OPPO Reno7 Z 5G, OPPO Reno7 5G และ OPPO Reno7 Pro 5G มีจุดเด่นร่วมกันคือ ความเป็น The Portrait Expert หรือผู้เชี่ยวชาญการถ่ายพอร์เทรต ซึ่งเกิดได้จากการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างฮาร์ดแวร์กล้องและอัลกอริทึมที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่องของ OPPO จนทำให้ภาพออกมาสวยเนียน เรนเดอร์โบเก้ได้เป็นธรรมชาติ ราวกับถ่ายด้วยกล้อง DSLR พร้อมฟีเจอร์เจ๋ง ๆ หลายอย่าง เช่น Bokeh Flare Portrait, Portrait Mode และ AI Color Portrait ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับใครที่เน้นการถ่ายพอร์เทรตและเซลฟี่เป็นหลัก

Play video

ขนาดและน้ำหนัก เป็นข้อจำกัดที่ทำให้พัฒนากล้องสมาร์ทโฟนได้ยาก


เซนเซอร์ภาพ ใหญ่กว่าย่อมดีกว่า แต่ในสมาร์ทโฟนมีพื้นที่จำกัด

แสง ถือเป็นปัจจัยหลักให้ภาพถ่ายออกมาดูดี โดยจะเห็นได้ว่า บรรดาผู้ผลิตสมาร์ทโฟนต่างพยายามหาวิธีในการเพิ่มการรับแสงให้กับระบบกล้อง ซึ่งหลัก ๆ แล้วทำได้ 2 วิธี ได้แก่

  • เพิ่มรูรับแสงของเลนส์ ยิ่งรูรับแสงกว้างเท่าไหร่ แสงยิ่งส่งผ่านไปยังเซนเซอร์ภาพได้มากเท่านั้น
  • ใช้เซนเซอร์ภาพขนาดใหญ่ ขนาดพิกเซลย่อยจะใหญ่ตาม ส่งผลต่อการรับแสงโดยตรงเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 วิธีดังกล่าวมีข้อจำกัดเมื่อมาอยู่บนสมาร์ทโฟน โดยอาจถือเป็นหนึ่งในอุปสรรคใหญ่ที่สุดในการพัฒนา นั่นก็คือ “พื้นที่ที่จำกัด” และ “น้ำหนัก” เมื่อใช้เซนเซอร์ภาพใหญ่ เลนส์ก็ต้องใหญ่ตาม ซึ่งคงไม่ดีแน่ ๆ กับอุปกรณ์ประเภทสมาร์ทโฟนที่ควรจะพกพาสะดวกและมีความคล่องตัวในการใช้งาน

เซนเซอร์ RGBW รับแสงดีขึ้นในขนาดเท่าเดิม


ทำลายข้อจำกัดด้วยเซนเซอร์ภาพ RGBW

OPPO ได้มองหาหนทางใหม่ ๆ ในการเพิ่มการรับแสง โดยเปลี่ยนจากเซนเซอร์ RGGB ตามที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลาย มาเป็น RGBW โดยแทนที่พิกเซลย่อยเขียว (R: Red) ด้วยสีขาว (W: White) ใน OPPO R7 Plus ที่วางจำหน่ายเมื่อปี 2558 ส่งผลให้มีนอยส์น้อยลงและไวแสงขึ้นอย่างมาก แต่ยังมีปัญหาอยู่บ้าง เกี่ยวกับความคลาดเคลื่อนของแสง ทำให้สีเพี้ยนในบางสถานการณ์

อัลกอริทึมในเซนเซอร์ภาพ ครั้งแรกในอุตสาหกรรม


ฮาร์ดแวร์แจ๋วอย่างเดียวไม่พอ ซอฟต์แวร์ต้องแจ่มด้วย

สิ่งที่ OPPO ทำต่อไปก็คือ สร้างอัลกอริทึมเฉพาะทางขึ้นมา ชื่อว่า Quadra Binning Algorithm ถือเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนที่มีการนำมาใช้งานร่วมกับเซนเซอร์ภาพ จากนั้นได้พัฒนาต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ จนถึง IMX709 ที่เป็นเซนเซอร์กล้องเซลฟี่ของ OPPO Reno7 Pro 5G ในปัจจุบัน ซึ่งไวแสงกว่า IMX615 อยู่ 60% และนอยส์น้อยลง 35%

นอกจากนี้ ในเบื้องหลัง OPPO ยังได้ร่วมมือกับ Qualcomm และ MediaTek เพื่อให้มั่นใจได้ว่า IMX709 จะเข้ากันได้กับชิปเซตและทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

DOL-HDR อีกระดับของ HDR ถ่ายย้อนแสงไม่ต้องกลัวภาพมืด


DOL-HDR สามารถใช้งานได้แบบเรียลไทม์

ประเด็นน่าสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับกล้องเซลฟี่ของ OPPO Reno7 Pro 5G คือ มันรองรับฟีเจอร์ Digital Overlap HDR หรือเรียกย่อ ๆ ว่า DOL-HDR เป็นการถ่ายภาพด้วยการเปิดชัตเตอร์รับแสง สั้น กลาง และยาว พร้อมกันในคราวเดียว จากนั้นค่อยนำมาประมวลผลรวมเป็น 1 รูป ทำให้ได้เฉดสีที่กว้าง เก็บรายละเอียดได้ดีทั้งในส่วนมืดและส่วนสว่าง แตกต่างจาก HDR ทั่วไปที่ใช้หลักการถ่ายภาพรัว ๆ แล้วค่อยนำมาซ้อนกัน ซึ่งอาจเกิดปัญหาการเหลื่อมกันจนภาพออกมาดูเพี้ยน ๆ ได้

