เรียกว่าเว้นช่วงไปนานมาก สำหรับ OPPO กว่าจะออกซีรี่ส์ใหม่มาให้แฟนๆ ได้เลือกซื้อกัน โดยล่าสุด OPPO F5 นั้นเป็นการปรับมาใช้หน้าจอแบบ 18:9 ครั้งแรก ทำให้ตัวเครื่องดูลงตัวเรื่องหน้าจอและการออกแบบมากกว่าเดิม และการพัฒนากล้องเซลฟี่ขึ้นมาใหม่โดยใช้เทคโนโลยีของ A.I. Beauty เข้ามาเสริม ซึ่งทาง droidsans เองก็ได้รับคำถามเกี่ยวกับเรื่องประสิทธิภาพและการใช้งานเข้ามามากเป็นพิเศษ แต่แปลกใจที่ไม่มีใครถามเรื่องกล้องสักเท่าไหร่ เหมือนจะมั่นใจเรื่องเซลฟี่กันอยู่แล้ว แต่อยากรู้เรื่องอื่นเกี่ยวกับการใช้งานมากกว่า เพราะฉะนั้นก็จะขอตอบทุกข้อสงสัยในรีวิว OPPO F5 เลยละกัน

Unbox แกะกล่อง OPPO F5

อุปกรณ์ภายในกล่องของ OPPO F5  นั้่นให้มาครบตามสไตล์ OPPO ขนาดหน้าจอยังติดฟิล์มกันรอยมาให้

มีฟิล์มแล้ว มีเคสใส หม้อแปลง หูฟังพร้อมปุ่มรับสาย สาย micro USB และหม้อแปลง

ขนาดตัวเครื่องนั้นถือว่ากำลังเหมาะมือ ดีไซน์ด้านหลังนั้นโค้งเนียน ตัวเครืื่องออกแบบมาเน้นความบางและความสวยงาม ด้านหลังนั้นออกแบบมาได้ดี

ทั้งตัววัสดุ และดีไซน์เส้นสัญญาณ ส่วนของเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือนั้นออกแบบมาเป็นทรงรีขอบบางสวยงาม และไม่จมลึกจนดูเป็นรูโหว่ด้านหลัง

หน้าจอขนาด 6 นิ้วที่อัตราส่วน 18:9 นั้นเป็นการยืดสูงขึ้น ทำให้ตัวเครื่องไม่กว้างจนเกินไป ยังถือด้วยมือเดียวได้ถนัด

ส่วนขอบรอบๆ จอนั้นยื่นสูงจากเฟรมเครื่องด้านหลังนั้นขึ้นมาพอสมควร ทำให้รู้สึกสะดุดนิดหน่อยในช่วงแรกๆ ของการใช้งาน

ตำแหน่งของปุ่มพาวเวอร์และปุ่มปรับเสียงนั้นถูกออกแบบมาให้ตรงกันแต่อยู่คนละฝั่ง กดง่ายไม่สับสน และเวลาจับภาพหน้าจอด้วยปุ่ม พาวเวอร์+ลดเสียง นั้นสะดวกและเป็นธรรมชาติ คือใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้

ด้านบนนั้นมีแค่ไมค์ตัวที่สอง ทำหน้าที่ตัดเสียงรบกวนรอบข้างเวลาใช้งานโทรศัพท์ ส่วนด้านล่างนั้นจากซ้ายไปขวาคือช่องลำโพง ช่อง micro USB ไมโครโฟน และช่องหูฟัง 3.5 มม ถาดซิมของ OPPO F5 นั้นเป็นแบบ Triple Slot คือมีการแยกช่องใส่ micro SD ออกมา ทำให้สามารถใช้งาน 2 ซิมได้ และใส่เมมเพิ่มได้พร้อมกัน

 

UI หน้าตาระบบและการใช้งาน

OPPO F5 นั้นมาพร้อมกับ Color OS 3.2 ซึ่งมีการเปลี่ยนหน้าตาของ UI ไปพอสมควร ทั้งตำแหน่งของแผงควบคุม toggle switch ในการเปิดปิดฟังก์ชั่นต่างๆ เช่น WiFi, Bluetooth ปรับความสว่างหน้าจอนั้น ถูกจับมาไว้ด้านล่าง และต้องสไลด์นิ้วขึ้นมาจากใต้ปุ่ม navigation key แทน

เอาจริงๆ มันก็สะดวกกับการใช้งานดี เพราะหน้าจอที่ยาวขึ้นทำให้การสะบัดนิ้วโป้งขึ้นไปเพื่อเรียกแผงควบคุมนั้นง่ายขึ้น แต่สำหรับคนที่ใช้ Android อาจจะไม่ค่อยชินกับรูปแบบนี้สักเท่าไหร่

