จบไปแล้วเรียบร้อยสำหรับงานเปิดตัวของ Samsung Galaxy S7 และ S7 edge สมาร์ทโฟนเรือธงฉบับ Flashback ที่ย้อนอดีตนำฟีเจอร์เก่าๆ ที่หายไปใน S6 รุ่นก่อนหน้า ทั้งช่องใส่ microSD Card แบตเตอรี่ที่อึดขึ้น รวมถึงรองรับความสามารถกันน้ำและกันฝุ่นมาตรฐาน IP68 นอกจากสเปคและฟีเจอร์คร่าวๆ ที่เขียนไว้ในบล๊อกเปิดตัว บัดนี้เราก็มีภาพตัวเป็นๆ ของสิ่งที่อยู่ในกล่องปริศนาในทีเซอร์มมาพรีวิวเรียกน้ำย่อยให้ชมกัน ~
พรีวิว Samsung Galaxy S7
เริ่มกันที่ Samsung Galaxy S7 (เครื่องด้านหลัง) นั้นยังคงใช้วัสดุโลหะกับกระจก และการออกแบบก็ยังคงคอนเซปต์เรียบหรูดูพรีเมี่ยมเช่นเคย แต่ส่วนตัวมองว่าดีไซน์ของเจ้า Galaxy S7 นั้นมีความอวกาศ และทันสมัยมากขึ้น ความแตกต่างจาก Galaxy S6 ที่เห็นได้ชัดก็คือขอบ Bezel ดูบางลง มุมและขอบด้านข้างโค้งมนกว่าเดิม ซึ่งด้านหน้าตัวเครื่องเป็นกระจกนูน 2.5D ส่วนด้านหลังเป็นกระจก 3D Glass โค้งรับกระชับฝ่ามือ
สำหรับความรู้สึกเวลา Galaxy S7 อยู่ในอุ้งมือจะรู้สึกว่ามันเนียน และมีความเป็น Unibody คือตอนจับๆ ลูบๆ มันจะไม่รู้สึกสะดุดขอบเหมือนตอน Galaxy S6 ถือสบายมือกว่า ส่วนเรื่องรอยนิ้วอันนี้ยังไม่ค่อยรู้สึกว่าลดลงกว่าเดิมเท่าไหร่ สรุปหน้าตาโดยรวมมมองเผินก็ยังคงเหมือนเดิมอย่างที่หลายคนรู้สึกนั่นแหละค่ะ มีปรับแค่รายละเอียดเล็กน้อย เช่น ปุ่ม Home และกล้องหน้าที่ดูใหญ่ขึ้น
ฝาหลังของเจ้า Galaxy S7 นั้นว่ากันตามตรงก็เหมือน Note 5 เลยค่ะ คือมีความโค้งมนรับกับฝ่ามือ แต่ ! สิ่งที่มีการปรับปรุงก็คือกล้องหลังที่เคยยกระดับนูน จับทีไรก็สะดุดนั้นมันถูกปรับให้ยุบลงไปแล้วค่ะ แต่ก็ไม่ได้แบนแต๊ดเนียนไปกับเครื่องอย่างที่หวังนะคะ มันก็ยังมีโผล่ขึ้นมาอยู่นิดหน่อยประมาณ 0.4 มม. รวมถึงมีการปรับตรงสีขอบๆ ก็ปรับให้เป็นสีโทนเดียวกัน
ด้านหน้ามีไฟ LED + Proximity Sensor + Light Sensor + ช่องลำโพง earpiece ซึ่งมีความกลมนูนและเป็นสีเดียวกับตัวเครื่อง + กล้องหน้าที่ขยายขนาดขึ้น
ด้านบนมีช่อง mic ตัดเสียง ส่วนที่อยู่ข้างๆ กันนั้นเป็นถาดใส่ซิมแบบ Hybrid และช่องใส่ microSD ที่รองรับได้สูงสุด 200 GB
ด้านท้ายยังคงมีปุ่ม Recent App + ปุ่ม Home และ ปุ่ม Back เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือสามารถเข้าไปเลือกเปิดปิด Haptic Feedback ได้ใน Setting -> Sound and Vibration
บั้นท้ายของเจ้า Galaxy S7 นั้นหน้าตาเหมือนกับ Galaxy A5/A7 2016 เด๊ะเลยค่ะ ทั้งช่องหูฟัง + ช่อง microUSB 2.0 + ช่อง microphone และ ช่องลำโพง ตามลำดับค่ะ
