ต้องบอกเลยว่าผมนั้นเป็นหนึ่งในสาวกของเกมตระกูล Final Fantasy มาตั้งแต่เด็กแล้ว และเชื่อว่าผู้อ่านบางท่านก็คงเช่นกัน ซึ่งล่าสุดทาง Square Enix ก็ได้ปล่อยเกม Dissidia Final Fantasy Opera Omnia สำหรับเซิฟเวอร์อินเตอร์ออกมาแล้ว หลังจากที่ปล่อยให้เล่นในเซิฟญี่ปุ่นมาซักพักใหญ่ ดังนั้นสาวกอย่างผมก็ไม่พลาดที่จะโหลดมาเล่นแล้วเล่าให้ฟังกันครับ ว่าทำไมเกมนี้ถึงดูดเวลาชีวิตของผมในช่วงนี้ไปได้

เกมนี้คือ Dissidia Final Fantasy เวอร์ชัน RPG

บางคนน่าจะคุ้นเคยกับเกม Dissidia Final Fantasy (ผมขอเรียกสั้นๆว่า DFF) ตั้งแต่สมัย PSP กัน ซึ่งเดิมทีเราจะรู้กันว่า DFF เนี่ย มันคือเกมที่จับตัวละครใน Final Fantasy แต่ละภาคมาตีกัน (ล่าสุดก็เพิ่งปล่อย DFF NT ที่เป็นภาคใหม่บน FS4 ไปได้ไม่นาน) โดยที่ตัวเกมนั้นเป็นสไตล์แอคชั่นที่ให้เราบังคับตัวละครเพื่อดูสู้เหมือนเกมไฟต์ติ้ง แต่ทว่าใน DFF Opera Omnia นั้นได้เปลี่ยนรูปแบบการเล่นให้กลับมากลายเป็น RPG แทน แต่ว่าระบบหลายๆส่วนก็ยังคงความเป็น DFF อยู่เหมือนเดิม

โดยในภาคนี้จะให้เลือกตัวละครได้ 3 ตัวต่อทีม (สามารถจัดทีมไว้หลายๆทีมได้) และไม่ได้มีแค่ตัวละครจำพวกพระเอกหรือบอสใหญ่ของแต่ละภาคให้เลือกเล่นเท่านั้น แต่ว่าจะมีตัวละครหลักในแต่ละภาคให้เล่นด้วย ซึ่งไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อ เพราะจะมีให้ปลดล็อคตามเนื้อเรื่องหลักของเกมหรือกิจกรรมตามช่วงเวลา ดังนั้นใครชอบหรือคิดถึงตัวละครไหนก็เตรียมตัวหยิบไปเล่นได้เลย

สามารถไปส่องล่วงหน้าได้ว่าจะมีตัวละครอะไรเข้ามาบ้างจาก Twitter เกมนี้ของเซิฟญี่ปุ่น https://twitter.com/i/moments/783853292644241408

 

รูปแบบการเล่น

ตัวเกมจะดำเนินเนื้อเรื่องตามสไตล์เกม RPG ที่จะผสมเนื้อเรื่องของตัวละคร FF ในแต่ละภาคเข้าด้วยกัน โดยจะแบ่งเป็น Chapter หลายๆ Chapter ที่จะทยอยปลดตัวละครให้ได้เล่นเรื่อยๆ

 

สามารถเลือกเนื้อเรื่องหรือฉากที่ต้องการเล่นได้ตลอดเวลา โดยแบ่งออกเป็นแผนที่ขนาดใหญ่ที่จะมีทั้งเนื้อเรื่องหลักและกิจกรรมหรือเหตุการณ์ตามช่วงเวลาให้เลือกได้ตามใจชอบ

 

และในแต่ละ Chapter หรือบางกิจกรรมก็จะแบ่งเป็นฉากย่อยๆออกไปอีก โดยเราสามารถกดเลือกได้เลยว่าจะไปฉากไหน อยากจะไปฉากต่อสู้ก็กดเลือก อยากจะไปฉากที่เป็นเนื้อเรื่องก็กดเลือก  ตามสไตล์เกมมือถือในปัจจุบัน ไม่ต้องกลัวว่าจะเดินๆอยู่แล้วตัดฉากเพราะเจอมอนสเตอร์

