หลังจากรู้ข่าวว่า Apple Watch มีเครื่องให้ลองเล่นแล้วที่ญี่ปุ่นหลังจากเปิดให้จองในวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ซึงเผอิญว่าผมเองก็มาเทียวโตเกียวและยังไม่ได้กลับ เลยรีบแจ้นไปลองสัมผัสเครื่องจริงและพรีวิว Apple Watch แบบเบาๆ เท่าที่พอจะทำได้มาให้ได้อ่านและได้ชมกัน

Apple Watch นั้นนับเป็นคู่แข่งรายสำคัญของ Android Wear และ Wearable ค่ายต่างๆ แบบที่เรียกได้ว่าหลายๆ คนน่าจะจับตารอดูว่าหลังจากเปิดวางจำหน่ายแล้ว กระแสของมันจะแรงแค่ไหน ยอดขายยอดจองจะดีกว่าของค่ายอื่นๆ หรือไม่ เพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่มี Wearable ตัวไหนที่โดดเด่นจนครองตลาดได้จริงจัง และตลาดเองก็ยังไม่ได้เติบโตมากนัก ดูเหมือนจะเกริ่นยาวไปนิดนึงละ ขอตัดเข้าประสบการณ์ลองสัมผัส Apple Watch กันเลยละกัน

ต้องบอกก่อนว่านี่เป็นทริปญี่ปุ่นที่ฟ้าฝนเป็นใจมาก สำหรับใครทีโดนทัวร์ยกเลิกหรือบินมาไม่ได้คุณโชคดีแล้วครับ เพราะฝนตกแทบทุกวัน ผมมาอยู่ได้ 7 วันเจอดวงอาทิตย์วันเดียว และในช่วงเย็นวันที่ 10 เมษาก็เช่นกัน ผมมาถึงชิบูย่า ฝนก็ตกอีกแล้ว พอเปิด Google Maps จะตามหา Apple Store โชคดีมันยังพอจับสัญญาณได้ แต่เข็มทิศนี่หมุนติ้วๆ หมุนแบบเดินไม่ถูกกันเลยทีเดียว

สุดท้ายก็หลงทางครับ T T เดินวนไปวนมาหลายรอบ พอลองถามคนญี่ปุ่นว่า Apple Store อยู่ตรงไหน.. บางคนเกาหัวแกรกๆ บอกไม่รู้ > <

หลังจากเดินวนไปมาราวๆ 20 นาที ผมก็มองเห็นแสงสีขาวที่ปลายอุโมงค์ ไม่ใช่สิ! แสงสีขาวบนอาคารที่ส่องเป็นรูปแอปเปิ้ลแหว่ง นั่นแสดงว่าเราเดินทางมาถึงดินแดนศักสิทธิ์ของบรรดาสาวกแล้ว (-/-)

ระยะทางจริงๆ ของ Apple Store สาขาชิบูย่านั้นอยู่ห่างจากสถานีรถไฟแค่เดินประมาณ 10 นาทีเท่านั้นครับ

พอเห็น Apple Store แล้วบอกเลยว่าดีใจมากที่จะได้เข้าไปข้างใน ไม่ใช่ดีใจที่จะได้เข้าไปเล่น Apple Watch นะครับ แต่ดีใจที่จะได้เข้าไปหลบในร้าน เพราะข้างนอกนี่ทั้งลมทั้งฝน หนาวสุดๆ ประมาณ 4 องศาเซลเซียสได้ คือมือแข็งขาแข็งไปหมดแล้ว

เดินเข้ามาในร้าน โอ.. มันช่างอุ่นมากมายเหมือนได้เกิดใหม่ มองไปที่มุมด้านใน..  นั่นมันไทยมุง! ผิดสินะ ต้องเรียกว่าญี่ปุ่นมุง แต่เท่าที่สังเกตุคนในร้านไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ น่าจะเป็นเพราะมันค่ำแล้ว แถมฝนยังตกอีกต่างหาก คนอาจจะมาลองตั้งแต่บ่ายแล้วกลับไปแล้วก็ได้

พอหันมามองอีกด้าน ก็เจอกับ Apple Watch เรียงรายในตู้กระจก เรียกว่ามากันครบทั้ง Apple Watch, Apple Wacth Sport, และ Apple Watch Edition 

Apple Watch Sport นี่ค่อนข้างจะโดดเด่นในตู้มากกว่าเพื่อน เพราะสีสันมันจี๊ดมาก

โดยทั้ง 3 รุ่นมีโชว์ทั้ง 2 ขนาดหน้าปัด นั่นคือ 42 มิลลิเมตร และ 38 มิลลิเมตรครับ 

ข้างๆ กันก็มีส่วนที่เปิดให้ลองเล่น Apple Watch ด้วย คนมาลองเล่นกันพอสมควร โดยแต่ละเรือนจะถูกฝังอยู่ในแท่นที่มาพร้อมหน้าจอข้างๆ

