Mobius Final Fantasy เป็นหนึ่งในผลงานจากทีมผู้สร้างในสังกัด Square Enix ที่หลายๆคนในโปรเจคนี้เคยมีผลงานต่างๆอยู่ในซีรีย์ Final Fantasy ที่มารวมตัวกันในโปรเจค Mobius Final Fantasy ที่เพิ่งจะได้ Most Beautiful Game 2016 จาก Google Play Store ไปไม่นานนี้นี่เอง

      “ตัวเกมเราจะได้เล่นเป็นชายหนุ่มผู้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำที่หายไป ในท่ามกลางความชั่วร้ายที่กำลังเข้าครอบงำโลกนี้ ซึ่งคำทำนายได้กล่าวไว้ว่า Warrior of Light จะปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับความชั่วร้ายให้หมดไป ว่าแต่ใครคือ Warrior of Light กันแน่ล่ะ??”

 

      ซึ่งตัวเกมก็ยังคงความเป็นเกม RPG Turn-based อยู่ครับ แต่มีการปรับปรุงรูปแบบการเล่นให้เหมาะสมกับการเล่นบนสมาร์ทโฟนในปัจจุบันมากขึ้น ควบคุมได้ง่ายขึ้น ระบบเป็นรูปแบบใหม่ แต่ยังคงมีเนื้อเรื่องและ Cutscene ให้ติดตาม รวมไปถึงกราฟฟิคขั้นเทพที่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้สัมผัสกราฟฟิคระดับนี้บนสมาร์ทโฟนด้วยซ้ำ

      ตัวเกมนั้น Release ออกตั้งแต่ปี 2015 แล้วล่ะ แต่ตอนนั้นเป็นเวอร์ชันภาษาญี่ปุ่น ซึ่งผมก็ดั้นด้นไปเล่นอยู่พักใหญ่ๆแล้วเจอปัญหาบางอย่างจนต้องเลิกเล่นไป จนมาถึงช่วงสิงหาคมปี 2016 ตัวเกมก็ได้ปล่อยเป็นเวอร์ชันอินเตอร์มา จะให้พลาดได้ยังไงล่ะ!!

Play video

 

กราฟฟิคและเสียง

      คือต้องบอกเลยว่ากราฟฟิคจากเกมนี้ไม่ทำให้ผิดหวังครับ สัมผัสได้ถึงความอลังการตั้งแต่เห็น Trailer แล้วล่ะ ตอนนั้นก็แอบไม่เชื่อหรอก แต่พอได้มาลองเล่นจริงๆก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าเกมบนสมาร์ทโฟนทำได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ อาจจะไม่ถึงกับไปเทียบบน Console หรือ PC แต่ก็ต้องบอกว่ากราฟฟิคมันสวยและสมจริงมากในบรรดาเกมบนสมาร์ทโฟน ถึงแม้ว่าจะต้องแลกด้วยสเปคเครื่องที่สูงพอสมควรถึงจะเล่นเกมนี้ได้ไหลลื่น (เครื่องที่ผมใช้เล่นยังกระตุกเป็นบางครั้งบางคราเลย)

      ซึ่งตัวเกมก็ให้ผู้เล่นปรับ Resolution และ Framerate ภายในเกมได้นะ (ถ้าใช้ Game Tuner บนเครื่อง Samsung ด้วยก็สบายๆเลย)

      และดูเหมือนว่าตัวเกมได้เอากราฟฟิคที่ใช้ใน FFXIII มาใช้ในนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งสังเกตได้จากรูปร่างของมอนสเตอร์หลายๆตัวที่มี Texture และท่าทางการเคลื่อนไหวเหมือนกับใน FFXIII

      แม้กระทั่งอาวุธยังใช่เลย…

      ส่วนเรื่องเสียงบอกเลยว่าทำออกมาดีมาก โดยเฉพาะตอนต่อสู้ที่รู้สึกถึงความกระหึ่มของเสียงเวลาโจมตีหรือใช้เวทมนตร์ รวมไปถึงเพลงประกอบฉากต่างๆที่มีทั้งของเก่าเอามาทำใหม่ให้รู้สึกนึกถึงวัยเด็กๆ (ฮา) เวลาเล่นเกมนี้แนะนำว่าให้ใส่หูฟังเพื่ออรรถรสทางเสียงครับ

 

รูปแบบการควบคุม

      เมื่อตัวเกมนั้นอยู่บนสมาร์ทโฟน รูปแบบการเล่นนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับการเล่นบนสมาร์ทโฟน ไม่มีการกดปุ่มลูกศรให้ตัวละครเดินไปมาเพื่อไปคุยกับชาวบ้านหรือเดินหามอนสเตอร์ และก็ไม่ต้องมานั่งกดเลือกเมนูโจมตี หรือเลือกใช้เวทย์ที่มีอยู่มากมายในช่องสกิล 

      การควบคุมในเกมนั้นสามารถทำได้ด้วยเพียงมือเดียวเกือบทั้งสิ้น เว้นแต่ว่าเครื่องจอใหญ่หรือเล่นบนแทบเล็ต จะถนัดมือซ้ายหรือมือขวาก็ได้ เพราะมีให้ตั้งค่าใน Settings

      การเดินบนแผนที่จะใช้วิธีกดเลือกตำแหน่งที่ต้องการเดิน ซูมเข้า/ออกและเลือนไปมาได้เหมือนใช้ Google Maps เลย การต่อสู้ก็สามารถกดบนหน้าจอเพื่อโจมตีได้เลย ส่วนสกิลและอื่นๆจะมีปุ่มให้กดอยู่ริมจอ

 

      ปุ่มเมนูต่างๆก็จะอยู่ริมหน้าจอ รวมไปถึงปุ่ม Back และปุ่มอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย

 

รูปแบบการดำเนินเนื้อเรื่อง

     เนื้อเรื่องหลักๆจะเป็นฉากพูดคุยเหมือนเกม RPG ทั่วๆไป แต่ทุกฉากมีตัวละครมีท่าทางขยับไปมา พูดคุยกันให้ดูเป็นแต่ละฉากเลย ซึ่งเนื้อเรื่องหลายๆส่วนจะดำเนินแบบ Cutscene มีเสียงตัวละครพูดและเอฟเฟคอื่นๆครบ

 

      และก็จะมีบางช่วงที่เป็นฉากพูดคุยระหว่างอยู่ในหน้าแผนที่ (เพราะฝั่งบนของจอจะแสดงเหตุการณ์ได้)

 

      ส่วนเนื้อเรื่องก็จะมีทั้ง Main Story และ Side Story ควบคู่กันไป และตลอดเวลาก็จะมี Special Event เข้ามาให้ได้เล่นตลอด เรียกได้ว่าไม่มีช่วงไหนที่ไม่มี Special Event เลย (ต้องเข้ามาเล่นบ่อยๆเพื่อไม่ให้พลาดโอกาส)

      สำหรับ Special Event หรือ Update ต่างๆก็จะแสดงให้เห็นทุกครั้งที่เข้าเกม มีกระทั่งปฏิทินในเดือนนั้นๆว่าจะมี Update หรือ Special Event อะไรเข้ามาในช่วงเวลาไหนบ้าง

 

      แน่นอนว่า Mobius ก็มีทั้ง Dungeon Map และ World Map แยกกัน แต่จะแตกต่างกันเล็กน้อยตรงที่ไม่มีการเดินเข้าเมืองหรือเดินเข้าดันเจี้ยนให้วุ่นวาย เพราะภายในเกมจะให้เลือกสถานที่จาก World Map ก่อน ว่าจะเป็น Main Story, Side Story หรือ Special Event แล้วถึงจะเข้าไปในแผนที่ของฉาก/เนื้อเรื่องนั้นๆเลย

      World Map ทำเป็นลูกโลกที่หมุนไปมาได้แล้วมีตำแหน่งเหตุการณ์ต่างๆให้กดเลือกได้เลย และถ้าขี้เกียจหมุนลูกโลกไปมาก็สามารถกดดูแบบตารางได้ และบางจุดก็จะมีช่วงเวลาจำกัด (ก็พวก Special Event น่ะแหละ) บางจุดก็มีโบนัสพิเศษในวันที่กำหนด