ด้านข้างตัวเครื่องด้านขวามือมีปุ่ม Power โดยการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือสีที่ไม่เป็นสีเงินคนละเฉดดูเด้งโดดเหมือนเดิม ทั้งปุ่ม และขอบ
ขอบอีกด้านมีปุ่มเพิ่ม – ลดเสียง
พรีวิว Samsung Galaxy S7 edge
มาต่อกันที่รุ่นขอบจอโค้งอย่าง Samsung Galaxy S7 edge (เครื่องด้านหลัง) ที่กลับมาพร้อมมาพร้อมความโค้งมนทั้งด้านหน้าและด้านหลังทำให้หน้าตาดูดี มีความละมุนมากขึ้น เพราะขอบจอมันดูกลืนหายไปกับด้านหลังเลย อีกทั้งยังช่วยให้จับสะดวกพอดีมือมากขึ้น และก็เป็นไปตามข่าวลือเลยว่าเจ้า Galaxy S7 edge นั้นจะขยายร่างใหญ่โตขึ้นจาก S6 edge ที่หน้าจอ 5.1 กลายเป็น 5.5 นิ้ว ซึ่งส่วนตัวรู้สึกว่าทั้งขนาดและดีไซน์ของ Galaxy S7 edge นั้นลงตัวมากกว่ารุ่นก่อนหน้าทั้ง S6 edge ที่ขอบทิ่มมือ และ S6 edge + ที่ขนาดใหญ่ไปจับถือไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่
เรื่องการออกแบบนั้นพูดไปบ้างแล้วในส่วนของ Galaxy S7 ด้านบน ดังนั้นจะขอข้ามบางส่วนที่คล้ายกันนะคะ ด้านบนลืมพูดถึงเรื่องสีที่หลายคนอาจจะไม่ได้สังเกตว่า มีการเปลี่ยนแปลงเฉดไปเล็กน้อยจากที่เห็นทั้งสีดำและสีทอง ส่วนตัวชอบสีดำแบบของ A5/A7 2016 มากกว่าเพราะมันมีความเหลื่อมน้ำเงินนิดๆ แต่สีดำของ Galaxy S7 และ S7 edge นั้นจะดูมีความรัตติกาล และดำสนิทเล่นกับแสงยังไงก็ยังเป็นเฉดเดิม ส่วนสีทองจะดูละมุนกว่าเดิมนิดหน่อย
ฝาหลังของ Galaxy S7 edge ประกอบไปด้วยกล้องที่ยุบลงไปและขอบล้อมรอบที่เป็นสีเดียวกัน ดูเผินๆ แอบคล้าย Note 5 สีทองนิดหน่อย ถ้ารีบๆ ก็อาจจะมีหยิบผิดได้เหมือนกัน ความรู้สึกตอนลูบจะไม่ค่อยลื่นเท่าไหร่ ลดความเสี่ยงในการไหลตกจากมือหรือเวลาวางบนวัสดุที่พื้นผิวไม่เรียบไปได้บ้าง แต่สีนี้จะเห็นรอยนิ้วมือค่อนข้างชัดเวลาเล่นกับแสง หากเทียบกับสีดำของ Galaxy S7 ด้านบน
ด้านหน้าตัวเครื่อง Galaxy S7 edge จะดูกลมมนกว่า Galaxy S7 เพราะมันโค้งทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
มาดูขอบจอด้านล่างของเจ้า Galaxy S7 edge จะยิ่งเห็นความโค้งมนของตัวเครื่องทำให้ดูนูนๆ มีมิติมากกว่า Galaxy S6 edge และ Galaxy S6 edge +
ด้านข้างของ Galaxy S7 edge จะเห็นจอโค้งอย่างชัดเจนเวลาเล่นกับแสง โดยขอบจอที่บางบวกกับการพื้นที่ของจอโค้งทำให้ปุ่มเพิ่ม – ลดเสียง และ ปุ่ม Power ค่อนข้างจะแนบชิดกับขอบ Bezel
ถาดใส่ซิมแบบ HyBrid Slot ซึ่งสามารถแชร์ช่องใส่ซิม 2 กับช่องใส่ microSD Card ซึ่งเป็นแบบ Hot Swap
Samsung Galaxy S7 และ S7 edge สีทอง
