ในยุคนี้ เราเริ่มที่จะเห็นคนรักการออกกำลังกายกันมากขึ้น และเหล่า accessory ต่างๆ ที่นำมาใช้งานร่วมกับการออกกำลังกายก็มีมากขึ้นเช่นเดียวกัน อย่างนาฬิกา fitness tracker ก็มีทำออกมาหลายเจ้า ไม่ว่าจะเป็น Garmin หรือ Fitbit ส่วนอีกเจ้าหนึ่งที่น่าจะรู้จักกันดีอย่าง Asus ก็ได้หันมาผลิต fitness tracker เช่นเดียวกัน และก็เพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา โดยใช้ชื่อว่า Asus VivoWatch เรามาดูกันดีกว่าว่าเจ้า VivoWatch นั้นทำอะไรได้บ้าง และเหมาะกับการใช้งานขนาดไหน

แกะกล่อง

มาเริ่มที่การแกะกล่องกันก่อนเลย สำหรับกล่อง Asus VivoWatch นั้นจะเป็นทรงสี่เหลี่ยม สีขาว โดยกระดาษครอบตัวกล่องนั้นมีรูป VivoWatch อยู่ และเมื่อเปิดกล่องมาก็จะเจอกับ VivoWatch นอนอยู่ตรงกลางรอให้เราหยิบออกมา

ขุดลงไปอีกก็จะเจอกับแท่นชาร์จ สายชาร์จ และหนังสือคู่มือ แต่ว่าไม่มี adapter มาให้นะ

 

หน้าตาและวัสดุ

หลังจากที่แกะกล่องกันแล้ว ก็มาดูที่ตัวเครื่องกันบ้างดีกว่า โดยรวมแล้ว VivoWatch จะมีรูปทรงที่คล้ายๆ กับเจ้า Asus Zenwatch ซึ่งเป็นทรงสี่เหลี่ยมขอบมนเหมือนกัน แต่หน้าจอของ VivoWatch จะใช้เป็นหน้าจอทัชสกรีนแบบขาวดำ โดยมีความละเอียดอยู่ที่ 128×128 พิกเซล ทำให้เซฟแบตมากขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความสวยงามที่ลดลงไป ส่วนกระจกหน้าจอนั้นใช้เป็นกระจก Gorilla Glass 3 ที่ทนการขีดข่วนได้ แต่รอยนิ้วมือก็ติดง่ายด้วย

โลโก้ Asus จะอยู่ทางด้านบนของหน้าจอ ส่วนด้านล่างนั้นจะเป็นไฟ LED ซึ่งจะแสดงขึ้นเมื่อเรากำลังชาร์จไฟ หรือระหว่างการออกกำลังกาย โดยจะมีสีเขียวและสีแดง ส่วนรูรับแสงด้านข้างไฟ LED นั้นเป็น UV sensor ที่วัดความเข้มของรังสี UV ในขณะนั้น

ขอบเครื่องของ VivoWatch นั้นทำจากเหล็กเสตนเลสแบบเงา โดยปุ่มกดนั้นจะมีเพียงแค่ปุ่มเดียวทางด้านขวาของตัวเครื่อง ซึ่งเอาไว้ใช้สำหรับการปลดล็อคและการกลับไปหน้าแรก ส่วนสายนั้นใช้เป็นยางโพลีเมอร์สีดำขนาด 22 มิลลิเมตร  สามารถถอดเปลี่ยนได้ ใส่แล้วไม่รู้สึกอึดอัด (แต่ถ้ารัดแน่นเกินก็อึดอัดนะ.. จะบอกทำไม)

ด้านหลังของตัวเรือนมีเซนเซอร์วัดชีพจร เพราะหน้าที่ของ VivoWatch นอกจากจะเอาไว้ใช้บอกเวลาแล้ว มันก็ยังมีหน้าที่เป็น activity tracker อีกด้วย นอกจากนี้ยังรองรับมาตรฐาน IP67 ที่สามารถทนน้ำได้ และสามารถใส่ลงน้ำได้ประมาณ 15 cm ถึง 100 cm ส่วนน้ำหนักของนาฬิกานั้นเพียงแค่ 50 กรัม เท่านั้น ถือว่าเบามาก

 

Asus VivoWatch ทำอะไรได้บ้าง?

