูมืดสบายตามากขึ้นอีกด้วย
หน้าจอ 120Hz ลื่นไหลไม่มีสะดุด
OPPO Reno 4 Z 5G มาพร้อมกับหน้าจอ LCD ขนาด 6.57 นิ้วที่ความละเอียด Full HD อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องอยู่ที่ 90.4% เนื่องจากตัวขอบด้านล่าง และกล้องหน้าสองตัวที่อยู่บริเวณมุมบนซ้ายของตัวเครื่องกินพื้นที่ไปค่อนข้างเยอะ แต่ก็ทดแทนมาด้วยค่ารีเฟรชเรทมากถึง 120Hz แถมยังมี Touch Sampling สูงสุดที่ 120Hz เช่นเดียวกัน ทำให้การลากจอไปมาให้ความรู้สึกที่ลื่นไหลไม่มีสะดุดเลย อีกทั้งหน้าจอยังสามารถดันความสว่างได้สูงสุดที่ 480 nits สามารถใช้งานกลางแดดได้ไม่มีปัญหาเลย
ชิปเซ็ต Dimensity 800 เล่นเกมลื่นไหลไม่สะดุด
ในเรื่องของชิปเซ็ต OPPO Reno 4 Z 5G ก็มาพร้อมกับชิป Dimensity 800 ของ MediaTek ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมขนาด 7 นาโนเมตร แถมมีจุดเด่นอยู่ที่รองรับการใช้งาน 5G อีกด้วย ใช้งานในสัญญาณ 5G ในไทยได้รวดเร็วแน่นอน แถมยังพ่วงมากับ RAM ขนาด 8GB ช่วยให้สามารถเล่นเกมหรือใช้งานหนัก ๆ ได้ไม่มีสะดุดเลย อีกทั้งจากการทดสอบเล่นเกมปรับภาพสูง ๆ ก็สามารถเล่นได้ไม่ปัญหาเลย อาจจะมีอาการเฟรมตกบ้างเป็นบางครั้งเวลาเอฟเฟกต์เยอะ แต่ก็ไม่ได้กระตุกจนบวกไม่ได้ คือเข้าไฟต์จนเลือดหมดก็ยังหนีออกมาได้สบาย ๆ
แบตเตอรี่อึด มีฟีเจอร์ชาร์จไว 18W
ถึงแม้ว่า OPPO Reno 4 Z 5G จะมีความบาง และเบามาก แต่ก็มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุถึง 4000mAh ซึ่งจากที่ลองใช้งานมานั้นในโหมด 4G อยู่ได้ประมาณวันนิดๆ คือวันที่ 2 ช่วงก่อนเที่ยงก็จะเริ่มหมดละ แต่ถ้าหากเปิดใช้ 5G ไปด้วย ตัวแบตเตอรี่ก็จะหมดเร็วกว่า 4G ประมาณ 10% ครับ ก็คือสายๆ ของวันที่ 2 ก็ต้องเสียบสายแล้ว ส่วนความเร็วในการชาร์จของระบบชาร์จไว 18W ก็ทำให้สามารถชาร์จเต็มด้วยเวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ
กล้อง 4 ตัวครบทุกระยะการใช้งาน
OPPO Reno 4 Z 5G มาพร้อมกล้องหลังทั้งหมด 4 ตัว ประกอบไปด้วยกล้องหลักความละเอียด 48MP, กล้อง Wide 8MP มุมกว้างถึง 119 องศา, กล้องขาว-ดำ Monochrome 2MP มาพร้อมฟีเจอร์ถ่ายรูป Dark Mode, Ultra Steady Mode ฯลฯ อีกมากมายเลย
- กล้องหลัง 4 ตัว
- Wide: 48MP
- Wide-Angle: 8MP
- B&W Portrait Mono Lens: 2MP
- Vintage Portrait Mono Lens: 2MP
ตัวอย่างภาพอาหาร
สำหรับการถ่ายอาหารก็ต้องบอกเลยว่า OPPO Reno 4 Z 5G สามารถทำออกมาได้ดีทีเดียว ภาพมีรายละเอียดที่คมชัด พร้อมขอบเขตสีที่กว้าง สด มีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะถ่ายอาหารอะไรก็สวยแน่นอน ซึ่งจากรูปด้านล่าง ไม่ว่าจะเป็นเมนูผักสด หรือเนื้อสัตว์ก็ถ่ายน่ากินไปหมดเลยครับ 😆
ตัวอย่างภาพกล้องหลัง
กล้องหน้า 2 ตัว
ในส่วนของกล้องหน้า OPPO Reno 4 Z 5G มาพร้อมกับเซนเซอร์ 2 ตัว เป็นเซนเซอร์หลักความละเอียด 16MP มาพร้อม Depth Sensor ความละเอียด 2MP เพื่อเอามาใช้สำหรับ Portrait Mode นั่นเอง ซึ่งจากที่ได้ลองใช้กล้องหน้าแล้วต้องบอกเลยว่าแม้ปิด Beauty Mode ไปแล้วรูปก็ยังรู้สึกเนียน ๆ อยู่ซึ่งถ้าสาว ๆ เห็นก็อาจจะชอบแล้วแต่ความต้องการในการใช้งานเลยครับ
ตัวอย่างภาพ Selfie
สรุปภาพรวม
OPPO Reno 4 Z 5G ถือว่าเป็นมือถือตัวกลางที่ราคาจับต้องได้ แถมสเปคที่ให้มาก็ต้องบอกเลยว่าคุ้มค่าคุ้มราคามาก ๆ แถมยังรองรับสัญญาณ 5G อีกด้วย สำหรับใครที่กำลังหามือมือ Mid-range ราคาน่าซื้อพร้อมกล้อง และ สเปคที่จัดเต็มแบบนี้ ต้องลองนับ OPPO Reno 4 Z 5G ไว้เป็นตัวเลือกด้วยนะครับ 😆 มีมาให้เลือก 2 สีด้วยกัน ได้แก่สีดำ (Ink Black) และสีขาว (Dew White) สนนราคาอยู่ที่ 12,990 บาท สามารถไปลองเล่นได้ที่ช็อป OPPO ทุกสาขาครับ
ฝาหลังสีสวยดีแหะ
เทียบกับ Mi10T ตัวไหนน่าเล่นกว่าครับ