Samsung Galaxy S7 และ S7 edge สีดำ
ด้านซ้ายเป็นหน้าตา TouchWiz UI ของ Galaxy A 2016 ส่วนด้านขวาสองภาพนั้นเป็นหน้าตา TouchWiz ตัวล่าสุดซึ่งเป็นของ Samsung Galaxy S7 และ S7 edge
อีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปนอกจากหน้าตาภายนอกก็คือ TouchWiz UI ที่เปลี่ยนดีไซน์ใหม่เป็นแบบ Flat Design ดูแบนแต๊ด พร้อมตัดแสงเงาที่เคยพาดอยู่ทางด้านขวาออกไป และปรับลดรายละเอียดอีกเล็กน้อยให้ดูมินิมอลมากขึ้น? ซึ่่งจริงๆ ก็รู้สึกแค่ว่าเอาแสงเงาออกไป พร้อมปรับเปลี่ยนหน้าตาของบางแอปอีกนิดหน่อย
มาต่อที่ส่วนของ Quick Setting ก็มีการเพิ่มเอฟเฟคเวลา Transition ลากเข้า – ออก หรือ เพิ่ม – ลดความสว่างหน้าอีกนิดหน่อย ถ้ามีโอกาสลองจับเล่นก็ลองสังเกตดูนะคะ 😀
แผงควบคุมฟีเจอร์ต่างๆ ของ Galaxy S7 Edge
หน้าตาแถบฟีเจอร์ของ Galaxy S7 edge แถบ Weather และแถบ Quick Tools
ส่วนภาพด้านบนนี้เป็นหน้าตาแถบฟีเจอร์ของ Samsung Galaxy S7 edge ฉบับปรับปรุงที่เพิ่มทั้งฟีเจอร์และจำนวนแถวเป็น 2 แถว โดยสามารถเลือกแอป รายชื่อผู้ติดต่อเพิ่มขึ้นจาก S6 edge ที่ได้ 5 แอป เป็น 10 แอป สำหรับรายละเอียดก็ขออธิบายแบบย่อๆ ว่าแถบอะไรเป็นอะไรบ้าง
- App edge: แถบที่สามารถเลือกแอปพลิเคชั่นที่ใช้งานเป็นประจำ
- Task edge: แถบทางลัดการใช้งานในระดับย่อยจาก App edge เช่น หากอยากใช้งานกล้องหน้า Selfie เมื่อกดเข้าไปก็จะขึ้นเป็นกล้องสำหรับ Selfie ได้เลย
- People edge: แถบสำหรับเลืกรายชื่อคนพิเศษเหมือนใน S6 edge ซึ่งคราวนี้จัดเต็มสามารถเลือกมาใส่ได้ถึง 10 คน
- Quick Tools: เป็นแถบการใช้งานเครื่องมือต่างๆ เหมือนใน Note Edge เช่น ไม้บรรทัด, GPS
- Weather: แถบทางลัดเพื่อใช้ดูสภาพอากาศของเมืองต่างๆ
- Yahoo News: เป็นแถบอัพเดตข่าวสารของ 3rd Party อย่าง Yahoo
ทั้งนี้ขอจบการพรีวิวภาพลักษณ์ภายนอกของ Samsung Galaxy S7 และ S7 edge แบบคร่าวๆ แต่เพียงเท่านี้ ต่อไปเราจะเข้าสู่พาร์ทที่สองซึ่งเป็นส่วนของการพรีวิวฟีเจอร์เด่นของเรือธงตระกูล S
ว่าด้วยเรื่องกล้อง
วางเทียบให้เห็นชัดๆ ว่ายุบลงไปเยอะจริงๆ นะจ๊ะ อิอิ ~
ในส่วนนี้จะขอเล่าแค่ฟีเจอร์ใหม่แบบคร่าวๆ พร้อมภาพตัวอย่างอีกเล็กน้อยพอเป็นน้ำจิ้ม แต่ส่วนของฟีเจอร์ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ เดี๋ยวจะขอยกไปเล่าในอีกบล๊อกละกันเนอะ เอาล่ะค่ะ เรามาเริ่มทวนสเปคกล้องของ Samsung Galaxy S7 และ S7 edge ซึ่งยังคงใช้เซนเซอร์ขนาดเท่าเดิม แต่มีการปรับลดความละเอียดจาก 16 