      ผมชอบตรงที่ตัวเกมให้ผู้เล่นกลับไปเล่นฉากต่างๆที่เคยเคลียร์ไปแล้ว (แต่ฉากที่เป็น Special Event จะหายไปตามช่วงเวลา) ทำให้สามารถเข้าไปเก็บเลเวลเล่นๆได้ แต่ก็ใช่ว่าเลเวลจะเฟ้อนะ เพราะตัวเกมมี Level Limit บางส่วนไว้อยู่ ซึ่งจะปลดล็อคก็ต่อเมื่อเคลียร์ Main Story ได้ (ซึ่งทยอยปล่อยทีละ Part มาเรื่อยๆ ไม่ได้ออกมาตูมเดียว) และฉากไหนที่เคลียร์เนื้อเรื่องได้สำเร็จก็จะได้ไอเท็มเป็นรางวัลโบนัสด้วย

 

ระบบธาตุ

      ในเกมจะมีธาตุอยู่ 6 ธาตุด้วยกันคือ ไฟ, น้ำ, ดิน, ลม, แสง และความมืด ซึ่งแต่ละธาตุแพ้ชนะกันด้วยรูปแบบเดียวกับเกม Chaos Rings เลย คือ

    • ไฟชนะน้ำ และ น้ำชนะไฟ
    • ดินชนะลม และ ลมชนะดิน
    • แสงชนะความมืด และ ความมืดชนะแสง

      ระบบธาตุแบบนี้ช่วยให้จำได้ไม่ยาก ถ้าเจอมอนสเตอร์ธาตุไฟก็ให้ใช้สกิลธาตุน้ำ และถ้าเจอมอนสเตอร์ธาตุน้ำก็ให้ใช้สกิลธาตุไฟ 

      สำหรับระบบธาตุตอนต่อสู้ของเกมในตอนนี้ยังใช้แค่ไฟ, น้ำ, ดิน และลมอยู่ แต่จะมีธาตุแสงและความมืดเพิ่มเข้ามาทีหลัง ซึ่งโคตรวุ่นวายเลย เพราะเคยไปลองสัมผัสมาแล้วตอนที่เล่นเวอร์ชันญี่ปุ่น

 

ระบบอาชีพ

      ในเกมจะมีการใช้คำว่า “Ability Card” ซึ่งผมขอใช้คำว่า “การ์ดสกิล” เพื่อให้สั้นกระชับนะครับ 

      เรียกว่าเป็นระบบที่ขาดไปไม่ได้เลยสำหรับเกม RPG มันคือความสนุกอย่างหนึ่งของการเล่นเกมเลยก็ว่าได้ ที่จะได้เลือกอาชีพหรือสลับสับเปลี่ยนไปมาตามที่อยากจะเล่น ซึ่งเกมนี้ได้แบ่งอาชีพออกเป็น 3 สายดังนี้

    • Warrior
    • Mage
    • Ranger

      และแต่ละสายก็จะมีอาชีพต่างๆแยกย่อยออกไปอีก และจะมีเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆในอนาคต 

      โดยผู้เล่นสามารถสลับไปมาระหว่างแต่ละอาชีพได้ตามใจชอบเลย เพราะเกมนี้ไม่ได้ทำมาให้เล่นอาชีพเดียวตลอดเวลาอยู่แล้ว และหลายๆอาชีพก็ต้องปลดล็อคเอาเอง (จะเดินทางสายฟรีหรือสายเปย์ก็แล้วแต่) ซึ่งแต่ละอาชีพก็จะมีความสามารถ ค่าสถานะ ธาตุ และท่าไม้ตาย (Ultimate) แตกต่างกันออกไป 

      แต่ละอาชีพจะมีธาตุประจำตัวแค่ 3 ธาตุเท่านั้น (เดี๋ยวอธิบายในระบบต่อสู้) และเลือกใช้การ์ดสกิลได้ 4 แบบเท่านั้น (เดี๋ยวอธิบายในระบบการ์ด)

      จากภาพข้างบนจะเห็นว่า Hunter กับ Assassin เป็นอาชีพสาย Ranger เหมือนกัน แต่ก็มีธาตุประจำอาชีพแตกต่างกันออกไป

      โดยตอนเริ่มเกมนั้นผู้เล่นจะมี 3 อาชีพด้วยกันคือ

    • Onion Knight (สาย Warrior)
    • Apprentice Mage (สาย Mage)
    • Neophyte Ranger (สาย Ranger) 

      ซึ่ง 3 อาชีพนี้จะเรียกกันว่า Starter Job เอาไว้เล่นในช่วงแรกๆได้ ซึ่งแต่ละอาชีพนั้นสามารถอัพเกรดได้เพื่อพัฒนาไปเป็นอาชีพต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น

      อาชีพหลักในภาพข้างบนคือ Onion Knight แต่เมื่อเล่นไปซักพักแล้วมีการอัพเกรดอาชีพไปเรื่อยๆก็จะสามารถกลายเป็น Dark Knight ได้

      แต่ถ้าอาชีพหลักของผมคือ Dark Knight ผมจะสามารถอัพเกรดจนเป็น Dark Emperor ได้

      อาชีพ Onion Knight ไม่สามารถอัพเกรดเป็น Dark Emperor ได้เลย เพราะมันเป็นอาชีพสำหรับ Dark Knight โดยตรงเท่านั้น และสายเฉพาะทางอย่าง Dark Emperor นั้นเก่งกว่า Dark Knight ที่อัพเกรดมาจาก Onion Knight จึงเป็นที่มาว่าทำไมต้องหาอาชีพเฉพาะทางมาใช้ ทั้งๆที่ Starter Job ก็มีให้อยู่แล้วบางส่วน นั่นก็เพื่อความเทพของตัวละครนั่นเองครับ 

      และเนื่องจากเป็นซีรีย์ FF เพราะงั้นอาชีพต่างๆใน FF ของแต่ละภาคจะมีเพิ่มเข้ามาในอนาคตแน่นอน ซึ่งตอนนี้มีชุดของ Tidus ใน FFX แล้ว ในอาชีพที่ชื่อว่า Ace Striker

 

      ส่วนของเวอร์ชันญี่ปุ่นบอกเลยว่ามีหลายชุดเพิ่มเข้ามาแล้ว ไม่ว่าจะ FFVII, FFIX, FFXIII หรือแม้กระทั่ง Dragon Quest ก็ยังมี ซึ่งเวอร์ชันอินเตอร์ก็น่าจะเพิ่มเข้ามาในอนาคตครับ

 

      ส่วนสกิลต่างๆที่จะใช้ในการต่อสู้นั้น จะขึ้นอยู่กับการ์ดที่ใส่ให้ในแต่ละอาชีพ ซึ่งจะเรียกหน้าจัดการอาชีพนี้ว่า Deck (ในเกมนี้มองว่าอาชีพก็คือการ์ดใบหนึ่งเช่นกัน) และ Deck จะมีได้หลาย Slot (ขึ้นอยู่กับเลเวลของผู้เล่น) เพื่อที่จะได้จัดอาชีพและสกิลไว้หลายๆชุดแล้วสลับไปมาระหว่างเล่นได้

      ซึ่งการ์ดสกิลก็จะมีธาตุเหมือนกัน แต่เพิ่มเติมมาอีกหนึ่งอันคือธาตุชีวิต ซึ่งทุกอาชีพจะมีธาตุนี้อยู่แล้ว (จึงไม่แสดงให้เห็น) โดยจะต้องใส่การ์ดสกิลที่มีธาตุตรงกับอาชีพนั้นๆ (จะใส่ธาตุใดธาตุหนึ่งหลายๆใบก็ได้ แต่อย่าใส่ธาตุที่อาชีพนั้นไม่มี เพราะจะใช้สกิลนั้นๆตอนต่อสู้ไม่ได้)

 

อาวุธ

      ในแต่ละสายอาชีพก็จะมีอาวุธให้เลือกด้วยเช่นกัน ซึ่งจะได้จากตอนอัพเกรดอาชีพนี่ล่ะ ซึ่งรูปแบบอาวุธก็จะมีตามจำนวนสายเลย เช่น Warrior จะเป็นดาบ ส่วน Mage จะเป็นคฑา อะไรทำนองนั้น แต่ว่าอาวุธแต่ละชิ้นจะเพิ่มความสามารถแตกต่างกันออกไป ซึ่งเลือกจากในหน้า Deck เช่นเดียวกับตอนเลือกอาชีพ

