ด้วยกระแสของ VR ที่ยังไม่รู้ว่าแนวโน้มจะเป็นยังไงในอนาคต แต่บริษัทใหญ่ๆก็ยังคงช่วยกันผลักดันอย่างไม่ขาดสาย ล่าสุด F8 (งาน Developer Conference ของ Facebook) ก็ได้เปิดตัว Oculus Go ออกมา เพื่อสัมผัสประสบการณ์ VR แบบที่ไม่ต้องต่อกับ PC หรือใช้มือถืออีก (Stand-alone) ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง $199 แถมแจกให้ทุกคนในงานด้วย ดังนั้นทีมงาน Droidsans จึงไม่พลาดที่จะดั้นด้นไปหามาลองเล่นกัน

เปิดกล่องส่องของ

ไม่รู้ทำไม แต่เห็นตัวกล่องแล้วนึกถึง Chromecast ซะงั้น ไม่ว่าจะเป็นสีของกล่อง การจัดวางตัวหนังสือและภาพ… แต่ว่ากล่อง Oculus Go นั้นใหญ่กว่า Chromecast มาก

 

ด้านหลังของกล่องก็คือส่วนของฐานกล่อง ดังนั้นเวลาเปิดกล่องก็คือยกฝากล่องขึ้นได้เลย

 

รีโมตควบคุมจะตั้งอยู่ที่กลางกล่องเลย ส่วนกล่องใส่อุปกรณ์ต่างๆและคู่มือจะอยู่ในกล่องสีดำอีกทีหนึ่ง

 

ซึ่งในตัวกล่องก็จะมีอุปกรณ์เพิ่มเติมต่างๆ อย่างสายรัดหัว สายคล้องข้อมือสำหรับรีโมตควบคุม สาย micro USB, อะแดปเตอร์ชาร์จไฟ, ถ่าน AA และผ้าเช็ดเลนส์

 

ช่องมองเลนส์จะพิเศษตรงที่ Eyeglass Spacer เราสามารถเลือกวัสดุได้ครับว่าจะใช้เป็นยางเพื่อให้พอดีกับใบหน้า หรืออยากจะให้นุ่มก็ใช้แบบที่เป็นผ้าแทน สามารถถอดเปลี่ยนได้ตามใจชอบ

โดยช่องมองเลนส์ของ Oculus Go นั้นจะมีขนาดใหญ่เหมือนกับ Daydream View ที่สามารถใส่แว่นสายตาระหว่างใช้งาน Oculus Go ได้เลย

การเปิดปิดหรือเพิ่ม/ลดเสียงจะกดที่ด้านบนของ Oculus Go ครับ

 

ส่วนด้านข้างซ้าย (อิงทิศทางจากตอนสวม Oculus Go) จะเป็นช่อง micro USB สำหรับชาร์จหรือต่อกับคอมเพื่อถ่ายโอนข้อมูล และช่องเสียบรูหูฟัง 3.5mm

 

สังเกตเห็นโลโก้ของ Xiaomi กันแล้วใช่มั้ย? เพราะว่า Xiaomi ผลิต Oculus Go ให้ Facebook นั่นเองงงง

 

ส่วนรูไมโครโฟนจะอยู่ข้างล่างครับ เพราะงั้นเสียงพูดจะเข้าไปที่ตัว Oculus Go ได้อย่างง่ายดาย

 

สำหรับรีโมตนั้น มีขนาดเล็กพอดีมือ มีปุ่มกดและมีส่วนที่ Touch ได้ ที่ผมชอบก็คือมีปุ่มกดตรงนิ้วชี้ด้วย เวลากดก็เหมือนกับการเหนี่ยวไก เวลากดเลือกอะไรในแอพก็จะกดผ่านปุ่มนี้ ไม่เหมือน Daydream View ที่ต้องกดด้วยนิ้วโป้ง

 

แต่แอบแปลกใจตรงที่ตัวรีโมตควบคุมใช้ถ่าน AA แทนที่จะเป็นแบตเตอรี่ในตัวแล้วชาร์จผ่านสาย USB เอานี่สิ แต่เค้าก็คอนเฟิร์มมาว่ารีโมตควบคุมนั้นใช้พลังงานน้อยมาก ดังนั้นแค่ถ่าน AA 1 ก้อนก็สามารถใช้งานได้นานมาก

