Galaxy S10+ เรือธงตัวท็อปของ Samsung ตอนนี้มาอยู่ในมือของ droidsans เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รุ่นนี้จัดเต็มสุด อัดกล้องมาให้ถึง 5 ตัว แถมแบตเตอรี่ยังใส่มาจุใจ 4100 มิลลิแอมป์ แถมใครที่ชอบเล่นสเปคโหดๆ ยังมีรุ่นเซรามิกที่ RAM 12GB ROM 1TB ให้ใช้งานกันแบบจุใจ

Play video

ตัวเครื่องและดีไซน์

Galaxy S10+ หน้าจอ Infinity O ขนาด 6.4 นิ้ว ของรุ่นนี้อาจจะดูแปลกๆ นิดๆ เพราะรูมันกว้างเนื่องจากมีกล้องหน้าคู่ ความละเอียดสูงสุดของหน้าจอคือ 2K ความสว่าง 800 nits แต่ความพิเศษของจอใหม่คืออัตราส่วน contrast ratio ที่สูงถึง 2,000,000 : 1 (มากกว่า S9 ถึง 20 เท่า) และความแม่นยำของสีที่พัฒนาให้ค่า JNCD หรือความใกล้เคียงสีจริงอยู่ที่ 0.4 (ยิ่งใกล้ศูนย์ยิ่งดี)

แต่ตัวเลขหรือค่าต่างๆ อาจจะไม่ชัดเท่ากับมองด้วยตาเปล่า ซึ่งจอของ S10+ นั้นมีรายละเอียดและสีสันที่ดีกว่าเดิม ครั้งแรกที่เห็นยังแอบนึกถึงจอทีวีของ Samsung ที่โฆษณาว่าใช้แทนวอลเปเปอร์ข้างผนังได้ คือมันดูนิ่งเหมือนภาพ ไม่เหมือนจอมือถือ

ส่วนขอบจอทั้ง 4 ด้านนั้นที่เห็นในภาพโฆษณาดูบางมากๆ ของจริงก็บางตามนั้นเลย แต่ขอบล่าง(หรือส่วนคาง) ก็ยังหนากว่าข้างบนนิดๆ

แกนกลางโลหะนั้นทำจาก Aluminum 7000 ส่วนกระจกหน้าจอใช้ Gorilla Glass 6 แต่กระจกหลังนั้นเป็น Gorilla Glass 5 นะ อันนี้ Samsung ไม่รู้ไปแอบทำอะไรมากับ Galaxy S10+ เพราะแบตเตอรี่นั้นใหญ่กว่าเดิม แต่เครื่องกลับบางลง แถมตอนที่ถือก็รู้สึกเบาลงด้วย

แต่ที่จับแล้วแอบขัดใจคือตำแหน่งปุ่มเปิด/ปิด มันรู้สึกสูงขึ้นไปจากเดิมเวลาถือในมือ (เหมือนตอน A9 2018) เหมือนกับ Samsung อยากให้เรามาจับบริเวณกลางเครื่องในขณะใช้งาน เชื่อว่าจะต้องใช้เวลาสักพักถึงจะเริ่มชินกับตำแหน่งใหม่

อีกฝั่งคือปุ่ม Bixby ที่ชวนให้เรากดผิดตลอดๆ แต่เราสามารถตั้งค่าให้กด 2 ครั้งค่อยเรียกก็ได้

พลิกมาดูด้านล่างนี่หลายๆ คนคงยิ้มออก (ผมเองก็หนึ่งในนั้น) ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม จะไม่มีวันสูญพันธ์ไปจาก Samsung แน่นอน (จริงๆ ก็นั่งลุ้นมันทุกรุ่นใหม่ที่เปิดตัวเลย)

 

หน้าจอ Infinity O

เรียกว่าเป็นจอที่หลายคนว้าว และหลายคนก็ยังสงสัยในการทำงานของมันอยู่ เพราะการไม่มีติ่งหน้าจอมันก็ดี แต่มีรูแบบนี้มันก็ถือว่าบังเนื้อหาหรือกินส่วนนึงของหน้าจอไปอยู่ดี ในส่วนของ One UI และการใช้งานแอปต่างๆ นั้น ไม่ส่งผลอะไรกับการแสดงผล เพราะมันมีการเว้นที่เอาไว้ให้เรียบร้อย

ลองเปิดแอปต่างๆ ดู ก็จะเห็นว่าหากเปิดเต็มจอ..

ส่วนของกล้องหน้าจะบังจอนิดหน่อย ตรงนี้ถ้าหากเล่นเกมแล้วก็อาจจะต้องเลือกหมุนหามุมเก็บที่จะไม่บังหรือโดนกล้องกินไปนะครับ คือเลือกหมุนได้ 2 ทาง ไม่ซ้ายบน ก็ขวาล่าง เดี๋ยวเอาไว้ถ้าลองเล่นเกมแล้วจะมาบอกอีกที

 

กล้องหน้าคู่

กล้องหน้าของ Galaxy S10 ซีรี่ส์นั้นอัพเกรดมาใช้เป็นเซนเซอร์ที่รองรับ Dual Pixel ช่วยให้ระบบโฟกัสแม่นยำและเร็วกว่าเดิม แถมยังใส่ระบบกันสั่น OIS มาให้ด้วย

ใน Galaxy S10+ นั้นใช้เป็นกล้องคู่ นอกจากกล้องหลัก 10MP แล้วอีกตัวคือกล้องจับความลึก 8MP เพื่อช่วยให้ถ่ายภาพ Live Focus ได้มีมิติและประมวลผลได้ดีขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากมีข้อมูลจากกล้องอีกตัวมาช่วย