 

ระบบการ์ดสกิล

      ถือว่าเป็นรูปแบบทั่วไปของเกมบนสมาร์ทโฟนในยุคนี้เลยก็ว่าได้ (เพราะไอ้การ์ดพวกนี้นี่แหละที่ผลาญเงินผู้เล่นได้ดียิ่งนัก) ซึ่งในเกมนี้ได้เอาระบบการ์ดมาใช้กับสกิล ซึ่งการ์ดเหล่านี้ก็จะเอาไปใส่ใน Deck ว่าจะให้อาชีพไหนใช้สกิลอะไรได้บ้าง (เลือกได้ 4 ใบต่ออาชีพ)

      การ์ดแต่ละใบก็จะมีสกิลแตกต่างกันออกไป และมี Passive Skill ด้วย (ในเกมเรียกว่า Auto Abilities)

 

      สำหรับเลเวลของการ์ดจะมีผลต่อเลเวลของตัวละคร ซึ่งละครจะเก่งได้นอกจากเลเวลต้องสูงแล้ว การ์ดที่ใส่อยู่ก็จะต้องมีเลเวลรวมกันแล้วสูงด้วยเช่นกัน (ปั้มทั้งเวลตัวละคร และเลเวลของการ์ดสกิล)

      ส่วนดาวที่กำกับอยู่ในรูปการ์ดจะมีผลต่อเลเวลสูงสุดที่อัพเกรดได้, เลเวลสูงสุดของสกิล และ จำนวนสูงสุดของ Skillseed, จำนวนลูกแก้วธาตุที่ต้องใช้ในการต่อสู้ และระยะเวลา Cooldown

      โดยปกติแล้วดาวของการ์ดสกิลจะเป็น 1, 2, 3, 4 และ 5 ถ้ามีเครื่องหมายบวกด้วยก็แสดงว่าการ์ดใบนั้นอัพเกรดทุกอย่างให้เต็มหมดแล้ว แต่จะไม่สามารถเพิ่มดาวได้ (ในเกมเรียกว่า Fast Learning Card) เพราะการ์ดบางใบสามารถเพิ่มดาวได้ (แต่บางใบเท่านั้นที่เพิ่มได้ถึง 5 ดาว บางใบก็สุดที่ 3 ดาว)

 

     สำหรับสกิลของการ์ดแต่ละใบจะมีรายละเอียดดังนี้

 

    1. ธาตุของสกิล
    2. จำนวนลูกแก้วธาตุ (Element Orb) ที่ต้องใช้ในตอนต่อสู้
    3. พลังโจมตี
    4. พลังในการ Break
    5. โอกาสในการติด Critical
    6. ความสามารถเสริม (Extra Skill) ที่ปลดล็อคจากการใช้งานสกิลบ่อยๆ
    7. เลเวลของสกิลและเลเวลสูงสุดที่สามารถเพิ่มได้

 

      กรณีที่เป็นการ์ดสกิลแบบเสริมพลังจะมีรายละเอียดดังนี้

    1. ธาตุของสกิล
    2. จำนวนลูกแก้วธาตุ (Element Orb) ที่ต้องใช้ในตอนต่อสู้
    3. Cooldown หรือระยะเวลาที่ต้องรอก่อนจะใช้งานได้อีกครั้ง
    4. ความสามารถเสริม (Extra Skill) ที่ปลดล็อคจากการใช้งานสกิลบ่อยๆ
    5. เลเวลของสกิลและเลเวลสูงสุดที่สามารถเพิ่มได้

      การปลดล็อค Extra Skill นั้นจะขึ้นอยู่กับเลเวลของสกิลด้วย ถ้าเลเวลของสกิลไม่ถึงที่กำหนดก็จะไม่สามารถปลดล็อคได้

      สำหรับการ์ดสกิลโจมตี เพื่อให้มีความแรงมากที่สุด ควรเลือกใช้ให้ตรงกับสายอาชีพด้วย ซึ่งจะมีสัญลักษณ์ระบุไว้ที่รูปการ์ดแต่ละใบดังนี้

 

      และนอกจากนี้การ์ดสกิลโจมตีนั้นจะมีระยะโจมตีแตกต่างกันไปตามสัญลักษณ์ที่ระบุไว้ดังนี้

    1. Single-target
    2. Cone
    3. Area

      ซึ่งส่วนใหญ่ สกิลที่โจมตีเป็นวงกว้างอย่าง Area จะใช้ลูกแก้วธาตุจำนวนเยอะสุด แต่สำหรับแบบ Cone มักจะเป็นสกิลที่โจมตีได้เบา ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนมอนสเตอร์ที่จะต้องเจอด้วย เพราะบางครั้งเจอตัวเดียวแต่ดันพกสกิลโจมตีแบบ Area ทั้งหมดไปก็มีแต่เปลืองลูกแก้วธาตุซะเปล่าๆ

      ส่วน Skillseed นั้นคือค่าที่เอาไปใช้ในการอัพเกรดอาชีพ (เดี๋ยวพูดทีหลัง) ซึ่งจะได้หลังจากจบการต่อสู้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในการ์ดสกิลทุกใบที่ใส่ไว้ ซึ่งเยอะยิ่งดี จะได้อัพเกรดอาชีพไวๆ

 

การอัพเกรดการ์ดสกิล

      สำหรับการอัพเกรดการ์ดสกิลสามารถทำได้ด้วยวิธีที่เรียกว่า Fusion โดยจะต้องใช้การ์ดสกิลใบอื่นๆมาอัพเกรดให้ใบที่ต้องการ (เอาการ์ดที่ไม่จำเป็นมาทำเป็นปุ๋ยให้การ์ดสำคัญๆนั่นเอง)

 

เพิ่ม Skillseed

      ถ้าอยากจะเพิ่ม Skillseed ให้มากขึ้น จะต้องใช้การ์ดสกิลที่มีธาตุเดียวกันมาผสม

      ซึ่งการใช้การ์ดที่มีดาวเยอะในการผสมจะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จมากขึ้น สามารถใช้หลายๆใบร่วมกันได้สูงสุด 5 ใบ

 

เพิ่มเลเวลของสกิล

      ถ้าอยากจะเพิ่มเลเวลของสกิล จะต้องใช้การ์ดสกิลที่เหมือนกันมาผสม ดาวของการ์ดที่นำมาผสมก็มีผลเช่นกัน และใช้หลายๆใบร่วมกันได้สูงสุด 5 ใบ ซึ่งการเพิ่มเลเวลของสกิลจะเพิ่มค่า Attack, เพิ่มค่า Break, ลดค่า Cooldown และลดจำนวนการใช้ Element Orb

      นอกจากการใช้การ์ดสกิลในการอัพเกรดเลเวลและ Skillseed แล้ว ยังสามารถใช้ Ability Ticket แทนได้ด้วย ซึ่งหาได้จากกิจกรรม, เนื้อเรื่อง หรือเติมเงินซื้อ

 

ปลดล็อค Extra Skill

      โดยปกติแล้ว Extra Skill จะปลดล็อคจากการใช้งานในตอนต่อสู้บ่อยๆ แต่ถ้ามีการ์ด Extranger ก็นำไปผสมเพื่อปลดล็อคได้ทันที

      อย่าลืมนะว่าเลเวลของสกิลต้องถึงตามที่ Extra Skill นั้นๆกำหนดด้วย

 

ปลดล็อค Extra Auto-Ability

      การ์ดบางใบจะมี Extra Auto-Ability ที่จะต้องปลดล็อคก่อนถึงจะมีผล โดยจะต้องใช้ Fire/Water/Wind/Earth Fractal ในการผสมถึงจะปลดล็อคได้ ซึ่งแต่ความสามารถที่ได้จะขึ้นอยู๋กับธาตุที่ใช้ปลดล็อ

 

การเพิ่มดาวของการ์ดสกิล

      แนะนำว่าให้อัพเกรด Skillseed และเลเวลของสกิลให้เต็มเสียก่อน (เพราะดาวที่เยอะ จะมีโอกาสอัพเกรดสำเร็จน้อยกว่าดาวที่มีจำนวนน้อย)