โดยแต่ละฉากก็จะมีสัญลักษณ์บอกว่าเป็นต่อสู้หรือบทสนทนา และถ้าเป็นฉากต่อสู้ก็จะมีบอกว่าเป็น Main Quest หรือ Side Quest ฉากไหน Clear แบบผ่านๆ (Cleared) และฉากไหนที่ทำเงื่อนไขได้ครบ (Completed) และถ้ามีรูปตัวละครอยู่ที่ฉากนั้นๆก็หมายถึงเป็นฉากต่อสู้และเนื้อเรื่องเพื่อปลดล็อคตัวละครนั้นๆ หรือบางฉากก็เป็นรูปประตูซึ่งจะต้องปลดล็อคด้วยการทำตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในประตูให้ได้ ประตูถึงจะหายไป (เช่น ต้องมีตัวละครที่กำหนดอยู่ในทีมหรือเลเวลถึงกำหนด เป็นต้น)

 

ด้วยสไตล์เกมมือถือยุคใหม่ที่เน้นการเล่นง่ายและไว ดังนั้นจึงตัดเรื่องการเดิมเข้าเมืองเพื่อซื้อของหรืออัพเกรดอาวุธไปได้เลย เพราะทุกอย่างมีอยู่ให้ในเมนูขวามือของหน้าจออยู่แล้ว อยากจะอัพเกรดอะไรก็กดที่เมนูนั้น อยากจะกลับไปทำ Quest ต่อก็กดที่เมนูเช่นกัน

 

ระบบการต่อสู้

การต่อสู้ใน DFF Opera Omnia นั้นจะเป็นรูปแบบของ Turn-based Battle System สุดคลาสสิค ที่จะต้องคอยกดคำสั่งในแต่ละเทิร์นว่าจะให้ตัวละครของเราทำอะไร และศัตรูหรือมอนสเตอร์ที่โผล่มาให้ต่อสู้ก็จะแบ่งออกเป็นหลายๆรอบด้วยกัน บางฉากก็มีแค่รอบเดียว บางฉากก็อาจจะต้องต่อสู้ 5 รอบ (สู้กับลูกกระจ๊อกก่อน แล้วจบท้ายด้วยบอสของฉากนั้น อะไรทำนองนั้น)

เพื่อให้ตัวเกมนั้นเล่นได้ง่าย การควบคุมตัวละครจึงไม่ซับซ้อน เพราะมีให้กดอยู่ไม่กี่ปุ่ม ไม่ต้องมานั่งเลือกว่าจะใช้ไอเท็มไหน หรือเลื่อนหาชื่อเวทย์ที่จะใช้ เพราะเกมนี้ตัดความยุ่งยากแบบนั้นออกไปทั้งหมด ให้เหลือแต่เพียงการโจมตีแบบธรรมดาและท่าพิเศษของแต่ละตัวละครที่จะมีให้ใช้แค่ 2 ท่าเท่านั้น

แต่ก็ยังคงมีกลิ่นอายของ DFF ตรงที่เวลาโจมตีมอนสเตอร์จะมี 2 แบบด้วยกัน คือ โจมตีค่า Brave และโจมตีค่า HP โดยจะต้องโจมตีค่า Brave ของศัตรูเพื่อแย่งมาเป็นของเรา (การโจมตีนี้ขึ้นอยู่กับค่า ATK ของเรา ยิ่งเยอะก็จะยิ่งได้ค่า Brave จากศัตรูมากขึ้น) โดยแต่ละตัวก็จะมีค่า Brave สูงสุดที่สะสมได้ (ขึ้นอยู่กับการอัพเกรดตัวละครและอาวุธที่ใส่อยู่) และการโจมตีค่า HP ก็จะเป็นการเอาค่า Brave ที่ตัวละครนั้นสะสมได้ไปการโจมตีค่า HP ดังนั้นการต่อสู้ของเกมนี้ก็คือโจมตีค่า Brave ของศัตรูให้เหลือน้อยๆ และเก็บค่า Brave เยอะๆ แล้วค่อยโจมตี HP จนกว่าศัตรูจะตายนั่นเอง และการโจมตีค่า HP จะทำให้ค่า Brave ที่สะสมไว้กลายเป็น 0 นะ

