หลังงาน Launch Night In สิ้นสุดลงไปเมื่อวันก่อน เท่ากับว่าตั้งแต่เริ่มปี 2020 จนถึงตอนนี้ Google ได้มีสมาร์ทโฟนที่เปิดตัวมาแล้ว 3 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ Pixel 5, Pixel 4a 5G และ Pixel 4a ซึ่งถ้าไม่มีเซอร์ไพรส์อะไร ในปีนี้ก็คงจะหมดเพียงเท่านี้แล้ว โดยสมาร์ทโฟนทั้ง 3 รุ่นข้างต้นจะมีอะไรที่เหมือนหรือแตกต่างกันบ้าง เราได้สรุปมาให้เรียบร้อยแล้ว สามารถเข้ามาดูกันได้เลย
สเปค Pixel 5, Pixel 4a 5G และ Pixel 4a
Pixel 5 | Pixel 4a 5G | Pixel 4a | |
◉ ◉ | ◉ ◉ | ◉ | |
5G | ✓ | ✓ | – |
กันน้ำและฝุ่น | ✓ IP68 | – | – |
ชาร์จไร้สาย | ✓ 10W | – | – |
หน้าจอ | 6.0 นิ้ว OLED 16 ล้านสี 24 บิต Full HD+ 1080 x 2340 (432 ppi) สัดส่วน 19.5:9 รีเฟรชเรท 90Hz Contrast ratio >1,000,000:1 HDR | 6.2 นิ้ว OLED 16 ล้านสี 24 บิต Full HD+ 1080 x 2340 (413 ppi) สัดส่วน 19.5:9 Contrast ratio >1,000,000:1 HDR | 5.8 นิ้ว OLED 16 ล้านสี Full HD+ 1080 x 2340 (443 ppi) สัดส่วน 19.5:9 Contrast ratio 1,000,000:1 HDR |
ชิปเซ็ต | Qualcomm Snapdraon 765G | Qualcomm Snapdraon 765G | Qualcomm Snapdraon 730G |
หน่วยความจำและที่เก็บข้อมูล | RAM 8GB LPDDR4x ความจุ 128GB | RAM 6GB LPDDR4x ความจุ 128GB | RAM 6GB LPDDR4x ความจุ 128GB |
ระบบปฏิบัติการ | Android 11 | Android 11 | Android 10 |
กล้องหลัง | 12.2 MP 1.4 μm dual pixel PDAF รูรับแสง ƒ/1.7 มุมกว้าง 77 องศา OIS + EIS | 12.2 MP 1.4 μm dual pixel PDAF รูรับแสง ƒ/1.7 มุมกว้าง 77 องศา OIS + EIS | 12.2 MP 1.4 μm dual pixel PDAF รูรับแสง ƒ/1.7 มุมกว้าง 77 องศา OIS + EIS |
16 MP อัลตร้าไวด์ 1.0 μm รูรับแสง ƒ/2.2 มุมกว้าง 107 องศา | 16 MP อัลตร้าไวด์ 1.0 μm รูรับแสง ƒ/2.2 มุมกว้าง 107 องศา | ||
กล้องหน้า | 8 MP 1.12 μm รูรับแสง ƒ/2.0 มุมกว้าง 83 องศา | 8 MP 1.12 μm รูรับแสง ƒ/2.0 มุมกว้าง 83 องศา | 8 MP 1.12 μm รูรับแสง ƒ/2.0 มุมกว้าง 84 องศา |
เสียง | ลำโพงคู่สเตอรีโอ | ลำโพงคู่สเตอรีโอ ช่องหูฟัง 3.5 มม. | ลำโพงคู่สเตอรีโอ ช่องหูฟัง 3.5 มม. |
แบตเตอรี่ | 4080mAh | 3885mAh | 3140mAh |
วัสดุ | กระจกหน้าจอ Corning Gorilla Glass 6 บอดี้อะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% | กระจกหน้าจอ Corning Gorilla Glass 3 บอดี้พอลีคาร์บอเนต | กระจกหน้าจอ Corning Gorilla Glass 3 บอดี้พอลีคาร์บอเนต |