      การเพิ่มดาวของการ์ดสกิล (ในเกมเรียกว่า Card Augment) นั้นจะทำได้บางใบเท่านั้น โดยจะต้องใช้ไอเท็มตามที่กำหนด ซึ่งการ์ดส่วนใหญ่จะเพิ่มดาวด้วยของที่เหมือนๆกัน ซึ่งการ์ดสกิลที่นิยมใช้งานมักจะเป็นการ์ดที่มี 3 ดาวขึ้นไป และถ้าเพิ่มเป็น 4 หรือ 5 ดาวได้ด้วยก็จะดีมาก

      ของที่ใช้สำหรับเพิ่มดาวจะหาได้จากกิจกรรม, เนื้อเรื่อง และใช้เงินซื้อเท่านั้น

 

รูปแบบการต่อสู้

      เมื่อเดินไปแต่ละจุดบนแผนที่ก็จะเข้าฉากต่อสู้ทันที ซึ่งก่อนที่จะเข้าฉากสู้ ผู้เล่นจะสามารถเลือกการ์ดสกิลจากของเพื่อนได้อีก 1 ใบ (นั่นหมายความว่าฉากต่อสู้จะมีการ์ดสกิลให้ใช้ทั้งหมด 5 ใบ) ซึ่งจะมีทั้งการ์ดของเพื่อนและการ์ดของคนอื่นๆที่สุ่มขึ้นมา

      บ่อยครั้งการ์ดสกิลของคนอื่นนี่ล่ะที่ช่วยชีวิตในยามคับขันได้ เพราะการ์ดสกิลดีๆบางใบที่ผู้เล่นไม่มี ก็หายืมจากรายชื่อเพื่อนนี่ล่ะ

      ในการต่อสู่แต่ละครั้งจะเสียพลังงานที่เรียกว่าค่า Stamina ของผู้เล่น ซึ่งมันก็คือ Energy ตามประสาเกมส่วนใหญ่นั่นแหละ ถ้าใช้จนหมดก็ต้องรอเวลาพักใหญ่ๆเพื่อให้ค่า Stamina ฟื้นคืนขึ้นมา โดยที่การต่อสู้แต่ละครั้งจะใช้ค่า Stamina แตกต่างกันออกไปตามสถานที่ (สามารถฟื้นฟูด้วยไอเท็ม Elixir)

      เมื่อตัดเข้าฉากต่อสู้ก็จะเจอหน้าจอแบบนี้

    1. คะแนนที่ได้จากการต่อสู้ ยิ่งเยอะยิ่งมีผลต่อการจัดอันดับ (ได้รางวัลพิเศษทุกๆสัปดาห์)
    2. จำนวนรอบในการต่อสู้ เพราะในฉากๆหนึ่งก็อาจจะต้องต่อสู้แบบต่อเนื่องมากกว่า 1 รอบ
    3. ลูกแก้วธาตุหรือ Element Orb ซึ่งจะถูกใช้ไปเมื่อมีการใช้สกิล (หมายเลข 5)
    4. ความเร็วของฉากต่อสู้
    5. สกิลที่สามารถใช้งานได้ โดยจะต้องมี Element Orb เท่าที่แต่ละสกิลต้องใช้
    6. สัดส่วนของ Element Orb ที่มีอยู่ ใช้ Element Drive หรือใช้ท่า Ultimate
    7. จำนวน Action ที่เหลืออยู่ใน Turn นั้นๆ
    8. สถานะ Buff และ Debuff ของผู้เล่น
    9. แถบพลัง HP
    10. แถบพลัง Ultimate
    11. เปิด/ปิดต่อสู้อัตโนมัติ
    12. เปลี่ยนมุมมองเพื่อเลือกเป้าหมายในการโจมตี
    13. หน้าต่างช่วยเหลือซึ่งจะมีอธิบายการ์ดสกิลที่ใส่อยู่ การแพ้ชนะของธาตุ และปุ่มกดออกจากการต่อสู้

      การต่อสู้จะเป็นระบบ Turn-based ที่ไม่ต้องรีบกดหรือรีบตัดสินใจก็ได้ (ถ้าไม่ได้เล่นโหมด Multiplayer) โดยจะสลับกันระหว่างผู้เล่นและมอนสเตอร์ ซึ่งให้ความรู้สึกคลาสสิคอยู่เหมือนกันนะ

 

การโจมตี สกิล และ Element Orb

      Element Orb ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการใช้สกิล เพราะแต่ละสกิลจะต้องใช้ Element Orb ตามที่กำหนด โดยผู้เล่นสามารถสะสมได้สูงสุด 16 ลูก และในระหว่างการต่อสู้ถ้าสกิลไหนมี Element Orb ไม่เพียงพอก็จะถูกซ่อนไม่ให้กดได้ (สะดวกดี) โดยที่ Element Orb ก็จะได้จากการโจมตีปกติหรือโจมตีด้วยท่า Ultimate เท่านั้น

      โดย Element Orb แต่ละธาตุจะมีชื่อเรียกตามนี้

    • ธาตุไฟ : Fire Orb
    • ธาตุน้ำ : Water Orb
    • ธาตุลม : Wind Orb
    • ธาตุดิน : Earth Orb
    • ธาตุชีวิต : Life Orb
    • ธาตุแสง : Light Orb
    • ธาตุมืด : Dark Orb
    • สีรุ้ง : Rainbow Orb

      สำหรับ Rainbow Orb เป็น Element Orb พิเศษซึ่งจะได้จากบางกรณีในระหว่างต่อสู้เท่านั้น ซึ่งสามารถใช้แทน Element Orb สีอื่นๆได้ทุกสีเลยล่ะ

      ในระหว่างการต่อสู้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะเสียไป 1 Action ทุกครั้ง โดยแต่ละอาชีพจะมี Action ต่อ 1 เทิร์นที่ไม่เท่ากัน (ขึ้นอยู่กับอาชีพและการอัพเกรด) และพวกสกิล Buff บางสกิลก็มีความสามารถพิเศษที่ไม่ทำให้เสีย Action เมื่อเรียกใช้

      การโจมตีสามารถทำ Combo ได้ต่อเนื่องสูงสุด 3 ครั้ง ซึ่งการทำ Combo จะช่วยให้ได้ Element Orb มากขึ้นดังนี้

    • การโจมตีครั้งแรกจะได้ 1 ลูก
    • การโจมตีครั้งที่ 2 จะได้ 2 ลูก
    • การโจมตีครั้งที่ 3 จะได้ 3 ลูก

      ดังนั้นถ้าโจมตีปกติแบบ Full Combo ก็จะได้ Element Orb สูงสุดถึง 6 ลูกต่อ 3 Action (เพราะโจมตีต่อเนื่อง 3 ครั้ง)

    • กรณีที่ Break ศัตรูได้ (เดี๋ยวอธิบายทีหลัง) ก็จะได้ 3 ลูกเช่นกัน
    • กรณีที่ใช้ท่า Ultimate จะได้ 7 ลูก
    • บางสกิลจะมีความสามารถพิเศษทำให้ได้ 1 ลูกเมื่อใช้สกิลนั้นๆ

 

วิธีการโจมตีมอนสเตอร์

      ระบบจะค่อนข้างคล้ายกับ FFXIII ครับ ที่จะต้องโจมตีด้วยเวทมนตร์เพื่อให้ติด Stagger ถึงจะโจมตีเพื่อทำความเสียหายได้เยอะ แต่เกมนี้จะซับซ้อนขึ้นมาอีกนิดหน่อย

      จากภาพข้างบนคือสถานะของมอนสเตอร์ซึ่งจะมีธาตุ, แถบ HP (สีเขียว) และแถบพลังป้องกันซึ่งผมขอเรียกว่าแถบ Break (สีเหลือง)

      เกมนี้จะต้องใช้สกิลที่มีค่า Break สูง (ยังจำได้มั้ย ที่อธิบายรายละเอียดของการ์ดสกิล) เพื่อให้แถบ Break (สีเหลือง) ลดลงจนเหลือแต่แถบสีแดง

 

      เมื่อเป็นแถบสีแดงก็ให้โจมตีปกติไปเรื่อยๆ ยิ่งตัวละครมีค่า Break สูง แถบสีแดงก็จะยิ่งลดเยอะมากขึ้น