ส่วนแผงการแจ้งเตือนข้อความต่างๆ ก็ยังอยู่ที่ด้านบนเหมือนเดิม

ใน Color OS 3.2 นั้นสามารถแบ่งหน้าจอได้แล้วนะครับ (ได้ตั้งแต่ Color OS 3.1) โดยเราต้องไปเปิดการแบ่งหน้าจอแอปก่อน จึงจะสามารถใช้งานได้

ซี่งวิธีแบ่งหน้าจอก็ให้ทำการกดปุ่ม Multitask ที่เป็นสัญลักษ์สี่เหลี่ยมค้างไว้ หากแอปรองรับก็สามารแบ่งหน้าจอเป็น 2 ส่วนได้ แต่ก็ต้องเป็นแอปที่รองรับการแบ่งหน้าจอเท่านั้นนะ

โดยรวมนั้นหน้า Home และ UI ของ OPPO F5 นั้นปรับจูนมาได้ดี มีอนิเมชั่นสวยงามลื่นไหล ในการใช้งานทั่วไปยังไม่เจออาการกระตุกหรือติดขัด

กรณีที่เบื่อหน้าตาเดิมๆ ก็สามารถเข้าไปโหลด Theme มาปรับเปลี่ยนได้ โดยมีให้เลือกเปลี่ยนเฉพาะ wallpaper หรือจะเปลี่ยนยกชุดทั้ง icon ด้วยก็ได้

แอปที่ติดมาให้กับตัวเครื่องหลายๆ คนน่าจะใช้งานบ่อย อย่างเครื่องบันทึกเสียง วิทยุ FM เข็มทิศ และตัวจัดการโทรศัพท์

Phone Manager หรือตัวจัดการโทรศัพท์นั้นจะดูแลเรื่องของไฟล์ cache ต่างๆ  ที่อาจจะมีขนาดใหญ่ขั้นและกินหน่วยความจำเครื่องไปก็ต้องเข้ามาลบหรือเคลียร์ทิ้ง รวมถึงการตรวจสอบหาไวรัส มัลแวร์ นอกจากนั้นยังสามารถทำการล็อคแอปไม่ให้สามารถเปิดใช้งานได้ นอกจากจะมี PIN หรือรหัสผ่านเพื่อเปิดใช้งาน

 

Performance ประสิทธิภาพ

ถามกันมาเยอะเรื่องของความแรงเพราะชิปของ Mediatek นั้นมักจะถูกมองว่าด้อยกว่าชิปค่ายอื่นๆ มาตลอด แต่สำหรับ Helio P23 นั้นถือว่าประสิทธิภาพไม่ได้ด้อยหรือเป็นรองชิปในรุ่นกลางๆ ของ Qualcomm อย่าง Snapdragon 625 แล้วครับ สามารถทำคะแนนออกมาได้ราวๆ 64,000 ถือว่าสูสีกันเลย

ส่วนของชิปกราฟิคหรือ GPU นั้นตอนนี้ขยับไปใช้ Mali-G71 MP2 ซึ่งรองรับการประมวลผล 3D ได้ดีกว่าเดิม จากการเล่น RoV นี่เปิดการตั้งค่าสุดหมด เฟรมเรทยังนิ่งๆ ที่ 28-30 fps

ส่วนที่น่าเสียดายคือ GPU นั้นรองรับ 60fps เปิดโหมดเฟรมเรทสูงได้ แต่เนื่องจาก P23 เป็นชิประดับกลาง พลังประมวลผลไม่พอ เลยดันไปได้แค่ราวๆ 40fps เลยตัดสินใจปิดไปเล่นที่ 30fps ดีกว่า ไม่เปลืองแบตด้วยครับ

เซนเซอร์ต่างๆ ที่จำเป็นในการใช้งานหรือเล่นเกมก็มีมาให้ครบ Gyroscope นี่ขาดไม่ได้สำหรับเกม VR, AR

หน่วยความจำภายในจากที่ทดสอบมาน่าจะเป็น eMMC 5.1 เพราะทำความเร็วในการอ่านได้ที่ราวๆ 280MB/sec

 

Connectivity การเชื่อมต่อ

ระบบ 2 ซิมนั้นก็สามารถสลับ 4G ไปมาได้ทั้ง 2 ซิม ในกรณีที่ซิมนึงเกาะเสา 4G อีกซิมนึงก็สามารถเกาะ 3G ได้

OPPPO F5 สามารถเชื่อมต่อ 4G LTE ได้ที่ 2CA (CAT 6) ความเร็วสูงสุดคือ 300/50  และยังรองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5G ด้วย

ส่วนของ GPS นั้นแอบเซอร์ไพรส์เพราะรับสัญญาณได้ดีมาก จับดาวเทียมได้เยอะและเร็ว มีเข็มทิศพร้อมใช้งาน

 