รูปลักษณ์ภายนอกและหน้าจอแสดงผล
ภาพรวมไม่แตกต่างกัน
หน้าตาโดยรวมของ Pixel 5, Pixel 4a 5G และ Pixel 4a แทบจะไม่ต่างกันเลย แถมขนาดตัวเครื่องและหน้าจอยังใกล้เคียงกันมาก ๆ ไล่จาก Pixel 5 ที่ 6 นิ้ว, Pixel 4a 5G ที่ 6.2 นิ้ว มีขนาดใหญ่ที่สุด และ Pixel 4a ที่ 5.8 นิ้ว มีขนาดเล็กที่สุด ซึ่งทั้งหมดจะเป็นพาแนล OLED ที่มีความละเอียด Full HD+ บนสัดส่วน 19.5:9 เหมือน ๆ กัน แต่หน้าจอของพี่ใหญ่ Pixel 5 นั้นจะได้เปรียบกว่าตรงที่มีรีเฟรชเรทสูงกว่าใครที่ 90Hz แสดงผลได้ลื่นไหลกว่าอีก 2 รุ่นอยู่ระดับหนึ่ง
หน้าจอแสดงผล Pixel 4a ด้อยกว่าเล็กน้อย
หากเราเจาะรายละเอียดให้ลึกลงไปอีกจะพบว่า หน้าจอของ Pixel 4a มีความสามารถในการแสดงผลทั้งภาพและสีด้อยกว่าอีก 2 รุ่นเล็กน้อย โดยมี contrast ratio เท่ากับ 100,000,000:1 หากเทียบกับ Pixel 5 และ Pixel 4a 5G จะมี contrast ratio อยู่ที่ >100,000,000:1 แต่ Google ไม่ได้ระบุตัวเลขที่ชัดเจน และทั้ง 2 รุ่นใหม่ยังรองรับการแสดงผลสี 24 bit อีกด้วย
Pixel 5 ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม.
พลิกมาดูที่รอบ ๆ เฟรมเครื่องจะเริ่มเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนกันแล้ว เริ่มจากปุ่มพาวเวอร์ของ Pixel 5 ที่เป็นโลหะ ดูมันวาวหรูหราที่สุด ในขณะที่ Pixel 4a 5G และ Pixel 4a นั้นเป็นพลาสติก ต่อด้วยด้านบนสุดที่อาจเป็นสิ่งชวนหงุดหงิดสำหรับใครหลายคน เพราะ Pixel 5 เป็นรุ่นเดียวในทั้งหมดที่ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม.มาให้ ส่วนที่ด้านหลังไม่แตกต่างกันมาก ทั้งตำแหน่งกล้อง และเซ็นเซอร์สแกนนิ้วมือ
กล้องและการถ่ายภาพ
กล้องเซลฟี่ Pixel 4a ให้ภาพมุมกว้างที่สุด
แม้กล้องเซลฟี่ของสมาร์ทโฟนทั้ง 3 รุ่นจะอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน มีความละเอียด 8MP รูรับแสง ƒ/2.0 และขนาดพิกเซล 1.12 μm เท่ากัน แต่ก็ยังมีจุดแตกต่างกันจิ๊ดนึงตรงที่กล้องเซลฟี่ของ Pixel 4a ให้ภาพมุมกว้าง 84 องศา กว้างกว่า Pixel 5 และ Pixel 4a 5G อยู่ 1 องศา อย่างไรก็ดี ในการใช้งานจริงอาจไม่รู้สึกถึงความแตกต่างนี้เท่าไหร่
กล้องหลักโมดูลเดียวกัน แต่ Pixel 5 และ 4a 5G มีกล้องคู่ พร้อมเลนส์อัลตร้าไวด์