 

      เมื่อแถบสีแดงหมด มอนสเตอร์ตัวนั้นก็จะอยู่ในสถานะ Break (เตรียมโดนเชือดนั่นเอง)

 

      จากนั้นให้โจมตีด้วยสกิลที่มีค่า Attack เยอะและชนะธาตุ จนกว่า HP ของมอนสเตอร์จะหมด

      ซึ่งการโจมตีที่ชนะธาตุและเป็นสกิลที่มีค่า Attack เยอะก็จะทำให้ได้คะแนนในการต่อสู้เยอะตามด้วย (มีผลต่อการจัดอันดับรายสัปดาห์และจำนวน Skillseed ที่ได้ในตอนจบ)

      แต่ในบางครั้งมอนสเตอร์ก็อ่อนแอเกิน โจมตีปกติหรือใช้สกิลแล้วตายๆไปก็อย่าไปสนใจมันมากนัก (ทำคะแนนไม่ค่อยได้)

      สรุปขั้นตอนได้ดังนี้

    1. โจมตีปกติเพื่อเอา Element Orb
    2. ใช้สกิลเพื่อให้แถบ Break สีเหลืองลดลง
    3. โจมตีปกติเพื่อให้แถบ Break สีแดงลดลง
    4. เมื่อมอนสเตอร์ติดสถานะ Break ก็โจมตีปกติหรือสกิลตามแต่ต้องการ

      ในกรณีที่ต้องต่อสู้ต่อเนื่องหลายรอบ สามารถสะสม Element Orb ระหว่างแต่ละรอบได้ (ดองไว้เผื่อเจอบอสตอนสุดท้ายเป็นต้น)

      ถ้าระหว่างต่อสู้เกิดตายหรือแถบ HP หมดขึ้นมา สามารถใช้ Phoenix Down เพื่อชุบชีวิตขึ้นมาสู้ต่อได้ ซึ่งได้จากกิจกรรม, เนื้อเรื่อง หรือใช้เงินซื้อ

 

การใช้ Element Drive

      เนื่องจากมีระบบธาตุเข้ามาเกี่ยวข้อง เวลามอนสเตอร์โจมตีเราก็จะเป็นการโจมตีแบบธาตุเหมือนกัน ดังนั้นผู้เล่นจึงสามารถป้องกันธาตุต่างๆได้ด้วย Element Drive ซึ่งเป็นการใช้ Element Orb ที่มีอยู่เพื่อสร้างเป็นเกราะป้องกันเพื่อลดความเสียหายจากการโจมตีของมอนสเตอร์

      ให้กดค้างทึ่ปุ่มวงกลมที่มุมซ้ายล่างของหน้าจอตอนต่อสู้ จะมีปุ่มย่อยออกมาให้เลือกเป็นรูปสัญลักษณ์ธาตุต่างๆ อยากใช้ Element Drive ของธาตุไหนก็เลื่อนนิ้วไปหาปุ่มนั้นแล้วยกนิ้วออก (ระบบจะบังคับใช้ Element Orb ของธาตุนั้นๆทั้งหมด ไม่สามารถเลือกใช้เพียงบางลูกได้)

      สำหรับธาตุที่มีให้เลือกนั้นจะขึ้นอยู่กับธาตุของแต่ละอาชีพ โดยจะใช้ 2 ลูกต่อการป้องกัน 1 Turn (ถ้าเป็นเลขคี่ก็ปัดขึ้น) แต่ถ้าเลือกเป็นธาตุชีวิตจะเป็นการเพิ่ม HP ของผู้เล่นเอง

 

การใช้ท่า Ultimate

      แต่ละอาชีพจะมีท่า Ultimate ต่างกันออกไป โดยการใช้ท่าดังกล่าวจะต้องรอให้แถบ Ultimate ที่อยู่ใต้แถบ HP เต็มเสียก่อน แล้วลากนิ้วเหมือนกับ Element Drive แต่ว่าเลือกไปที่ชื่อท่า Ultimate ที่อยู่ขวาล่างของปุ่ม

 

      ซึ่งท่า Ultimate ที่เป็นสายโจมตีนั้นเหมาะกับการทำ Break หรือทำ Damage สูงๆ แถมยังได้ Element Orb เพิ่มอีก 7 ลูกด้วย (ดังนั้นเพื่อให้คุ้มค่า ควรใช้ที่มีอยู่ให้เหลือช่องว่างอย่างน้อย 7 ช่อง)

 

      และท่าพิเศษของบางอาชีพจะเปลี่ยน Element Orb ให้เป็นสีรุ้ง (Rainbow Orb) ทั้งหมด ซึ่งใช้แทนธาตุอะไรก็ได้

 

Play video

 

หลังจบการต่อสู้

      เมื่อจบการต่อสู้ในแต่ละฉากแล้วก็จะได้ EXP สำหรับเลเวลของผู้เล่นกับเลเวลของการ์ดสกิล ซึ่งการ์ดสกิลที่อยู่ใบแรกสุดจะได้รับ EXP Bonus เพิ่มเติมด้วย (เอาไว้ปั้มใบที่เลเวลยังน้อย)

      ต่อจาก EXP ก็จะเป็น Skillseed ของธาตุต่างๆขึ้นอยู่กับว่าการ์ดสกิลที่ใส่อยู่มีค่า Skillseed เท่าไรบ้าง (นับแค่ 4 ใบของผู้เล่น ไม่รวมใบที่ยืมมาจากเพื่อน) แล้วคูณด้วยตัวคูณที่ได้จากเกณฑ์การทำคะแนน ซึ่งจะมีการแบ่งระดับคะแนนไว้ x1.5 x2.0 x2.5 x3.0 …. อย่างเช่นถ้าทำคะแนนได้ 1,000,000 ก็จะได้ x5 เป็นต้น และถ้ามีโบนัสพิเศษอีก (กรณีที่เป็นช่วง Special Event) ก็คูณเพิ่มเข้าไปอีก

      และสุดท้ายก็จะได้การ์ดสกิลต่างๆหรือการ์ดสำหรับใช้อัพเกรด ซึ่งขึ้นอยู่กับมอนสเตอร์ที่ต่อสู้ด้วย

 

      ในกรณีที่สกิลไหนมีเลเวลมากพอที่จะปลดล็อค Extra Skill ได้ และใช้สกิลนั้นบ่อยมากพอ จะมีแสงส่องสว่างระหว่างที่ใช้สกิลนั้นๆ ซึ่งในตอนจบการต่อสู้ การ์ดสกิลใบนั้นก็จะได้รับ Extra Skill เพิ่มด้วย

 

การอัพเกรดอาชีพ

      สำหรับ Skillseed ที่ได้จากการต่อสู้นั้นจะถูกนำมาใช้ตอนที่จะอัพเกรดแต่ละอาชีพ ซึ่งหน้าต่างอัพเกรดอาชีพจะมีลักษณะแบบนี้

      หน้าต่างอัพเกรดอาชีพจะเรียกว่า Skill Panel ซึ่งแต่ละระดับจะมี 4 หน้าด้วยกัน ซึ่งจะเพิ่มจำนวน Skillseed ที่ต้องใช้ในแต่ละหน้า เมื่อปลดล็อค Skill Panel ระดับต่อไปก็จะเริ่มต้นใหม่

      แต่ละอาชีพก็จะใช้ Skillseed แต่ละธาตุต่างกันออกไป, ค่าสถานะเพิ่มขึ้น, ปลดล็อคอาวุธ, ปลดล็อคอาชีพ และเมื่อปลดล็อคจนครบในหน้านั้นๆจะต้องใช้ Crystal ในการปลดล็อคหน้าถัดไป ซึ่ง Crystal ได้จากกิจกรรม, เนื้อเรื่อง หรือใช้เงินซื้อ

      นอกจากจะใช้ Skillseed ในการอัพเกรดแล้ว ยังสามารถใช้ไอเท็มที่ชื่อว่า Bronze/Silver/Gold Opender ซึ่งเป็นไอเท็มพิเศษที่ได้จากบางกิจกรรมหรือซื้อด้วย Magicite (ค่าเงินอีกอย่างที่เก็บสะสมได้จากในเกมหรือจะเติมเงินเพื่อซื้อก็ได้)