 

สำหรับสายรัดหัวของ Oculus Go จะค่อนข้างแน่น มีสามเส้นด้วยกัน ดังนั้นไม่ต้องกลัวเลยว่ามันจะหลุดออกมาระหว่างเล่น

 

สเปคของ Oculus Go

  • OS : Android 7.1.2 Nougat 64-bit
  • CPU : Qualcomm Snapdragon 820 (APQ8096 Pro)
  • GPU : Qualcomm Adreno 530 (OpenGL ES 3.2, Vulkan Supported)
  • RAM : 3 GB
  • ROM : 32/64 GB
  • Screen
    • 5.5 Inch
    • 2,560 x 1,440 px
    • 538 PPI (Actual Density)
    • XXHDPI – 480 (Android Density)
    • Large (Android Screen Size)
    • No Touchscreen Supported (Absolutely!!)
  • Connectivity
    • Bluetooth 4.x (BLE Supported)
    • WiFi + Direct
    • micro USB
  • Sensor
    • Light Sensor
    • Proximity Sensor
    • Accelerometer
    • Gyroscope
  • Sound
    • Microphone Supported
    • 3.5 mm Audio Jack
  • Battery : 2,600 mAh

Android!? ใช่ครับ Oculus Go ทำงานอยู่บน Android 7.1.2 แต่ไม่มี Google Play หรือแอพอื่นๆให้ใช้งานนะครับ ในนี้จะมีแค่แอพของ Oculus เท่านั้นที่ใช้งานได้

 

เชื่อมต่อผ่านแอพ Oculus

ในการเริ่มต้นใช้งานจะต้องดาวน์โหลดแอพ Oculus บนมือถือมาติดตั้งก่อน ซึ่งมีทั้ง Android และ iOS โดยสามารถล็อกอิน Facebook ผ่านขั้นตอนนี้ได้เลย

 

ใช้งานเหมือน Oculus เดิม

ถ้าเคยใช้งาน Gear VR มาก่อน ก็บอกเลยว่าเหมือนกันครับ แต่น่าจะมีบางอย่างหรือบางฟีเจอร์เพิ่มเติมเข้ามาใน Oculus Go ซึ่งผู้เขียนยังไม่ได้ลองเล่นอะไรมากนักทั้ง Gear VR และ Oculus Go

สรุปพรีวิว

จากที่ลองเล่น Oculus Go อยู่ซักพัก ถือว่าโอเคมากๆ ไม่มีกระตุกหรือสะดุดใดๆ แถมเป็นแบบ Stand-alone ที่ทำงานได้ในตัวเอง ไม่ต้องถอดเสียบมือถือให้เสียเวลา อยากจะใช้ก็ยกขึ้นมาสวมได้ทันที รวมไปถึง Content ต่างๆที่มีอยู่บน Oculus เดิมอยู่แล้ว สามารถใช้งานได้ทันที

โดยตัว Oculus Go สามารถใช้งานได้นานถึง 2 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งรอบ แต่จะเสียบสายชาร์จทิ้งไว้แล้วเล่นไปด้วยก็ไม่มีปัญหา (ไม่รู้ว่าจะร้อนมากแค่ไหนถ้าเล่นในประเทศไทยที่อากาศร้อนกว่าที่อเมริกา) ด้วยราคาที่ไม่แพง ($199 สำหรับ 32GB และ $249 สำหรับ 64GB) จึงทำให้ Oculus Go น่าจะเป็น VR Headset ที่เข้าถึงบุคคลทั่วไปได้ง่ายกว่าอุปกรณ์ VR ตัวอื่นๆครับ

ของจบการพรีวิวเพียงเท่านี้ อยากรู้ว่า Oculus Go ทำอะไรได้บ้าง มีฟีเจอร์อะไรที่น่าสนใจ ไว้รอติดตามกันในรีวิวฉบับเต็มกันครับ