Features ฟีเจอร์เสริมน่าสนใจ

Face Unlock เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ทาง OPPO นำเสนอ โดยการใช้กล้องในการสแกนใบหน้าของเราเพื่อใช้ในการปลดล็อคเครื่อง ซึ่งจะใช้เวลาในการลงทะเบียนใบหน้าสักเล็กน้อย

หลังจากเปิดใช้งานแล้วเวลาหยิบมือถือขึ้นมา กดปุ่ม power หรือ เคาะหน้าจอติดมันก็จะปลดล็อคได้แทบจะทันที เพราะ OPPO F5 นั้นตรวจสอบใบหน้าได้เร็วจริงๆ คือไม่เห็นการทำงานด้วยซ้ำ

แต่ทาง OPPO เองก็มีข้อความบอกไว้ว่าการสแกนใบหน้านั้นไม่ปลอดภัยเท่ากับการสแกนลายนิ้่วมือนะครับ แต่ใส่มาเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งาน เพราะบางครั้งหากเราเอามือถือวางบนโต๊ะ ก็ไม่ต้องหยิบขึ้นมาสแกนนิ้่วที่ด้านหลังเครื่องนั่นเอง

Gesture การจับภาพหน้าจอของ OPPO นั้นสามารถทำได้ 2 แบบ คือการกดปุ่มเปิดเครื่อง +ปุ่มลดเสียงพร้อมกัน หรือจะไปเปิด gesture เพื่ิอลาก 3 นิ้วลงก็ได้ แต่ถ้าเป็นสายเล่นเกมไม่ค่อยแนะนำ เพราะบางเกมอาจจะต้องมีการใช้ระบบทัชเกิน 3 นิ้่ว ก็ใช้ 2 ปุ่มกดพร้อมกันง่ายกว่า

นอกจากนั้นยังมี gesture หลักๆ ในการเคาะหน้าจอติด เปิดไฟฉายด้วยการวาดตัว V หรือเข้าสู่กล้องถ่ายภาพด้วยการวาดตัว O และยังสามารถใส่สัญลักษณ์อื่นๆ เพื่อเป็นทางบัดในการเปิดแอปได้อีก

Clone Apps หรือการสร้างแอปที่ 2 ขึ้นมาเพื่อใช้งาน 2 ไอดี ทาง OPPO ยังจำกัดแอปไว้พอสมควร คือได้แค่บางแอปโซเชียลเช่น LINE Whatsapp และ BBM เท่านั้น

Game Accelertaion เป็นการปรับจูนประสิทธิภาพตัวเครื่องเพื่อการเล่นเกมโดยเฉพาะ ทั้งการปรับ CPU และ กราฟิคให้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ ยังปรับลดการทำงานและการใช้เน็ตของแอปอื่นๆ เพื่อให้การเชื่อมต่อของเกมกับเซิฟเวอร์นั้นนิ่ง พร้อมปิดระบบตรวจจับแสงปรับความสว่าง หน้าจอก็จะไม่วูบเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง และยังเพิ่มการป้องกันกดปุ่มอื่นๆ โดยไม่ตั้งใจขณะเล่นเกม เพื่อไม่ให้เด้งออก หรือกลับไปหน้าโฮมระหว่างกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม

 

Camera กล้องถ่ายภาพ

มาถึงกล้องถ่ายรูปกันบ้าง OPPO F5 นั้นมีการปรับรูปแบบของการถ่ายเซลฟี่ใหม่ ให้ดูมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น จากเดิมกล้องหน้าเนียนที่เราเห็นๆ แบะใช้กันมักจะเลือกปรับใบหน้าและสีผิวกันตามค่าในโปรแกรม แต่ A.I Beauty ของ OPPO F5 นั้นจะปรับตามใบหน้าของแต่ละคนแทน

การทำงานของ A.I. Beauty นั้นจะแบ่งโซนบนใบหน้าออก ด้วยการสแกนกว่า 200 ตำแหน่ง เพื่อปรับแต่งทีละส่วน (รายละเอียดทัังหมดอ่านใน A.I Beauty) ทำภาพเซลฟี่ไม่กลายเป็นการ์ตูนเป็นเอเลี่ยน แต่มีความเป็นธรรมชาติมากกว่าเดิม แค่เปิดโหมด Beauty แลัวเลือก Auto ก็พร้อมใช้งานแล้ว

นอกจากนั้นยังสามารถทำหน้าชัดหลังเบลอได้ด้วย โดยการกดไปที่รูปหยดน้ำ ซึ่งจากที่ได้ลองมาก็ทำออกมาสวยงาม ขอบคมลอยจากฉากหลังได้เนียน แม้จะมีเพียงกล้องเดียว

ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า OPPO F5

โดยรวมผมค่อนข้างพอใจกับโหมด A.I Beauty เพราะถ่ายออกมาแล้วหน้าไม่หวานจ๋อยเหมือนรุ่นก่อนๆ ฮ่าๆ แล้วก็ไม่ต้องปรับตั้งค่าเยอะด้วย เปิด Auto ก็พอ ชีวิตง่ายสุดๆ นี่ตอนไปวิ่งหน้ามันๆ ก็ยังดูดี (ชมต้วเองก็ได้) แถมสภาพย้อนแสงท้าสู้กับ spotlight กล้องของ F5 ยังดึงหน้าผมกลับมาสว่างได้ และไม่มี noise ให้เห็นด้วย

ถึงแม้จะโฆษณาเป็นการถ่ายเซลฟี่ซะเยอะ แต่กล้องหลังของ OPPO นั้นก็ถือว่าถ่ายออกมาได้ดีกว่าหลายๆ แบรนด์ เพราะการเลือกใข้เซนเซอร์และเลนส์ที่ดีบวกกับซอฟท์แวร์ด้านกล้องที่พัฒนามาต่อเนื่องหลายรุ่น โดยโหมดภาพถ่ายนั้นสามารถเลือกขนาดได้ทั้งแบบมาตรฐาน สี่เหลี่ยมจตุรัส หรือแบบเต็มจอ

ส่วนโหมดกล้องนั้นก็มีตั้งแต่ Time Lapse, การถ่ายวิดีโอ ,โหมด Beauty, พาโนรามา และโหมด Expert ซึ่งในโหมโปรนั้นสามารถเลือกเปิดชัดเตอร์ได้ยาวนานถึง 16 วินาที โดยมีค่า ISO ต่ำสุดที่ 100

ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง OPPO F5

ในสภาพแสงดีๆ นี่กล้องของ OPPO F5 ถ่ายออกมาได้คม สีสันมาเต็มอิ่ม ระบบ Auto HDR ปรับโทนสีและความสว่างออกมาได้โอเค แต่ในสภาพแสงน้อย หรือเริ่มมืดๆ หน่อยจะยังสู้พวกตระกูล R9 ไม่ได้

สรุปผลการใช้งาน

ขอชม

  • หน้าจอสวย คม ความละเอียดผ่าน
  • กล้องหน้ากับ A.I Beauty เป็นการต่อยอดจุดแข็งเรื่อง Selfie ได้ดี
  • Face Unlock เร็วมาก
  • เสียงลำโพงดัง เสียงสนทนาชัด
  • ระบบเสียง Real Sound ผ่านหูฟังนั้นรายละเอียดดี มาแนวใสๆ หน่อย แต่ก็เลือกปรับได้ตามใจชอบ
  • GPS ทำงานเร็วจนไม่เชื่อว่าเป็นชิป MediaTek

ขอบ่น

  • ส่วนของหน้าจอยื่นขึ้นมาจากเครื่องมากไปนิด
  • เปลี่ยน UI เยอะไปหน่อย จนไปคล้าย iOS มากไปหรือเปล่า
  • กล้องหลังในที่แสงน้อยยังสู้ตระกูล R9 ไม่ได้
  • ระบบแบ่งหน้าจอมีบางแอปที่รองรับในรุ่นอื่นๆ แต่กลับไม่รองรับใน F5 ซะยังงั้น

ในกลุ่มสมาร์ทโฟนราคาต่ำหมื่นตอนนี้การแข่งขันถือว่าสูงมากๆ และ OPPO F5 เองก็นับเป็นรุ่นนึงที่ประสิทธิภาพโดยรวมน่าพอใจ หลังจากได้ใช้งานมาราวๆ หนึ่งสัปดาห์ เสียงสนทนาชัด ริงโทนดัง สัญญาณมือถือก็ดี รองรับถึง 2 CA แถมซิมที่ 2 ยังเกาะสัญญาณ 3G ได้ด้วย ส่วนของแบตเตอรี่ 3200 มิลลิแอมป์นั้น ผมใช้งานได้เฉลี่ยประมาณ 1.5 วันครับ (ถ้าไม่ได้เล่นเกม) คือมันจะไปแดงๆ เอาช่วงบ่ายๆ หรือเย็นๆ ของวันที่ 2 การเล่นเกมก็ลื่นไหลไม่ติดขัด ชิป MediaTek ตอนนี้ก็ถือว่าดีขึ้นพอสมควรในกลุ่มของ Helio P series เพราะมีการปรับฐานการผลิตไปที่ 16 นาโนเมตร เรียกว่าตบตีกับ Snap 625 ได้สูสีเลยทีเดียว ส่วนกล้อง A.I. Beauty ถ้าดูจากในรีิวิวแล้วยังไม่เห็นภาพ แนะนำให้ไปลองเล่นดูครับ มันฉลาดจริงๆ