      สำหรับ Skill Panel ในระดับสูงๆอาจจะถูกจำกัดไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีการอัปเดตตัวเกมในภายหลัง

 

ระบบ Multiplayer

      ถือว่าเป็นระบบที่ทำให้ผมเล่นได้ไม่รู้สึกเบื่อเลย โดยระบบจะให้ผู้เล่น 4 คนช่วยกันรุมกระทืบบอสตัวใหญ่ๆด้วยกันแบบ Realtime

      การจะเล่นโหมด Multiplayer นั้นจะมีแผนที่เฉพาะให้เข้าไปเล่นได้ตลอดเวลา


      สำหรับการเล่นโหมด Multiplayer จะใช้ Stamina คนละชุดกับโหมดปกติ และยังมีระบบ Rank สำหรับโหมดนี้โดยเฉพาะเช่นกัน และ Deck ที่ใช้ก็จะเป็นคนละชุดกับโหมดปกติ (การ์ดสกิลเหมือนกัน) ซึ่งเข้าไปจัดการได้ใน Multiplayer Decks

 

      สำหรับโหมด Multiplayer จะมีรูปแบบการเล่นเพิ่มเติมขึ้นมาจากปกติ โดยแต่ละอาชีพจะมี Role แตกต่างกันออกไป โดยแบ่งออกเป็นดังนี้

    • Attacker
    • Breaker
    • Healer
    • Defender

    ซึ่งแต่ละ Role ก็จะมีหน้าที่ในการต่อสู้กับมอนสเตอร์แตกต่างกันออกไป และมี Auto Ability เพิ่มเข้ามาให้ด้วย

      ซึ่งแต่ละ Role ก็จะมีหน้าที่ในการต่อสู้กับมอนสเตอร์แตกต่างกันออกไป และมี Auto Ability เพิ่มเข้ามาให้ด้วย

  • Attacker
    • คอยใช้สกิลและท่า Ultimate เพื่อลดแถบ Break (สีเหลือง)
    • สร้าง Damage เยอะๆ
    • Auto Ability
      • แถบ Ultimate จะเพิ่มเร็วขึ้นเมื่อใช้สกิล
      • เพิ่มค่า Damage
  • Breaker
    • คอยโจมตีปกติเพื่อ Break มอนสเตอร์
    • Auto Ability
      • แถบ Ultimate จะเพิ่มเร็วขึ้นเมื่อโจมตีปกติ
      • เพิ่มค่า Break
  • Defender
    • คอยรับ Damage
    • ใช้ Element Drive เพื่อป้องกันคนอื่นๆ
    • Auto Ability
      • คือเมื่อใช้ Element Drive ทุกคนในกลุ่มจะได้รับผลเช่นกัน
      • เพิ่มค่า HP
  • Healer
    • คอยเพิ่ม HP และ Buff ให้คนอื่นๆ
    • Auto Ability
      • การ Heal และ Buff ทั้งหมดจะเป็นแบบกลุ่ม
      • เพิ่มโอกาสในการได้ Life Orb

      โดยบอสในโหมด Multiplayer จะเรียกว่า Sicarius และมีลูกสมุนที่เรียกว่า Guard โดยจำนวนของ Guard ขึ้นอยู่กับความยากของแผนที่ที่เลือก ซึ่งในตอนนี้มีให้เลือก 1-3 ดาว ซึ่งระดับที่สูงก็จะยากขึ้นทั้งในเรื่องของ HP ของ Sicarius, จำนวน Guard, จำนวน Action ที่ได้รับต่อ Turn และจะได้รับไอเท็มที่แตกต่างกันด้วยเช่นกัน (ถ้าเข้าห้องดาวน้อยจะต้องวนสะสมไอเท็มเยอะกว่าห้องที่ดาวสูงกว่า)

 

การเข้าต่อสู้กับ Sicarius

      มีให้เลือกว่าจะสร้างห้องหรือเข้าร่วมห้องคนอื่น ซึ่งการสร้างห้องจะเสีย Stamina แต่การเข้าร่วมห้องคนอื่นจะไม่เสีย Stamina แต่ถ้าอยากได้ไอเท็มจาก Sicarius (ใช้แลกของ) เพิ่มขึ้น 2 เท่าจะต้องเสีย Stamina ไม่ว่าจะเป็นคนสร้างห้องเองหรือไปร่วมเล่นกับคนอื่น

      ถ้าเป็นห้องระดับ 1 ดาวจะสามารถเลือกต่อสู่กับ Sicarius ได้ทุกตัว ส่วนห้องระดับ 2 กับ 3 ดาวจะเปลี่ยน Sicarius ทุกๆ 6-7 วัน

 

      ถ้าตั้งห้องเองจะสามารถตั้งค่าในห้องนั้นๆได้ เช่น เลเวลขั้นต่ำของผู้เล่นที่เข้าร่วม, Role ที่ต้องการในแต่ละ Slot จากนั้นก็รอผู้เล่นเข้ามาในห้องแล้วกด Ready ครบทุกคน

 

      ถ้าเข้าร่วมห้องผู้เล่นคนอื่นก็แค่เลือกห้องที่จะเข้าและเลือก Slot ที่ต้องการแล้วกด Ready เพื่อรอเริ่มต่อสู้

 

การต่อสู้กับ Sicarius

      การต่อสู้แบบ Multiplayer ก็จะยังคงเป็นแบบ Turn-based เหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมคือความ Realtime และความต่อเนื่องของ Action เพราะผู้เล่นจะต้องใส่ Action ล่วงหน้าไว้เลยว่าจะทำอะไรบ้างใน Turn นั้นๆ จะใช้ Action จนหมดหรือดองเก็บไว้ใช้ใน Turn หน้าก็ได้ แต่จะมีค่า Action สูงสุดของแต่ละคน (ใช้ Haste เพิ่มค่า Action สูงสุดได้) ในกรณีที่ต่อสู้ระดับ 2 ดาวก็จะได้ Action เพิ่มครั้งละ 3 ต่อ 1 Turn ส่วนระดับ 3 ดาวจะได้ Action ครั้งละ 2 ต่อ 1 Turn ดังนั้นการต่อสู้แบบนี้การเลือก Action จึงสำคัญมาก (มีเวลาให้ 30 วินาที)

      โดยจะให้ผู้เล่นทั้ง 4 คนสามารถใส่ Action ต่างๆเตรียมไว้ ใครใส่เสร็จก็คนจบ Turn แล้วรอ (ลำดับของผู้เล่นจะขึ้นอยู่กับว่าใครกดจบ Turn ก่อน) และในขณะที่กำลังใส่ Action กันอยู่ก็จะเห็น Action ของผู้เล่นคนอื่นด้วยเช่นกัน ดังนั้นบางครั้งจึงอาจจะมีการเปลี่ยน Action กระทันหันได้ เช่น ผู้เล่นคนอื่นจะ Break ให้ (ใส่ Action โจมตีปกติรัวๆ) ผมก็เปลี่ยนไปยกเลิก Action ของเก่าไปแล้วเปลี่ยนมาเป็นโจมตีด้วยสกิลแทน เป็นต้น พอจบ Turn ของฝั่งผู้เล่น ก็จะเป็น Turn ของฝั่ง Sicarius และ Guard วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ

 

      แล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าใครจะทำอะไร?