เรื่องการถ่ายภาพถือเป็นจุดเด่นที่สุดของสมาร์ทโฟนในซีรีส์ Pixel มายาวนานหลายปี ในคราวนี้ทั้ง Pixel 5, Pixel 4a 5G และ Pixel 4a จะใช้โมดูลกล้องหลักชุดเดียวกันเป๊ะ ๆ ด้วยความละเอียด 12.2MP รูรับแสง ƒ/1.7 ให้ภาพมุมกว้าง 77 องศา พร้อมระบบออโต้โฟกัส dual pixel phase detection ที่ทำงานได้รวดเร็วสุด ๆ และใส่ระบบกันสั่นมาให้ทั้งแบบ OIS และ EIS
กล้องอัลตร้าไวด์ความละเอียด 16MP ที่ให้ภาพมุมกว้าง 107 องศา ของ Pixel 5 และ Pixel 4a 5G เป็นหนึ่งจุดหลักที่ต้องนำมาพิจารณา เพราะฝ่าย Pixel 4a มีกล้องเพียงแค่ตัวเดียว ในสถานการณ์ที่ต้องการเก็บภาพวิวหรือภาพตึกมุมกว้าง ๆ อาจจะไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่นัก รวมถึงการที่ Pixel 4a ยังไม่มีโหมดที่ชื่อว่า Cinematic Pan มาเพิ่มลูกเล่นเก๋ ๆ ให้กับการถ่ายวิดีโอให้ออกมามีลักษณะคล้ายกับภาพยนตร์ได้ (ซึ่งจะได้รับการอัปเดตให้สามารถใช้งานได้ในภายหลังหรือไม่ก็ต้องมารอลุ้นกันอีกที)
หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ และแบตเตอรี่
ทั้งหมดต่างก็ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ตระดับกลาง Snapdragon ซีรีส์ 700
ด้วยเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นในปีนี้ ประกอบกับปัจจัยด้านต้นทุนของหน่วยประมวลผลที่มีราคาสูงขึ้น ทำให้ Google ตัดสินใจเลือก Snapdragon 765G เป็นชิปเซ็ตสำหรับ Pixel 5 เช่นเดียวกับ Pixel 4a 5G ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่สมาร์ทโฟนซีรีส์ Pixel ไม่ได้มาพร้อมกับชิปเซ็ตระดับไฮเอนด์
ส่วน Pixel 4a จะมาพร้อมกับ Snapdragon 730G แน่นอนว่า ถ้าอ้างอิงจากหน้ากระดาษมันจะสู้ 2 ตัวแรกไม่ได้ แต่ในการใช้งานจริงจะมีความแตกต่างขนาดไหนคงยังบอกไม่ได้ในตอนนี้ แต่ที่แน่ ๆ Pixel 5 และ Pixel 4a 5G นั้นจะรองรับการเชื่อมต่อ 5G ในขณะที่ Pixel 4a รองรับสูงสุดเพียงแค่ 4G เท่านั้น
Pixel 5 ได้เปรียบเรื่องแบตเตอรี่และ RAM ที่มากกว่า
ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา มักมีเสียงบ่นเกี่ยวกับความจุแบตเตอรี่ของ Pixel ที่ให้มาน้อยกว่าชาวบ้านอยู่เป็นประจำ ในที่สุดตอนนี้ Google ก็ได้เริ่มขยับตัวในเรื่องนี้แล้ว เริ่มจาก Pixel 5 ที่มีแบต 4080mAh สูงที่สุดเหนือ Pixel ทุกรุ่น ยิ่งเอาไปเทียบกับ Pixel 4 ที่มีแบตเพียง 2800mAh จะเห็นได้ชัดเจนว่า ความจุแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 40%↑