ซึ่งหน้าจอข้างๆ นี่มีไว้อธิบายฟังก์ชั่นและวิธีการใช้งานต่างๆ และถ้าหากเราเปิดแอปไหนขึ้นมา หน้าจอข้างๆ ก็จะบอกว่าแอปไหนสามารถทำอะไรได้บ้าง และใช้งานยังไง อันนี้เจ๋งดีครับ แต่สำหรับการลองเล่นที่เครื่องเดโมตัวนีัก็สามารถทำได้แค่ลองแอปที่ติดมาในนี้เท่านั้น ไม่สามารถเชื่อมต่อกับ iPhone ของเราเพื่อลองเล่นฟังก์ชั่นอื่นๆ ได้

ส่วนของปุ่มกดด้านข้างและเม็ดมะยมหรือ digital crown ที่ผมเคยแซะว่ามันน่าจะใช้งานยาก และใครจะมานั่งหมุนมัน อันนี้ขอเปลี่ยนคำพูดกลืนน้ำลายตัวเองอึกใหญ่หลังจากได้ลองของจริง ตัวเม็ดมะยมนั้นหมุนง่ายมาก ไม่ได้แข็งเหมือนบนนาฬิกาทั่วไป และเอาจริงๆ คือไม่ต้องสอดนิ้วเข้าไปหมุน แค่ถูขึ้นลงมันก็ขยับแล้ว (ลองดูในคลิปท้ายบทความได้) แต่ส่วนของการกดปุ่มลงไปนั้น เวลาใส่ในข้อมือจริงๆ มันก็ไม่สะดวกสักเท่าไหร่

อ้อลืมบอกไป หลังจากเข้ามาในร้าน พนักงานของ Apple Store ก็จะมาสอบถามให้เราลงชื่อว่าสนใจจะลองเล่น Apple Watch หรือเปล่า ให้เราต่อคิวได้ โดยพนักงานบอกว่าในช่วงบ่ายนั้นคิวค่อนข้างยาว ราวๆ 30 นาทีเลยทีเดียว แต่ช่วงเย็นยนี้ไม่น่าเกิน 10 นาทีเพราะคนไม่เยอะ ซึ่งก็จริงตามนั้นครับ แค่ 5 นาที พนักงานก็มาเรียกไปลองแล้ว ^ ^

พอมาถึงที่โต๊ะ พนักงานก็จะดึงลิ้นชักออกมา ข้างในมี Apple Watch วางเรียงรายเป็น 10 เรือน มาพร้อมตัวเรือนและสายจต่างชนิดกัน แต่ภาพนี้ผมไปเก็บมาจากคนที่ลองบนโต๊ะนะครับ อิอิ ส่วนที่ผมได้ลองนั้นอยู่ข้างๆ โต๊ะใหญ่ พนักงานจะหยิบเอากล่องใหญ่ๆ มาให้ลอง ข้างในมี Apple Watch เป็น 10 เรือนเช่นกัน

สายส่วนใหญ่ของ Apple Watch นั้นจะใช้แม่เหล็กเป็นตัวยึดแทบทั้งหมด คือแค่เอามาพันรอบๆ ข้อมือมันก็เกาะกันทันที

ไม่ว่าจะเป็นสายแบบไหนก็สามารถถอดเปลี่ยนเองได้ง่ายๆ ด้วยกดปุมที่ด้านหลังแล้วเลื่อนเอาสายออกมาด้านข้าง 

 

Apple Watch Sport นั้นวัสดุตัวเรือนทำจาก Aluminum และใช้กระจก ION-X glass ในส่วนของหน้าปัด เพื่อให้มีรน้ำหนักเบาเหมาะแก่การใส่ไปวิ่งออกกำลังหรือทำกิจกรรมต่างๆ ส่วน Apple Watch นั้นตัวเรือนเป็น Stainless steel และหน้าปัดทำจาก Sapphire glass (ทีสาขาชิบูย่าไม่มี Apple Wacth Edition ให้ลอง แต่พนักงานบอกว่ามีทีสาขากินซ่า)

ที่เห็นเป็นรูปกลมๆ ด้านหลังนั่นคู่นึงเอาไว้สำหรับชาร์จแบตครับ ส่วนอีกคู่คือไฟ LED สำหรับตรวจวัดชีพจรหรือ Heart rate sensor

ขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตร เทียบกับ 38 มิลลิเมตร

อีกอย่างทีประทับใจคือพนักงาน Apple Store ที่พร้อมจะช่วยเราทุกอย่าง คือปรับขนาดสายเพื่อให้ลองสวมดูว่าขนาไหนถึงจะพอดีก็ทำให้หมด เรียกได้ว่าบริการทุกระดับประทับใจจริงๆ  

 

Play video

 

ปิดท้ายกันด้วยภาพของ Apple Watch ทั้ง 3 รุ่นที่ผมไปเก็บมาจากในตู้โชว์ละกันนะครับ ^ ^

Apple Watch Sport ราคา 349 – 399 USD (ราว 11,xxx – 13,xxx บาท) 

Apple Watch ราคา 549 – 1,099 USD (ราว 17,xxx – 35,xxx บาท)

 Apple Watch Edition ราคา 10,000 – 17,000 USD (ราว 32x,xxx – 55x,xxx บาท)