ถึงแม้ว่า VivoWatch จะมีหน้าตาเหมือนกับ smartwatch ทั่วไป แต่ว่าความสามารถจริงๆ ของมันนั้นไม่ได้อยู่ที่การเป็น smartwatch เหมือนกับ Android Wear แบบที่เราคุ้นเคย แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่มีความเป็น smartwatch เลย เพราะว่า VivoWatch สามารถที่จะสั่นเตือนเวลามีสายเข้าหรือข้อความเข้า โดยข้อความนั้นรองรับแอพอย่าง Line, Facebook Messenger, Hangouts และ SMS ส่วนการแจ้งเตือนอื่นๆ นั้นไม่สามารถที่จะรับได้  

อย่างไรก็ตาม การใช้งานแบบ smartwatch กับ VivoWatch ก็ยังถือว่าต้องมีการปรับปรุงอยู่บ้าง อย่างการแสดงภาษาไทยนั้นยังไม่ถูกต้อง สระลอยแบบสุดๆ บางทีข้อความเข้าแต่ไม่แสดงข้อความเลย และบางครั้งก็ใช้เวลานานกว่าจะแจ้งเตือน 

สำหรับการใช้งานเป็น fitness tracking เพื่อการออกกำลังกายนั้นถือเป็นตัวชูโรงของเจ้า VivoWatch เลย เพราะมันสามารถบอกได้ว่า เราวิ่งไปเป็นระยะทางเท่าไหร่ เผาผลาญไปเท่าไหร่ และอัตราการเต้นของหัวใจเป็นอย่างไร ซึ่งเจ้าตัว VivoWatch ก็ถือว่าตอบโจทย์ในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี 

การเริ่มต้น track การออกกำลังกายของ VivoWatch นั้นต้องกดปุ่มด้านข้างไว้เป็นเวลา 4 วินาที โดยระหว่างการ track นั้นเจ้า VivoWatch ก็จะวัดชีพจรไปด้วย ซึ่งถ้าชีพจรนั้นเต้นเร็วเกิน 150 มันจะสั่นเตือนและกระพริบไฟสีแดงขึ้นมา เพื่อบอกให้เรารู้ว่าหัวใจเต้นเร็วเกินไปแล้วนะ และระหว่างนั้นก็จะจับระยะทางและการเผาผลาญของแคลอรี่ไปด้วย 

เมื่อเราเดินครบจำนวนก้าว หรือเผาผลาญแคลอรี่ได้ตามที่กำหนดไว้ VivoWatch ก็จะแสดงความยินดีกับเราด้วย และถ้าหากว่าเราอยู่เฉยๆ นานเกินไปมันก็จะสั่นเตือน บอกให้เราออกไปเดินเล่นซักหน่อยนะ

นอกจากนี้ VivoWatch ยังสามารถใช้ track การนอนของเราได้ด้วย  ซึ่งมันสามารถบอกได้ว่าเรานอนหลับไปกี่ชั่วโมง และนอนหลับลึกไปกี่ชั่วโมง โดยการวัดการขยับตัวของเรา แต่ใส่นอนตอนแรกๆ อาจจะรู้สึกไม่แปลกๆ สำหรับคนที่ไม่เคยใส่นาฬิกานอนมาก่อน (ผมก็คนนึงละ

อีกฟีเจอร์หนึ่งที่ VivoWatch มีติดมาด้วยคือ Happiness Index (HI) ถ้าแปลเป็นไทยก็คือ ดัชนีความสุข ซึ่ง HI จะเป็นค่าของการรวมระหว่าง การออกกำลังกายและการนอนของเราเข้าด้วยเป็น และแสดงเป็นตัวเลขออกมาว่าเรานอนเพียงพอ หรือออกกำลังกายเพียงพอหรือเปล่า  