ทาง Pixel 4a 5G เองก็ไม่น้อยหน้า ด้วยแบตเตอรี่ความจุ 3885mAh ไม่ค่อยห่างจากพี่ใหญ่มากนัก ส่วนน้องเล็ก Pixel 4a ให้แบตมาที่ 3140mAh อย่างไรก็ตาม จากสมาร์ทโฟนทั้งหมด 3 รุ่นนี้ มีเพียง Pixel 5 เท่านั้นที่รองรับการชาร์จแบบไร้สาย รวมถึงมีฟีเจอร์ Battery Share ชาร์จไร้สายย้อนกลับให้อุปกรณ์อื่น ๆ ได้
Pixel 5 มากับ RAM 8GB LPDDR4x สูงกว่า Pixel 4a 5G และ Pixel 4 ที่ต่างก็มากับ RAM 6GB LPDDR4x แต่ความจุจะเท่ากันทั้งหมดที่ 128GB (ไม่รองรับ microSD) ไม่มีการซอยรุ่นย่อยตามหน่วยความจำแต่อย่างใดในปีนี้
วัสดุและความทนทาน
วัสดุที่หรูหราและความสามารถในการกันน้ำมีแต่เฉพาะ Pixel 5
มีหลายคนกล่าวว่า วัสดุของตัวเครื่องนั้นไม่ใช่ปัจจัยในการเลือกซื้อ เพราะสุดท้ายก็จบลงที่การติดฟิล์มและใส่เคสอยู่ดี แต่ในทางตรงกันข้ามนั้นยังมีผู้ใช้งานอีกเป็นจำนวนไม่น้อยที่ชอบใช้งานตัวเครื่องแบบเปลือย ๆ และชอบฟีลลิ่งการสัมผัสที่หรูหรา
ซึ่ง Pixel 5 จะตอบโจทย์ข้อนี้ได้ดีที่สุด เนื่องจากเป็นเพียงรุ่นเดียวที่บอดี้ทำมาจากวัสดุอะลูมิเนียม ขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวแบบยูนิบอดี้ ใช้กระจกหน้าจอ Gorilla Glass 6 จาก Corning และมีความสามารถกันน้ำและฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 แตกต่างจากอีก 2 รุ่นที่เหลือ ซึ่งบอดี้ทำมาจากพลาสติก กระจกหน้าจอ Gorilla Glass เป็นเพียงเวอร์ชั่น 3 เท่านั้น และไม่ได้รับมาตรฐานกันทั้งน้ำและฝุ่นใด ๆ ทั้งสิ้น
ระบบปฏิบัติการ
Pixel 4a “อาจ” ได้รับอัปเดตถึงแค่ Android 13
อันที่จริง Google มีการอัปเดต OS ให้ Pixel รุ่นแรกยาวนานถึง 3 เจเนอเรชั่น จาก Android 7.0 Nougat ไปจนสิ้นสุดที่ Android 11 แต่พึ่งจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในงาน Launch Night In ว่า สมาร์ทโฟน Pixel จะได้รับการการันตีอัปเดตทั้ง OS และความปลอดภัยเป็นเวลาอย่างต่ำ 3 ปีด้วยกัน
ตรงส่วนนี้น่าสนใจมาก เพราะจากคำประกาศของ Google ระบุเป็น “ปี” ไม่ได้ระบุเป็น “เจเนอเรชั่น” หรือ “เวอร์ชั่น” ซึ่ง Pixel 4a ที่เปิดตัวมาก่อนพร้อม Android 10 จะได้รับการสนับสนุนซอฟต์แวร์ถึงเดือนสิงหาคมในปี 2023 อาจสุ่มเสี่ยงมาก ๆ ที่จะได้รับการอัปเดตถึงแค่ Android 13 เพียงเท่านั้น เพราะ Android เวอร์ชั่นใหม่มักจะเปิดตัวในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน
อย่างไรก็ตาม ทาง Google มีตัวหนังสือเล็ก ๆ แจ้งไว้ว่า ช่วงเวลา 3 ปี เป็นช่วงเวลา “อย่างต่ำ” ที่ได้กำหนดเอาไว้ ถึงเวลาจริง ๆ อาจมากกว่านั้นก็ได้ (?)