ถ้าโจมตีศัตรูจนค่า Brave ของศัตรูหมดก็จะทำให้ศัตรูมีสถานะเป็น Break ซึ่งจะส่งผลให้ข้ามเทิร์นไป, ได้โบนัสค่า Brave สะสม, โดนโจมตีค่า Brave แรงขึ้น และเหมาะแก่การโจมตีค่า HP ซึ่งตัวละครของเราก็สามารถโดนโจมตีจน Break ได้เช่นกัน

ส่วนการโจมตีแบบธรรมดาก็จะมีให้เลือกว่าจะโจมตีค่า Brave หรือ HP ส่วนท่าพิเศษของตัวละครจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งสังเกตได้จากมุมซ้ายบนของปุ่มสกิลว่าสกิลนั้นเป็นการโจมตีแบบ Brave หรือ HP ซึ่งสกิลพิเศษที่เป็นการโจมตีค่า HP ก็จะเป็นการโจมตีหลายครั้งแล้วจบท้ายด้วยค่า HP ซึ่งมีประโยชน์มากในการทำดาเมจให้กับศัตรู แต่บางตัวก็จะมีสกิลเป็นสายซัพพอร์ตหรือดีบัพอยู่เช่นกัน

โดยท่าพิเศษของแต่ละตัวละครจะจำกัดจำนวนครั้งในการใช้งาน ซึ่งจะมีเลขกำกับไว้ที่มุมขวาบนของแต่ละท่า ดังนั้นจะใช้อย่างฟุ่มเฟือยไม่ได้ ถ้าเป็นฉากที่สู้แค่ไม่กี่รอบและเป็นมอนสเตอร์กระจอกๆก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ถ้าเป็นฉากที่ต้องสู้หลายๆรอบและมีบอสใหญ่ก็อาจจะต้องเก็บหอมรอมริบไว้ใช้ตอนท้ายๆแทน

และเมื่อโจมตีหรือโดนโจมตีในแต่ละครั้งก็จะเพิ่มค่าพลังในการอัญเชิญมนต์อสูรด้วย ซึ่งใช้ได้แค่ครั้งเดียวต่อการต่อสู้ใน 1 ครั้ง ดังนั้นเก็บไว้ใช้ในรอบสุดท้ายหรือตอนที่เจอบอสใหญ่ในฉากนั้นๆก็จะดีกว่า ซึ่งการอัญเชิญมนต์อสูรจะทำให้ตัวละครของเราได้เทิร์นฟรีด้วย ขึ้นอยู่กับการเลวลของมนต์อสูรนั้นๆ และได้ผลของพลังของมนต์อสูรแต่ละตัวแตกต่างกันไป

 

เวลาจะเข้าฉากต่อสู้จะมีให้เลือกยืมตัวละครของเพื่อนได้ด้วย เพื่อใช้เปลี่ยนตัวในระหว่างต่อสู้ได้ ซึ่งจะได้เปรียบมากในช่วงแรกๆถ้าสุ่มเจอเพื่อนที่มีตัวละครเก่งๆให้ยืมใช้ ซึ่งการใช้ตัวละครของเพื่อจะเป็นการสลับกับตัวละครของเราตัวใดตัวหนึ่งชั่วคราว ซึ่งจะใช้ได้ 4 เทิร์นเท่านั้น และใช้ได้ครั้งเดียวต่อการต่อสู้ใน 1 ฉาก

 

และในระหว่างการต่อสู้นั้น จะมีโอกาสที่การโจมตีของเราจะกลายเป็นการโจมตีแบบต่อเนื่องได้ด้วย โดยจะเป็นการคอมโบระหว่างตัวละครของเราด้วยกัน ซึ่งจะได้เทิร์นโจมตีฟรี ซึ่งจะเลือกได้แค่ว่าโจมตีเป็นค่า Brave หรือค่า HP