ล้านพิกเซลลงมาเป็น 12 ล้านพิกเซล โดยไปเพิ่มขนาดของเม็ดพิกเซลให้ใหญ่ขึ้น และใช้เทคโนโลยี Dual Pixel เหมือนกับกล้อง DSLR อย่าง Canon 70D ซึ่ง 1 เม็ดพิกเซลนั้นจะสามารถรับแสงได้ 2 ช่องทางเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการโฟกัสภาพได้ไวขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มความกว้างของรูรับแสงจากเดิม f/1.9 เป็น f/1.7 ซึ่งช่วยเรื่องการถ่ายภาพในที่แสงน้อย
ไปดูกันว่า Dual Pixel มันช่วยเรื่องโฟกัสยังไง ในคลิปจะเป็นของทาง Canon EOS 70D ซึ่งทางซัมซุงบอกว่าใช้เทคโนโลยีเดียวกันเลย
ฟีเจอร์กล้องหลังในโหมดโปรที่เพิ่มขึ้นมาอย่างแรกก็คือ Multi Autofocus แผงสีเขียวๆ แบบในกล้อง DSLR ช่วยให้โฟกัสภาพได้ง่ายขึ้น
ฟีเจอร์ Manual Focus มีการเพิ่มความสามารถในการจับโฟกัสวัตถุ โดยระหว่างปรับระยะ ตัวแอพจะทำการซูม 10x เข้าไปเพื่อให้เห็นว่าวัตถุที่กำลังโฟกัสนั้นคมชัดตามที่ต้องการหรือยัง และการปรับ Aperture, ISO ก็ทำได้ละเอียดขึ้น ไม่ใช่เป็น step กว้างๆเหมือนก่อนหน้าแล้ว
ส่วนนี่เป็นภาพของการใช้งานในโหมด Food ซึ่งตัวแอปจะทำการตรวจจับส่วนที่ควรจะโฟกัส หรือเราจะเลือกแตะเองก็ได้ ส่วนบริเวณรอบๆ กรอบโฟกัสก็จะเบลอๆ ฟุ้งๆ ส่วนภาพจะเป็นอย่างไรนั้นสามารถดูได้ด้านล่างเลยค่ะ
ภาพจากโหมด Food
ภาพ Crop 100% จาก Samsung Galaxy S7 edge แม้ว่าเซนเซอร์ความละเอียดจะลดลง แต่ถือว่ายังเก็บรายละเอียดเส้นขนตุ๊กตาค่อนข้างใช้ได้เลย
ภาพถ่ายในที่แสงน้อย
ภาพซ้ายเปิด HDR และภาพขวาถ่ายย้อนแสงปกติ
ภาพถ่ายกลางคืนเปรียบเทียบกับ iPhone(ด้านซ้าย) VS Galaxy S7 (ด้านขวา) แบบในโฆษณา จะเห็นได้ว่าหน้าคนจากกล้อง Galaxy S7 จะไม่ได้สว่างเว่อร์ขึ้นมาเหมือนภาพเปรียบเทียบ แต่ว่ารายละเอียดของแสงด้านหลังจะเก็บรายละเอียดมาได้ค่อนข้างดีมาก ส่วนรายละเอียดลึกและการเปรียบเทียบนั้นรออ่านได้ในบล๊อกเปรียบเทียบกล้องได้เร็วๆ นี้ค่ะ
แถมภาพจากฟีเจอร์ Animate ที่นำภาพต่างๆ มาเรียงต่อกันเป็นไฟล์ .Gif โดยสามารถเลือกปรับความเร็วในการเคลื่อนไหวได้ 3 ระดับ แต่ภาพด้านบนเลือกให้มันเร็วไปนิดนึง ._.^
ตัวอย่างภาพจาก Samsung Galaxy S7 และ S7 edge ~
กดเข้าไปดูรูปแบบเต็มๆจุใจได้ที่ http://imgur.com/a/Pl97J
กล้องหน้า