Pixel 5 และ Pixel 4a 5G จะได้รับอัปเดตถึง Android 14
แตกต่างจาก Pixel 5 และ Pixel 4a 5G ที่เปิดตัวพร้อม Android 11 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นใหม่กว่า และจะได้รับการสนับสนุนซอฟต์แวร์ไปจนถึงเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนตามลำดับ โดยจะได้รับการอัปเดตเป็น Android 14 ทั้งคู่อย่างแน่นอน หากเป็นอย่างที่กล่าวมา ความน่าใช้ของ Pixel 4a จะลดลงไปอีกพอสมควรเลยทีเดียว
บทสรุป
Pixel 5 เจ๋งสุด ครบสุด แพงสุด
จากทั้งหมดที่กล่าวมา คงไม่ใช่เรื่องพลิกโผอะไรที่ Pixel 5 จะดูเหนือกว่าใคร เนื่องจากเป็นรุ่นท็อปสุด มีจุดสังเกตเพียงข้อเดียว คือ ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม. แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมปัจจัยสุดท้าย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ “ราคา” โดย Pixel ทั้ง 3 รุ่นมีราคาดังนี้
- Pixel 5 – ราคา 699 เหรียญ (~22,100 บาท)
- Pixel 4a 5G – ราคา 499 เหรียญ (~15,800 บาท)
- Pixel 4a – ราคา 349 เหรียญ (~11,100 บาท)
Pixel 4a 5G ลงตัวอย่างสมดุล
ส่วนตัวคิดว่า เมื่อนำปัจจัยด้านราคาเข้าไปรวมด้วย Pixel 4a 5G ดูจะเป็นตัวเลือกที่เข้าท่าที่สุด เนื่องจากมีสเปคโดยรวมไม่ได้หนีไปจาก Pixel 5 เลย ฟีเจอร์การใช้งารและการอัปเดต OS เองก็เทียบเท่ากันทั้งหมด จะขาดไปก็แค่ความสามารถในการกันน้ำ ชาร์จไร้สาย และหน้าจอที่ไม่ได้ลื่นเท่า (60Hz) แค่นั้นเอง
ซึ่งเอาเข้าจริงหลายคนก็ไม่ได้ใช้งานมันเท่าไหร่ ไม่ได้เป็นฟีเจอร์ที่แบบ “จำเป็นต้องมี” อะไรขนาดนั้น กับในเรื่องของวัสดุพลาสติกที่ก็พอกลบเกลื่อนไปได้บ้างโดยการใส่เคสทับลงไปซะ แต่หลัก ๆ ก็เพราะด้วยราคาที่ห่างกันถึงกว่า 6,000 บาท นั่นแหละที่ทำให้ Pixel 4a 5G ดูน่าสนใจขึ้นมาทันที
Pixel 4a เหมาะสำหรับคนอยากรู้อยากลองหรือมีงบจำกัด
ทางฝั่ง Pixe 4a เองก็มีราคาที่ถูกมาก สำหรับใครที่อยากสัมผัสประสบการณ์ Android แท้ ๆ ตามแบบฉบับ Pixel โดยเน้นไปที่ประสบการณ์การใช้งานในราคาที่จับต้องได้ เจ้านี่ก็น่าจะเป็นน่าจะเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเช่นกัน ด้วยราคาประมาณ 22,100 ของ Pixel 5 นี่ซื้อเป็น Pixel 4a ได้ถึง 2 เครื่องเลยทีเดียว แต่เลนส์อัลตร้าไวด์ก็จะหายไป ซึ่งก็ต้องพิจารณาในข้อนี้ด้วย
แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าเราจะชอบรุ่นไหนมากที่สุด แต่มือถือซีรีส์ Pixel ก็ยังไม่มีการนำเข้ามาวางจำหน่ายในบ้านเราอย่างเป็นทางการอยู่ดี เพราะฉะนั้นก็ต้องหาช่องทางการซื้อกันเอาเองนะครับ
snap 765g +ram ddr4x
ไม่ค่อยดึงดูดเท่าไรเลยจริงๆ
ถ้าเน้นสเปค อย่ามองแบรนด์นี้เลยครับ
ลองเทียบกับคู่แข่งโดยตรงอย่าง Apple นะ สเปคมือถือเขาราคาแพงก็จริง แต่ chip เขาแรงกว่ามาก ผมในฐานะสาวกแอนดรอย คาดหวังตลอดเรื่องสเปกฝั่งแอนดรอยจะเทียบเขาได้ และถ้าทำให้ทุกอย่างมันสุดก็ดูดีกว่าฝั่ง apple จริงๆ เช่นใส่ชิป snap ตัวท๊อป +แรม ,จอ, OS ก็ถือว่าทำได้ดีแล้ว แต่กับพบว่ากั๊กสเปกซะงั้น
ทำใจครับ apple ทำทุกอย่างเองหมด (แต่จ้างทำ) เวลาซื้อ apple ใหม่ ก็รู้สึกว่าดีสุดของปี ไม่เหมือนแบบนี้ ซื้อราคาแพงแต่ สเปกแบบนี้ก็ไม่ไหว ถึงแม้ไม่ได้บ้าสเปก แต่ความรู้สึกมันก็ไม่คุ้มอยู่ดี