 

HiVivo แอพสำหรับ Asus VivoWatch

OS ที่ใช้ใน VivoWatch นั้นมีชื่อว่า Kode ซึ่งเป็น OS ที่ทาง Asus พัฒนาขึ้นมาเองเพื่อใช้กับ VivoWatch โดยเฉพาะ เลยจำเป็นที่จะต้องใช้ companion app ที่ทำขึ้นมาเพื่อ VivoWatch เช่นเดียวกัน นั่นก็คือ HiVivo ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จาก Play Store เลยตามลิ้งค์ด้านล่าง

 

เมื่อเปิดแอพ HiVivo ขึ้นมา ก่อนอื่นเราต้องทำการเชื่อมต่อกับ VivoWatch ของเราก่อน โดยการเชื่อมต่อนั้นก็สามารถทำได้ทั้งการเข้าเชื่อมต่อ bluetooth แบบทั่วไป หรือการเชื่อมต่อผ่านแอพเลย ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ได้ต่างกัน ถ้าหากว่าเราอยากเชื่อมต่อผ่านแอพ HiVivo ก็ต้องมาเลือกในส่วนของ Device ก่อน โดยในส่วนนี้ ก็จะบอกถึงแบตเตอรี่, ไอดี, เฟิร์มแวร์ และ การตั้งนาฬิกาปลุก

 

นอกจากนี้ก็ยังมีตัวเลือกที่เราสามารถเลือกกดได้อย่าง 

  • Watch face: สำหรับการเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกา
  • Pairing: สำหรับการเชื่อมต่อกับ VivoWatch
  • Device Update: สำหรับการอัพเดท VivoWatch
  • Langauge: เปลี่ยนภาษาของ VivoWatch แต่ว่าไม่มีภาษาไทยให้เลือกนะ

 

ส่วนอีกหน้าก็คือหน้า Profile ของเรา โดยหน้านี้ก็จะแสดงถึงค่า activity tracking ในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์ของเรา อย่าง 

  • HI
  • จำนวนก้าว
  • จำนวนแคลอรี่ที่ถูกเผาผลาญ
  • อัตราการเต้นของชีพจร
  • การออกกำลังกาย
  • การนอน

     

 

แบตเตอรี่

ทาง Asus ได้เคลมไว้ว่า VivoWatch สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ถึง 10 วัน ซึ่งหลังจากที่ได้ลองใช้งานจริงๆ แบบเชื่อมต่อกับมือถือตลอดเวลา นั้นสามารถใช้งานได้ประมาณ 3 วันสบายๆ แต่ถ้าหากตัดการเชื่อมต่อก็สามารถใช้งานได้ประมาณ 7-8 วัน เลยทีเดียวครับ ถือว่าแบตอึดใช้ได้เมื่อเทียบกับทางฝั่ง Android Wear

แต่มีอย่างหนึ่งที่ได้สังเกตุคือ บางครั้งที่เราถอดทิ้งไว้ตัววัดชีพจรจะทำงานตลอด ซึ่งจะส่งผลให้แบตลดอย่างรวดเร็วเหมือน อันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าเกิดจากอะไร

 

สรุป

ความพยายามในการแข่งขันในตลาด fitness tracker ของ Asus ก็ถือว่าทำได้ออกมาในระดับที่ดี และตอบโจทย์ในสิ่งที่มันควรจะเป็น นั่นก็คือการใช้งานเพื่อการออกกำลังกาย แต่ถ้าจะใช้งานเป็น smartwatch ด้วย ก็ยังคงมีจุดที่ต้องปรับปรุงอยู่บ้าง อย่างการ sync และการเชื่อมต่อระหว่าง VivoWatch กับ HiVivo ยังถือว่าค่อนข้างช้าอยู่ ส่วนตอนนี้ก็คงต้องรอดูว่า Asus จะทำการวางขายในประเทศไทยเมื่อไหร่ และราคาเท่าไหร่ อีกทีนะครับ