ขอปิดท้ายด้วยการพูดถึงฟีเจอร์กล้องหน้าอีกสักนิด โดยสเปคความละเอียดต่างๆ ของ Samsung Galaxy S7 และ S7 edge นั้นยังคงมาพร้อมกับความละเอียด 5 ล้านพิกเซลแต่ที่เพิ่มเติมคือฟีเจอร์ใหม่แกะกล่องอย่าง Selfie Flash คือการใช้แสงสว่างหน้าจอวาบขึ้นมาเป็นสี ivory หรือสีงาช้างที่ออกขาวแบบนวลๆ ซึ่งเป็นสีเดียวกับแป้งพัฟที่สาวๆ นิยมใช้กัน และ ฟีเจอร์ Spotlight แบบในภาพ ซึ่งก็คือฟีเจอร์ที่เป็นสามารถเลือกแหล่งกำเนิดแสงได้ อีกทั้งยังสามารถปรับลดความสว่างได้อีก 8 ระดับ อันนี้ยังไม่มีตัวอย่างภาพที่เห็นได้ชัดเจน ยังไงรายละเอียดก็ขอแปะไปตอนรีวิวละกันนะคะ 😀
ตัวอย่างภาพ Selfie Flash
ตัวอย่างภาพกล้องหน้าจาก Samsung Galaxy S7 และ S7 edge ~
ขอจบการพรีวิวแบบคร่าวๆ ไว้แต่เพียงเท่านี้ สำหรับประสบการณ์ลองจับและลองถ่ายภาพกับ Samsung Galaxy S7 และ S7 edge โดยส่วนตัวแล้วถือว่าประทับใจอะไรหลายๆ อย่าง แม้ว่าหน้าตาและฟีเจอร์โดยรวมจะไม่ได้มีความแปลกใหม่ ฉีกจากเดิมมากมาย แต่เป็นการนำของเก่าที่หายไปกลับมาผสมรวมกับของใหม่ที่ค่อนข้างกลมกล่อมเลยทีเดียว ซึ่งจริงๆ ตอนนี้ก็คงยังตัดสินอะไรไม่ได้มากค่ะ คงต้องได้ลองใช้ชีวิตร่วมกันสักระยะให้เห็นถึงข้อดีข้อเสียกันก่อน ยังไงก็รอติดตามรวมฟีเจอร์, เปรียบเทียบกล้อง และการรีวิวประสบกาณ์การใช้งานต่างๆ หากมีคำถามหรือความคิดเห็นเพิ่มเติมยังไง สามารถคอมเมนท์ไว้ได้เลยค่ะ 😀
iphone (ด้านขวาของจอ,ด้านซ้ายของเรา) สีจืดๆ
s7 (ด้านซ้ายของจอ,ด้านขวาของเรา) สีอมเหลือง
เขียนสลับไปนิด แก้ไขละครับ
ภาพซ้าย iPhone
ภาพขวา S7 ครับ
คนอื่นว่าไงมะรุ แต่ผมว่าภาพถ่ายมันใช้ได้เลยนะนี่
กล้องหน้าสุดๆจริงๆ ชอบงะ
คุ้นๆ เอาแสงจอมาทำแฟลชกล้องหน้า ทำกันจัง
กะแค่ใส่ led flash ไว้หน้าสักเม็ด2เม็ดมันลำบากเหอะทั้งสองค่ายเลยเห่อๆๆๆ
LED Flash มันหน้าไม่นวลครับ
ถ้าเล่นกล้องมาจะรู้ว่าความนวลของแสง มาจากขนาดของแหล่งกำเนิด เค้าถึงเบาว์แฟลชกันให้แสงมันเด้งกับเพดานงี้ กำแพงงี้ให้แหล่งกำเนิดที่สะท้อนเข้าแบบมันใหญ่ๆ เข้าไปแสงจะนวล ไม่แข็งเหมือนยิงจากหัวแฟลชตรงๆ
ที่นี่กล้องหน้า เอาเม็ดแฟลชไปติด มันก็จะทำให้ภาพแข็งครับ ถึงจะลดกำลังลงมาก็ตาม การเอาหน้าจอมาใช้ถือว่าตอบโจยท์และคุ้มค่ากว่าเป็นไหน ๆ ครับ
+10
ได้สาระครับ ได้แนวคิดเลย อยากให้สมาร์ทโฟน ทุกๆยี่ห้อทำมั้งแต่จิงก็ทำได้น่ะ แค่ลงแอพ Beauty Plus มีการใช้ Software ดึงแสงจากใช้ด้วยคล้ายๆกับ Retina Flash / Selfie Flash
flash โดยตรงภาพจะแข็งมากแล้วยิงให้ไปถึงคนข้างหลังโคตรลำบาก ถึงมีก็ไม่มีใครใช้จะใส่มาทำไมละท่าน ดูภาพจากกล้องหลังเปิด flash เป็นตัวอย่างก็ได้แล้วก็อย่างที่ท่านข้างบนว่าแฟลตมันต้องเบาว์ถึงจะสวยถ้าไม่ได้ใช้ตอนถายภาพกลางวันเปิดหน้า ถึงอย่างนั้นช่างภาพก็เลือกที่จะใช้ reflect แทนอยู่ดีเพราะมันได้แสงที่ซอฟและเป็นธรรมชาติมากกว่า