เซนเซอร์ระดับเรือธง ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง

ทางด้านกล้องหลัง OPPO Reno7 Pro 5G ใช้เซนเซอร์ IMX766 ความละเอียด 50MP บนขนาด 1/1.56 นิ้ว มีพิกเซล 1μm และสามารถขยายเป็น 2μm ได้ด้วยอัลกอริทึม Quadra Binning Algorithm


OPPO Reno7 Pro 5G จัดเต็ม เซนเซอร์ภาพระดับไฮเอนด์

ยิ่งไปกว่านั้น ทุกพิกเซลย่อยของ IMX766 สามารถทำหน้าที่เป็นตัวจับโฟกัสได้ จึงสามารถโฟกัสได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ รวมถึงรองรับคุณสมบัติ DOL-HDR เช่นเดียวกับในกล้องหน้า

ถ่ายพอร์เทรตสวย เหมือนกล้อง DSLR พร้อมฟีเจอร์ให้เลือกมากมาย

กล่าวถึงในส่วนของฮาร์ดแวร์และระบบกล้องไปเยอะพอสมควรแล้ว ทีนี้ข้ามฟากมาดูฝั่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจกันบ้าง


OPPO Reno7 Z 5G มีฟีเจอร์พอร์เทรตให้ใช้งานเพียบ

อย่างที่ทราบกันดีว่า OPPO Reno7 Series 5G ได้ชื่อเป็น The Portrait Expert ฟีเจอร์ที่โดดเด่นส่วนมากจึงเกี่ยวกับการถ่ายพอร์เทรตอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่ง OPPO ทำออกมาได้อย่างน่าสนใจหลายอย่าง

Bokeh Flare Portrait : มีให้ใช้งานใน OPPO Reno 7 5G และ OPPO Reno7 Z 5G เป็นการทำงานร่วมกันของ 3 สิ่ง เพื่อสร้างโบเก้ให้ออกมาสมจริงที่สุด ประกอบด้วย ระบบกล้อง อัลกอริทึม และปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งมีการคำนวณเกิดขึ้นในเบื้องหลังนับพันครั้ง ก่อนที่จะเรนเดอร์ออกมาเป็นภาพ 1 ใบ โหมดนี้ใช้งานได้ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอแบบเรียลไทม์

Portrait Mode : สร้างระยะชัดตื้นให้กับภาพของ OPPO Reno7 Pro 5G และ OPPO Reno7 5G ละลายฉากหลังเป็นโบเก้สวยงาม เพิ่มความโดดเด่นให้กับตัวแบบ ปรับได้ 25 ระดับ ไล่ตั้งแต่ f/0.95 ไปจนถึง f/16 เหมือนกับปรับรูรับแสงบนเลนส์กล้อง DSLR ครอบคลุมการใช้งานทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง


จะเห็นได้ว่า โหมด HDR ดึงรายละเอียดขึ้นมาได้ทั้งส่วนมืดและส่วนสว่าง

Selfie HDR : แม้ว่า OPPO Reno 7 5G และ OPPO Reno7 Z 5G จะใช้เซนเซอร์กล้องหน้าคนละตัวกับ OPPO Reno7 Pro 5G แต่ก็ถ่าย HDR ได้เหมือนกัน ทาง OPPO เคลมว่า ฟีเจอร์นี้จะปรับภาพให้สว่างมากขึ้นโดยไม่กระทบกันโทนสีผิวแม้แต่น้อย


ดูดสีฉากหลังออก สร้างความโดดเด่นให้กับตัวแบบ

AI Color Portrait : เป็นการดูดสีของฉากหลังออก เพื่อให้ตัวแบบดูสะดุดตาขึ้นมา ฟีเจอร์นี้แฟน ๆ OPPO คงคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เพราะมีให้ใช้งานมาตั้งแต่สมัย OPPO Reno4 เลย


ปรับแต่งสีผิวและโครงหน้าได้ละเอียด แยกกันอย่างอิสระ

Portrait Retouching : การรีทัชภาพพอร์เทรตในสมัยก่อนค่อนข้างซับซ้อนวุ่นวายพอสมควร ต้องใช้โปรแกรมเฉพาะทางบนพีซีและอาศัยทักษะในการแต่งรูป แต่ด้วย Portrait Retouching สิ่งเหล่านั้นจะไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป โดยปัญญาประดิษฐ์ของ OPPO สามารถรับรู้และเข้าใจจุดต่าง ๆ บนใบหน้าของคนได้ 193 จุด แยกแยะได้แม้กระทั่งอายุและเชื้อชาติ ปรับแต่งได้สวยถูกใจทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังแน่นอน


OPPO Reno7 5G วางขายแล้ว พร้อมกับ OPPO Reno7 Z 5G และ OPPO Reno7 Pro 5g

สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่สนใจ OPPO Reno7 Series 5G ตอนนี้ก็มีวางจำหน่ายครบแล้วทั้ง 3 รุ่น โดยมีราคาดังนี้

  • OPPO Reno7 Z 5G : ราคา 12,990 บาท
    • จองสินค้าได้แล้ววันนี้ถึงวันที่ 3 – 16 มีนาคม 2565 ของมูลค่ารวม 7,499 บาท โดยผู้จองจะได้รับ E-VIP CARD ประกันจอแตกและประกันตัวเครื่อง OPPO SPORTS BAG
  • OPPO Reno7 5G : ราคา 16,990 บาท
  • OPPO Reno7 Pro 5G : ราคา 22,990 บาท