กล้องหน้ายังสามารถเลือกขยายเฟรมได้อีกนิด หากดูแล้วแคบเกินไปก็แค่แตะปุ่มถ่ายแบบกลุ่ม ส่วนฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาก็มีการถ่ายวิดีโอ 4K และ AR Emoji ที่ตอนนี้สามารถขยับตามเราได้ทั้งตัวเลย เรียกว่า Motion AR Emoji

 

กล้องหลัง 3 ตัว

กล้องหลัง 3 ตัวประกอบไปด้วยเซนเซอร์ 12MP + 12MP +16MP ซึ่งแต่ละตัวทำหน้าที่ต่างกัน กล้องหลักยังเป็นเซนเซอร์ที่ปรับรูรับแสงได้ f1.5/f2.4 มีกันสั่น OIS ส่วนกล้องตัวที่สองเป็นเลนส์ Tele ความละเอียด 12MP มีกันสั่น OIS มาให้ด้วย

กล้องตัวที่ 3 ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือเลนส์ Ultra Wide ถ่ายได้กว้างถึง 123 องศา

ในโหมดกล้องหลังนั้นมีฟีเจอร์ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาเพียบเลย ทั้งการถ่ายวิดีโอ Super Slowmotion ที่ถ่ายได้นานกว่าเดิม และยังสามารถ edit ได้ จากเดิมที่หากเราถ่าย 960fps แล้วต้องรับชะตากรรมช่วงที่สโลโมชั่นไป แก้ไขอะไรไม่ได้ โหมดถ่ายภาพกลางคืนแบบไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องก็มาแล้ว (ซะที) แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถเปิดใช้งานได้ตามที่ใจอยาก เพราะ Scene Optimization จะเป็นคนตัดสินใจให้เอง (คาดว่าไม่นานจะมีอัพเดทแยกให้เปิดได้เองละมั้ง)

ส่วนของ Live Focus และ Art Bokeh ก็มีลูกเล่นใหม่ๆ ของแสงและเอฟเฟคในการเบลอฉากหลังด้วย อีกโหมดที่น่าสนใจคือการถ่ายวิดีโอได้แบบเดียวกับ Action Cam โดยจะใช้ระบบกันสั่น Super Steady ทำงานร่วมกับเลนส์ Ultra Wide เดี๋ยวจะไปลองวิ่งเล่นแบบตอนทดสอบ GoPro 7 ดูว่าจะเป็นอย่างไร

 

ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง Galaxy S10+ (ทยอยอัพเดท)**

สแกนลายนิ้วมือ Ultra sonic

หนึ่งฟีเจอร์ที่ลาไปก่อนคือ Iris scan หรือการสแกนม่านตา สาเหตุหลักที่ตัดออกไปคือคนยังไม่ค่อยนิยมใช้กัน หลังจากที่ Samsung พยายามใส่มาในเรือธงต่อเนื่องหลายรุ่น เลยต้องยอมตัดใจทิ้งไป และเน้นสแกนลายนิ้วมือเป็นหลัก

ซึ่งระบบสแกนนิ้วแบบ Ultrasonic ที่ Samsung เลือกใช้นั้นก็เพราะว่ามันสามารถเก็บรายละเอียดนิ้วแบบ 3D ได้ ยากกับการปลอมแปลง และสามารถสแกนได้แม้นิ้วจะเปียก จากที่ลองก็ปลดล็อคได้เร็ว

สเปค Galaxy S10+

  • ชิปประมวลผล Exynos 9820
  • หน้าจอขนาด 6.3″ (19:9), 3040 x 1440 pixel QHD+, 522 ppi, Infinity O, AMOLED HDR+, Gorilla Glass 6
  • เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือระบบ Ultra Sonic ฝังใต้จอ
  • ระบบสแกนใบหน้า
  • สเปคกล้องหลัง 3 ตัว
    • 12 MP (f 2.4), กล้อง Telephoto (มุมกว้าง 45 องศา), Zoom, OIS, AF
    • 12 MP (f 1.5), กล้องหลัก (มุมกว้าง 77 องศา), Dual Aperture, Dual Pixel, OIS
    • 16 MP (f 2.2) กล้อง Ultra Wide (มุมกว้าง 123 องศา)
  • สเปคกล้องหน้าคู่
    • 10 MP ( f 1.9) กล้องหลัก
    • 8 MP (f 2.2), กล้อง Live focus, Dual Pixel AF, Selfie UHD
  • แบตเตอรี่ 4,100 mAh รองรับ Wireless Power Share และ Fast Wireless Charge 2.0
  • USB-C
  • ขนาดตัวเครื่อง หนา 7.8 มม. น้ำหนัก 175 กรัม

น่าจะเห็นกันจนท่องจำได้แล้ว สำหรับสเปค แต่เราก็มีข้อมูลมาอัพเดทก็คือรุ่นที่ขายในประเทศไทยนั้นจะมีตามนี้ครับ

  • Galaxy S10+ RAM 8GB ROM 128GB มีสีขาว Prism White, สีดำ Prism Black และสีเขียว Prism Green ราคาอยู่ที่ 35,900 บาท
  • Galaxy S10+ รุ่นเซรามิก RAM 8GB ROM 512GB  มีสีขาว Ceramic White และ สีดำ Ceramic Black 44,900 บาท
  • Galaxy S10+ รุ่นเซรามิก RAM 12GB ROM 1TB มีสีขาว Ceramic White และ สีดำ Ceramic Black 55,900 บาท