      เพราะเกมนี้ไม่มีหน้าต่าง Chat (คงจะวุ่นวายและไม่ทันเวลาน่าดู) แต่ระบบเกมก็ได้ใส่ระบบ Sticker มาให้ด้วยเพื่อให้ผู้เล่นสามารถสื่อสารด้วยกันอย่างง่ายๆ ซึ่ง Sticker มีหลายแบบมาก และเอื้อต่อการสื่อสารกับผู้เล่นในทีมด้วยกันอยู่แล้ว เช่น “I’ll go first!” “Break, please!” “Get the red gauge!” หรือ “Attack the boss!” เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องมีการเลือกแค่บางอันมาใช้งานเท่านั้นเพื่อให้สื่อสารกันได้รวดเร็ว โดยสามารถกำหนด Sticker แยกกันตาม Role ได้

 

      แต่นอกจากการสื่อสารด้วย Sticker แล้ว ก็อยู่ที่ความ “รู้งาน” ของผู้เล่นในทีมนี่แหละที่จะเดาได้ว่าใครทำอะไร และเราควรทำอะไร เพราะถ้าเข้าขากันได้ดีพอก็จะจัดการ Sicarius และ Guard ได้ไวมาก อย่างในตอนแรกๆการสู้ที่ระดับ 2 ดาวต้องกินเวลาไปถึง 10 นาที แต่ทุกวันนี้ผู้เล่นส่วนใหญ่สามารถจัดการได้ภายใน 3-5 นาที

      ในกรณีที่มีผู้เล่นตายหรือ HP หมดก็ยังคงใช้ Phoenix Down ในการชุบชีวิตอยู่เหมือนเดิม แต่สามารถชุบชีวิตให้คนอื่นๆได้ด้วย (เสียสละโคตรๆ) หรือผู้เล่นบางคนมั่นใจว่าสกิลตัวเองแรงพอที่จะจัดการ Sicarius ได้ใน Turn นั้นก็จะส่ง Sticker บอกเพื่อนว่าไม่ต้องชุบชีวิตขึ้นมา

 

      ตัวอย่างการเล่นในโหลด Multiplayer

Play video

 

      สำหรับของรางวัลนั้นก็จะนำไปแลกไอเท็มต่างๆได้​ซึ่งมีทั้งการ์ดสกิลจาก Sicarius (การ์ดดีที่ควรมีติดตัวไว้), ของที่ใช้ในการอัพเกรดการ์ดสกิล หรือ Skillseed ของธาตุต่างๆเป็นต้น

 

      และ Stamina สำหรับโหมด Multiplayer ก็ยังใช้ Elixir ได้ด้วย ดังนั้นผมที่ไม่ค่อยได้ใช้ Elixir ในโหมดเนื้อเรื่องปกติซักเท่าไร จึงตุนมาใช้ในโหมด Multiplayer เป็นหลักซะมากกว่า

 

อื่นๆ

Spirit Grove

      จะเรียกว่าเป็นสัตว์เลี้ยงก็ไม่เชิง ซึ่งจะคอยช่วยเหลือในระหว่างการต่อสู้เป็นบางครั้งบางครา ไม่ว่าจะ Buff หรือเพิ่ม HP ให้เมื่อใกล้จะตาย (แต่ก็ไม่ทุกครั้ง)

      ซึ่ง Spirit Grove สามารถซื้อได้ด้วย Spirit Ticket 1 ใบ และหลายๆตัวจะมีขายเฉพาะบางเทศกาลเท่านั้น

 

Mystic Tablet

      ใช้ในการเข้าพื้นที่พิเศษของรัง  Gigantuar (ซาโบเทนเดอร์น่ะแหละ) เพื่อสะสมการ์ดสำหรับใช้ในการปั้มเงิน, EXP, Skillseed และอัพเกรดการ์ดสกิล ซึ่งได้จากการทำเนื้อเรื่อง, Event หรือใช้เงินซื้อ

      โดยพื้นที่ดังกล่าวจะต้องใช้ Mystic Tablet 3 ชิ้น ดังนั้นในช่วงแรกๆแนะนำให้สะสมไว้เยอะๆก่อน เพราะใช้ปั้ม Skillseed ในช่วงหลังๆได้ดีมาก

 

Summon Card

      การ์ดอาชีพและการ์ดสกิลพิเศษๆนั้นส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับ Special Event ที่ต้องใช้ตั๋วไปลุ้นเปิดสุ่มเอาเอง โดยจะใช้ตั๋วที่ชื่อว่า Summon Ticket หรือจะใช้ Magicite ก็ได้

 

      สำหรับการ์ดอาชีพจะไม่มีทางได้ซ้ำ แต่การ์ดสกิลอาจจะมีโอกาสได้ซ้ำ และถ้าได้ซ้ำก็จะได้ไอเท็มที่ชื่อว่า Celestriad เอาไว้แลกซื้อ Summon Ticket (ไม่ค่อยคุ้ม) หรือ Overbooster-J ที่ Item Shop

 

Overboost

      การ์ดอาชีพและการ์ดสกิลจะมีเลเวลสูงสุดตามที่กำหนดไว้ในแต่ละใบ แต่สามารถ Overboost เพื่อให้เลเวลสูงกว่านั้นได้ โดยใช้ไอเท็มที่ชื่อว่า Overbooster-J

 

Auto-Enhance

      เนื่องจากการ Fusion การ์ดสกิลเป็นอะไรที่ทำบ่อยมาก จึงมีระบบ Auto-Enhance เพื่อกำหนดเลยว่าจะให้การ์ดสกิลไหน Fusion อัตโนมัติ สามารถกำหนดเงื่อนไขในการอัพเกรดและการ์ดสกิลที่ใช้ได้ด้วย

 

Magicite

      ถ้าเป็นเกมอื่นๆก็คงเรียกกันว่าเพชรหรือ Gem ซึ่งเปรียบเสมือนค่าเงินอย่างหนึ่งภายในเกมที่สามารถเติมได้ด้วย In-app Purchase โดย Magicite สามารถใช้แทนไอเท็มหลายๆอย่างได้ ไม่ว่าจะ Summon Ticket, Phoenix Down หรือแม้กระทั่งการซื้อไอเท็มหายาก ซึ่ง Magicite ที่ผู้เล่นมีอยู่นั้นจะแสดงให้เห็นอยู่ที่มุมซ้ายบนของหน้าแผนที่

      ถ้าผู้อ่านเป็นผู้เล่นสายฟรี สามารถกดที่ตัวเลขในภาพเพื่อรับ Magicite ฟรีๆได้เลย ซึ่งจะค่อยๆเพิ่มทีละนิดๆ (แล้วก็ค่อยกดรับใหม่อีกครั้ง) สะสมได้สูงสุด 100 Magicite แต่ถ้าทนรอเก็บทีละนิดไม่ไหวก็ควักเงินในกระเป๋ากดซื้อไปเลย!!

 

เงิน Gil

      ไม่ค่อยได้ใช้ซักเท่าไร หลักๆก็จะเสียเงิน Gil ตอน Fusion การ์ดสกิลนั่นแหละ ส่วน Item Shop ที่ใช้เงิน Gil ซื้อได้ก็ไม่ค่อยจำเป็นซักเท่าไร ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าเงินจะเฟ้อ

 

การทำ Damage สูงๆ

    • เป็นอาชีพที่เน้น Damage
    • เลเวลผู้เล่นต้องสูง
    • เลเวลของการ์ดสกิลที่ใส่อยู่ต้องสูง
    • Break มอนเตอร์ ให้เรียบร้อย
    • ใช้สกิลที่ชนะธาตุและมีค่า Attack สูงๆ
    • เลเวลสกิลของการ์ดสกิลที่จะใช้โจมตีต้องสูงถ้าเป็น Warrior หรือ Ranger ให้ Buff อาวุธธาตุ/เพิ่มพลังโจมตีกายภาพ/Berserk และ Debuff พลังป้องกันกายภาพฝ่ายตรงข้าม แต่ถ้าเป็น Mage ให้ Buff พลังเวทมนตร์ และ Debuff พลังป้องกันเวทมนตร์ฝ่ายตรงข้าม
    • ถ้าเล่นโหมด Multiplayer ควรจะให้ผู้เล่นคนอื่นๆใช้สกิลธาตุเดียวกัน (Chain)
    • ภาวนาให้โชคดีติด Critical

      ซึ่งการ์ดสกิลที่มี Attack สูงๆจะมีอยู่ไม่กี่ใบเท่านั้น และถ้าเป็นโหมด Multiplayer จะทำดาเมจสูงๆได้ไม่ยากนัก เพราะช่วยกันต่อสู้ ผู้เล่นบางคนไม่ต้อง Break แค่ยิงอัดเข้าไปตรงๆก็ทำ Damage แรงๆได้แล้วเหมือนกัน

 

ปั้ม Skillseed, เลเวลของการ์ด และเงิน Gil

      ให้สะสม Mystic Tablet ไว้เยอะๆตั้งแต่เริ่มเกม จนกระทั่งเลเวลสูงมากพอที่รู้สึกว่า Skillseed นั้นสะสมยากเกินไป (ช่วงหลังๆใช้ Skillseed เป็นหมื่นเป็นแสนอัน) แล้วใช้ Mystic Tablet ในเพื่อเข้าไปสถานที่ที่ชื่อว่า Gigantuar Terrace ซึ่งข้างในนั้นจะต้องสู้กับ Gigantuar ทั้ง 3 สี ซึ่งจะให้ EXP และ Skillseed เยอะมาก