ถามแบบคนไม่รู้เรื่องเลยนะครับ อยากเก็บไว้เป็นความรู้
– Flash ตรงๆ หรือยิงมาจากจอ มันก็พุ่งตรงมาที่ตัวแบบเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ เวลาถ่ายเราไม่ได้ bounce โดยการหงายจอ (แหงล่ะ หงายแล้วจะถ่ายได้ไง) ซะหน่อย ทำไมมันถึงต่างกันครับ ระหว่าง led หรือการเร่งแสงจอ
– ยิงไปคนข้างหลังลำบาก อันนี้อยากรู้ว่าแสงจากจอ มันสว่างกว่า led เหรอครับ ถามจากประสบการณ์ บางอยู่ที่มือๆ เปิดไฟฉายจาก led ข้างหลัง สว่างกว่ากด power ใช้ไฟจากจออีกอ่ะครับ จอ (4.7")
จแ amoled ก็เป็น led อย่างดีแล้วครับ และเจ๋งกว่าตรงสามารถปรับอุณภูมิสีได้ตามใจปรารถนา…
คงความดีงามเหล่านี้เอาไว้และพัฒนาต่อนะ
Note6 พร้อมRAM6GB.และUSB-C
แล้วเจอกันSamsung
ขอร้องละ usb c ไว้ก่อนเถอะนะไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเปลียนเลยทำให้ลำบากที่จะหาอุปกรณ์มาซัพพอร์ดมันปล่าวๆ
ถ้าไม่ใส่มาสักทีก็ต้องหาอุปกรณ์ซัพพอร์ตยากเป็นธรรมดา แต่ถ้าทุกเจ้าเปลี่ยนมันก็จะมีของซัพพอร์ตออกมาเพียบ ของก็อปอีกไม่รู้เท่าไหร่ สักพักก็ราคาถูกลงอีก อยากใช้ความเร็วของ USB C แล้วครับ
เซ็นเซอร์เพิ่มขนาดนะครับ จาก 1/2.6 เป็น 1/2.5
อยากเห็นวัดกับ Nexus 6P เจ้านั้นเซ็นเซอร์ใหญ่กว่าหน่อย
เรื่องกล้องนี่อันดับ1เลย
เคยอยากลองซัมซุงอยู่หลายครั้ง เพราะมันดูคบง่ายศูนย์เยอะดีไม่ต้องเสี่ยงแบบเครื่องหิ้ว แต่พอลองจับเครื่องโชว์ทีไรความรู้สึกนั้นก็สะดุดหยุดลง เพราะเห็นจอ burn บ้าง ไฟลอดออกมาจากขอบจอบ้าง แต่ยอมรับว่าจอซัมซุงสีสวยที่สุดแล้ว
ถ้าไปเล่นตัวโชว์ เขาเปิดโหมดวิ่งหน้าจอตลอดตั้งแต่ออกจากกล่องโดยไม่มีการวอร์มจอ แล้วเปิดทั้งวันแถมแสงเร่งสุด มันก็ต้องเบิร์นเป็นธรรมดา ทว่าการใช้งานจริงๆนี่มีพักจอ จะพบเห็นการเบิร์นได้น้อยมากละก็เจอแต่รุ่นเก่าๆหล่ะ
อดใจไว้ Note6 มันต้อง WoW กว่านี้
ถ้างั้น Galaxy S10 จะยิ่งดีกว่า
อิๆ แซวเล่น
อื้อหือ ภาพถ่ายแจ่มดีแท้ เห็นแว๊ปๆ โหมดโปรปรับ ชัตเตอร์สปีดได้แล้วใช่ป่าวเอย ^^
ได้แล้วครับ จริงๆตัว S6 ถ้าได้อัพ Marshmallow ก็น่าจะได้เหมือนกันนะ
น่าเล่นขึ้นเยอะ ขอบคุณครับ 😉
สงสัยเรื่อง 2 sim ครับไม่มีใครพูดถึงเลยว่า เป็น LTE ทั้ง 2 เลยไหม dual stand by หรือเปล่า
ใช้ S6 Edge อยู่มีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ทำให้รู้สึกว๊าว
อยากได้ S7 2sim 64GB ขอจอโค้งไม่เอาแล้ว ไม่เคยใช้ประโยชน์อะไรเลย เป็นภาระมากๆ ฟิล์มยังหาตดไม่ได้เลย
เทพขึ้นเรื่อยๆ เก็บเงินก่อนนะ