ยังคงมีแคมเปญโชว์ความถึกของ Redmi Note 7 ออกมาได้เรื่อยๆ โดยล่าสุดการทรมานเครื่องด้วยวิธีเดิมๆอาจจะดูไม่เร้าใจอีกต่อไป งานนี้ทาง Xiaomi เลยจัดหนักจับส่งออกไปนอกโลกแล้วปล่อยให้ตกลงมาซะเลย และแน่นอนว่าเมื่อตกถึงพื้นสภาพของมือถือนั้นยังเปิดติดใช้งานได้ปกติ แม้จะผ่านสภาพอุณหภูมิและแรงกดดันอันหฤโหดมาก็ตาม
หลายคนน่าจะได้เคยเห็นข่าวที่ CEO ของ Xiaomi ได้ทำการทดสอบความแกร่งของ Redmi Note 7 ว่ารุ่นนี้มันแข็งแรงมากๆ ด้วยกระจกหน้าจอ Gorilla Glass 5 ไม่ว่าจะกระโดดเหยียบ กลิ้งลงจากบันได ใช้เป็นเขียงหั่นผลไม้ ใช้ทุบแตงโม และทุ่มด้วยทุเรียน! มือถือก็ยังคงใช้ได้ปกติไม่เป็นไรเลย แต่ภารกิจส่ง Redmi Note 7 ออกไปนอกโลกนี้เรียกว่าเป็นคนละเรื่องกันเลย เพราะการทดสอบนี้ไม่ใช่เพียงแค่ต้องการให้เห็นถึงความทนต่อรอยขีดข่วนของหน้าจอและตัวเครื่อง Redmi Note 7 เท่านั้น แต่ยังทำให้เห็นถึงความทนทานต่อสภาพแวดล้อมอันหฤโหดต่างๆ ระหว่างการขึ้นไปท่องอวกาศ ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันที่มากมาย และอุณหภูมิอันหนาวเหน็บนั่นเอง
สำหรับคลิปที่มาที่ไปก่อนจะมาเป็นคลิปข้างต้น ทาง Lu Weibing, CEO ของ Redmi ได้ทำการโพสต์เพิ่มเติมลงบนช่องทาง Weibo ของเขา เผยให้เห็นขั้นตอนที่ Redmi Note 7 ถูกส่งขึ้นไปบนอวกาศโดยทำการยึดติดกับบอลลูน ลอยขึ้นไปตามชั้นบรรยากาศของโลก ถึงระดับความสูงที่ 35,375 เมตร ในความดันบรรยากาศ 1 KPa บอลลูนจึงแตกและดิ่ง Redmi Note 7 กลับมาบนพื้นโลกอีกครั้ง ซึ่งแม้ว่าตัวเครื่อง Redmi Note 7 จะดับลงไประหว่างภารกิจ แต่เมื่อตกลงมาก็สามารถเปิดใช้งานได้อีกครั้ง ส่วนภาพที่เก็บมาได้แม้ว่าจะไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่าภาพถ่ายนอกโลกอะไร แต่แค่บทพิสูจน์ว่าตัวเครื่องราคาไม่กี่พันสามารถทนอุณหภูมิ -58 องศาเซลเซียสที่ระดับความสูงกว่า 31,000 เมตร ได้ ก็ถือว่าเทพโคตรๆแล้วล่ะ
สำหรับภาพที่ได้จาก Redmi Note7 นี้ได้ถูกเผยแพร่ลง Twitter ทางการของ Xiaomi ด้วย
อย่างไรก็ดีแม้ว่านี่จะไม่ใช่การส่งสมาร์ทโฟนขึ้นไปถ่ายภาพจากนอกโลกเป็นครั้งแรก แต่ที่ผ่านมาเป็นการส่งเฉพาะรุ่นเรือธงราคาแพงๆเท่านั้น เรายังไม่เคยเห็นการทดสอบกับสมาร์ทโฟนราคาไม่กี่พันแบบ Redmi Note 7 มาก่อน ก็ต้องบอกว่าอึดถึกทน สมฉายา “คิงคองน้อย” ที่ได้ถูกตั้งไว้เลย
**ข้อมูลเพิ่มเติมที่เป็น Fast Fact ของภารกิจนี้ ซึ่งทาง Xiaomi Thailand ได้ส่งมาให้
- Redmi Note 7 จำนวน 5 เครื่อง ที่ถูกส่งขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศเป็นเครื่องที่วางจำหน่ายทั่วไป ไม่ได้มีการปรับแต่งหรือเสริมความทนทานใดๆ โดย 3 ใน 5 เครื่อง ที่ถูกส่งไปได้ถูกนำมามอบให้กับ Mi Fans ชาวอังกฤษอีกด้วย
- บอลลูนตรวจอากาศที่ใช้ในการทดสอบจำนวน 1 ลูกในครั้งนี้ บรรจุแก๊สฮีเลียม ปริมาณเยอะถึง 8,500 ลิตร เพื่อขึ้นไปแตะชั้นบรรยากาศโลก