      สิ่งที่ต้องเตรียมตัวคือการ์ดที่มี Skillseed ที่ต้องการปั้มเยอะๆ และควรใช้อาชีพหลักที่ไม่ใช่สาย Ranger เพื่อทำ Damage สูงๆ (ปั้มคะแนนเยอะๆ)

      ยกตัวอย่างเช่น เจ้าของบล็อกต้องการปั้ม Skillseed ธาตุไฟและลม จึงจัด Deck แบบนี้

    จะเห็นว่า Deck ดังกล่าวมี Skillseed ธาตุไฟ 56 และธาตุลม 46

    เวลาสู้ก็พยายามเน้นใช้สกิลแรงๆตอนที่ Break แล้ว เพราะมอนสเตอร์ทุกตัวที่นี่จะเลือดน้อยมาก โดยให้คะแนนเกิน 300K ขึ้นไป เพื่อให้ได้ Seed Bonus x4 ขึ้นไป (เกิน 1M เลยยิ่งดี) ซึ่งเคล็ดลับของผมคือคือใช้สกิล Last Stand ของการ์ด Eight: FF Type-O แต่เนื่องจากผมไม่มีจึงต้องรอรายชื่อเพื่อนที่มีการ์ดสกิลดังกล่าวโผล่ขึ้นมา

 

      ในแต่ละรอบก็จะได้ Skillseed ธาตุไฟ 4,500 ชิ้นและธาตุลม 3,700 เป็นขั้นต่ำ

      และในระหว่างฉากก็จะได้โบนัส Skillseed ทุกธาตุธาตุละ 3,000 ชิ้นจากการเปิดกล่อง สรุปแล้วก็จะได้ Skillseed ธาตุไฟ 16,500 ชิ้นและธาตุลม 14,100 ชิ้นต่อการเข้ามาที่นี่หนึ่งรอบ

      ที่เหลือก็แค่วนกลับมาเล่นซ้ำๆจนกว่า Mystic Tablet จะหมด

 

เผลอปิดเกมตอนไหน เปิดมาก็เล่นต่อจากของเดิมได้ทันที

      ข้อดีของเกมนี้ที่ผมชอบที่สุดก็คือความรู้สึกต่อเนื่องในการเล่น ลองนึกภาพว่าผมกำลังเล่นเกมนี้อยู่ แล้วเกิดสลับไปตอบ FB หรือเปิดกล้องขึ้นมาถ่าย ถ้าคุ้นเคยกันดีก็คือตัวเกมจะถูกปิดลงเพราะ Memory ไม่พอใช่มั้ยล่ะครับ

      แต่สำหรับเกมนี้มันจะเซฟไว้ให้ตลอดเวลาถึงแม้ว่าจะแค่ย่อแอพแล้วกดออกมาทำอะไรต่ออะไรจนตัวเกมปิดลงไป พอมาเปิดใหม่มันก็จะถามว่าจะเล่นต่อจากเดิมหรือไม่ ถึงแม้ว่าล่าสุดผมจะต่อสู้ยังไม่จบก็ตาม มันก็จะกลับมาต่อสู้ต่อจากของเก่าให้เลย

      แอพเกมอื่นๆน่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะเนี่ย

 

อัพเดทอื่นๆเกี่ยวกับตัวเกมที่น่าสนใจในอนาคต

      อาจจะดูเหมือนว่าเป็นโปรเจคเกมระดับสมาร์ทโฟน แต่เอาเข้าจริงเกม Mobius Final Fantasy นี้ก็เป็นหนึ่งในโปรเจคสำคัญของ Square Enix เหมือนกัน จากที่ดูการอัพเดทเนื้อหาและระบบต่างๆของตัวเกม ซึ่งในเวอร์ชันอินเตอร์อาจจะเพิ่งเปิดให้ได้ไม่นานมากนัก แต่ฝั่งเวอร์ชันญี่ปุ่นนั้นก็ได้มีการอัพเดทระบบไปเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการสลับเปลี่ยนอาชีพในขณะที่ต่อสู้กันอยู่ (ของเวอร์ชันอินเตอร์กำลังจะมา) หรือระบบ Shifting Paradigms ของ FFXIII ก็ถูกเพิ่มเข้ามา รวมไปถึงชุดตัวละครต่างๆ และเนื้อเรื่อง Side Quest ของตัวละครจากซีรีย์ FF

      ตอนที่ระบบ Multiplayer เพิ่มเข้ามาก็มีการ Crossover ระหว่างภาคนี้กับ FFRK (ทั้งคู่เพิ่ม Multiplayer เข้ามาพร้อมๆกัน) โดยมีเนื้อเรื่องจากตัวละครของ FFRK เข้ามาด้วย

 

      วีดีโอตัวอย่างตัวละครและเนื้อเรื่องจาก FF ภาคต่างๆ

Play video

 

      และที่สำคัญ เวอร์ชันญี่ปุ่นพอร์ตลง Steam เพื่อเล่นบน PC กันแล้วนาจาาาา (ต้องเป็น Steam JP)

Play video

      อย่างน้อยเกมนี้ก็น่าจะมีอะไรให้ติดตามนานมากพอสมควรเลยล่ะ

 

สรุป

      เนื่องจากผมเป็นแฟนเกมตระกูล FF มาตั้งแต่ภาคก่อนๆ ซึ่งพอได้เล่นภาคหลังๆก็เริ่มรู้สึกว่าแปลกๆไปบ้าง ระบบเปลี่ยนไปไม่เหมือนที่เคยเป็น บลาๆๆๆ แต่พอมาเล่นภาคนี้ก็รู้สึกว่าสนุกมาก เพราะระบบเก่าก็ไม่ได้หายไปทั้งหมด เพิ่มระบบใหม่เข้ามาเพื่อให้เล่นบนสมาร์ทโฟนได้เพลินมากขึ้น รวมไปถึงการยำตัวละครและเนื้อเรื่องจากแต่ละภาคมาให้ได้เล่นตลอดเวลา (อย่างของ FFRK ก็มีมานานแล้ว แต่ว่าไม่มีเนื้อเรื่องหรือ Cutscene ให้ติดตาม เลยรู้สึกว่าไม่ค่อยอิน)

      ระบบ Multiplayer ก็เข้ามาให้เล่นเพลินๆเวลาที่เคลียร์ Main Quest กับ Side Quest เสร็จแล้ว เพราะการเล่นกับผู้เล่นที่สื่อสารกันได้เพียงแค่ผ่านทาง Sticker แล้วสามารถกระทืบบอสได้อย่างเข้าขากันก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่ดี (ไม่ต้องเจอคำด่าต่างๆนานาด้วยแหละ)

      ส่วนข้อเสียที่น่าจะทำให้ผู้อ่านหลายๆคนตัดสินใจไม่เล่นเกมนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องกราฟฟิคที่สูงเกินไปทำให้กินแบตเครื่องได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงบางเครื่องอาจจะเล่นไม่ไหวเพราะกระตุก และตัวเกมที่ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตตลอดเวลา 

      แต่ถ้าผู้อ่านคนไหนยังไม่เคยลองเล่น สามารถดาวน์โหลดได้ที่

      Google Playhttps://play.google.com/store/apps/details?id=com.square_enix.android_googleplay.mobiusff_ne

      iTune : https://itunes.apple.com/us/app/mobius-final-fantasy/id1091974564

      ตัวเกมเล่นฟรีครับ แต่อย่าไปเผลอกดจ่ายเงินให้กับ In-app Purchase ซะก่อนล่ะ 😀 

      และนอกจากนี้ยังมี Mobius Final Fantasy Global Thailand ซึ่งเป็น Facebook Fan Page ของผู้เล่นชาวไทยด้วยนะครับ ซึ่งคอยอัพเดทข่าวสารและเนื้อหาของตัวเกมอยู่ตลอดเวลา สามารถเข้าไปติดตามกันได้ที่ https://www.facebook.com/ffmobiusglobal/