- เครื่องโทรศัพท์ที่ใช้สำหรับถ่ายภาพถูกบรรจุไว้ในกล่องโฟม XPS ที่มีความหนาแน่นสูง ออกแบบขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับภารกิจครั้งนี้
- มีการใช้งานแอปพลิเคชัน intervalometer สำหรับตั้งเวลาถ่ายภาพ ควบคุมจากระยะไกลในการบันทึกภาพทุก 10 วินาที
- ภารกิจครั้งนี้ใช้เวลาทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง 3 นาที โดยใช้เวลาในการลอยขึ้นไปผ่านชั้นบรรยากาศทั้งสิ้น 1 ชั่วโมง 27 นาที และใช้เวลาหล่นลงสู่พื้นดินทั้งสิ้น 36 นาที
- ระยะทางตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดภารกิจ 193 กิโลเมตร
- ภาพถ่ายโลกถูกถ่ายที่ชั้นความสูงประมาณ 35,100 เมตร ซึ่งมีสภาพอากาศ -55 องศาเซลเซียส
- บอลลูนสำรวจอากาศสามารถขึ้นไปในชั้นบรรยากาศสูงถึง 35,375 เมตร ก่อนที่บอลลูนจะแตกและดิ่งลงพื้นด้วยอุปกรณ์ร่มชูชีพที่ติดไปกับบอลลูน โดยจุดที่มีอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ -58 องศาเซลเซียส
- ไม่มีการชาร์จแบตเตอรี่เครื่องโทรศัพท์ตลอดระยะเวลาในการทำภารกิจ โดยหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจมีแบตเตอรี่เหลืออยู่ถึง 60% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอึดของแบตแม้จะถูกถ่ายรูปทุกๆ 10 วินาที ก็ตาม
นึกว่าปล่อยให้ตกแบบอิสระ ไม่มีร่มกางมาด้วย ถ้าไม่มีร่มคงเละแน่
คนใช้คงไม่ได้สนจุดนี้หรอก เพราะไม่มีใครเอาไปใช้ในอวกาศอยู่แล้ว ที่สนคือโดนงอแล้วหักเละมากกว่า
เห็นบ่อยมากในyoutubeเอาไปลอยบนชั้นบรรยากาศแล้วปล่อยลงมามีหลายรุ่นหลายแบรนด์มีหลายสิ่งหลายอย่างยันของกินแต่xiaomiเอามาโปรโมตสินค้ามันไม่โปรเลยอ่ะ😂😂😂
ใช้อยู่ยอมรับเลยว่าถึกจริงตกพื้นตั้งหลายครั้งยังใช้ได้ไม่รวนสบายแฮ 😂😂
คำถามที่สงสัยมานานแล้วกับการทดสอบแบบนี้
มันเป็นไปได้หรอที่ ปล่อยบอลลูนขึ้นไปสูงสามหมื่นเมตร แล้วให้ปล่อยของลงมา โดยที่.. มันตกลงมา ณ จุดเดิมที่ปล่อย ไปลอยไปปลิ้วไปไหนซะก่อน
มันจะโชคดีไม่มีลมใด ๆ มาพัดมันให้ลอยไปไหนหรอ เวลาขาขึ้นชั่วโมงกว่า…ลอยตรงดิ่งตลอด
หรือเขามีอุปกรณ์และกระบวนการอะไรที่ควบคุมทิศทางของมันได้
คงหากันเจอมั้งครับ
ยังไงมือถือก็มีระบบติดตามตัวอยู่แล้ว ทดสอบในพื้นที่โล่งๆ ไม่น่าหาตัวยาก ตอนหล่นคงไม่เกินรัศมี 2-5กม.
"บอลลูนสำรวจอากาศสามารถขึ้นไปในชั้นบรรยากาศสูงถึง 35,375 เมตร ก่อนที่บอลลูนจะแตกและดิ่งลงพื้น"
ตีคร่าวๆระยะทางในแนวดิ่งไปกับประมาณ 71กม.
"ระยะทางตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดภารกิจ 193 กิโลเมตร"
มันเกินมาตั้งร้อยกว่าโลครับ อย่างที่คห.ข้างบนบอก มือถือถ้ารับสัญญาณเราก็หาเครื่องได้ครับ
ตกลมไม่แตกหักก็งึดแล้วครับ
ตอนลงใช้ชูชีพช่วยให้ไม่กระแทก?
เอาจริงๆ สนใจตัวแอพมากกว่า
ถ่ายรูปแบบเทเลพอร์ท
แลดูจะสน spec กับการใช้งานมากกว่ามั้งครับ 🙂 🙂