Play video

 

การอัพเกรด

เพื่อให้ตัวละครสุดโปรดของเรานั้นเก่งขึ้น ตัวเกมจะให้เราสามารถอัพเกรดได้หลายๆอย่างเพื่อให้ตัวละครของเราเก่งขึ้น โดยจะแบ่งออกเป็น

  • อัพเกรดตัวละคร
  • อัพเกรดอาวุธและชุดป้องกัน
  • อัพเกรดมนต์อสูร

โดยการอัพเกรดแต่ละอันนั้นจะต้องใช้ไอเท็มหรือวัตถุดิบแตกต่างกันออกไป

โดยวัตถุดิบที่ใช้ในการอัพเกรดนั้นจะมีฉากสำหรับปั้มโดยเฉพาะเช่นกัน ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่ามันจะหายากเลย

 

การอัพเกรดตัวละคร  (Crystal STR)

การอัพเกรดตัวละครนั้น เราจะต้องสะสมคริสตัลในการอัพเกรดตัวละคร โดยแต่ละตัวจะใช้คริสดัลคนละสีแตกต่างกันไป โดยที่คริสตัลนั้นมีทั้งหมด 3 ระดับ ซึ่งการอัพเกรดตัวละครนั้นจะทำให้ปลดล็อคท่าพิเศษอันที่ 2 และ Passive Skill ที่จะเพิ่มค่าสถานะและเพิ่มความสามารถของท่าพิเศษหรือท่าโจมตี

โดย Passive Skill นั้นจะต้องเลือกติดตั้งให้กับตัวละครเอง เพราะว่ามีการจำกัดจำนวนของ Passive Skill โดยคิดเป็นค่า CP ซึ่ง Passive Skill แต่ละอันจะใช้ค่า CP ต่างกันไป ซึ่งค่า CP สามารถเพิ่มได้ด้วยการใช้อาวุธและชุดป้องกันระดับสูงที่มีค่า CP เยอะๆ

 

การอัพเกรดอาวุธและชุดป้องกัน (Gear)

สำหรับการอาวุธและชุดป้องกันก็จะใช้ไอเท็มอีกชุดนึงในการอัพเกรด ซึ่งแยกระหว่างอาวุธกับชุดป้องกันด้วย โดยของแต่ละชิ้นจะมีการกำกับความเทพหรือความหายากด้วยจำนวนดาวเหมือนกับเกมอื่นๆ ควรจะลงทุนกับอาวุธหรือชุดป้องกันระดับ 5 ดาวขึ้นไป

สำหรับอาวุธตั้งแต่ 4 ดาวขึ้นไปจะเป็นอาวุธที่ประจำตัวละครในแต่ละภาค ถึงแม้ว่าจะตัวละครที่ใช้อาวุธประเภทเดียวกันก็สามารถใช้ได้เหมือนกันก็จริง แต่ว่าถ้าใส่ให้กับตัวละครที่ถูกต้อง (ดูจาก Affinity) ก็จะทำให้ตัวละครนั้นได้โบนัสค่าสถานะด้วย

และในการอัพเกรดแต่ละครั้งสามารถเลือกได้ว่าจะใช้วัตถุดิบหรืออุปกรณ์ชิ้นไหนในการอัพเกรด เลือกได้สูงสุดครั้งละ 10 ชิ้น ซึ่งจะเป็นการเพิ่มเลเวลของอุปกรณ์นั้นๆ โดยจะมีการสุ่มว่าได้ผลลัพธ์ระดับไหนระหว่าง Good, Great และ Excellence ซึ่งน่าจะแตกต่างกันตรงที่ค่าสถานะที่เพิ่มขึ้น (มั้ง)

แต่ถ้าอัพเกรดด้วยอาวุธหรือชุดป้องกันที่เป็นอันเดียวกัน จะไม่ใช่แค่การเพิ่มเลเวลเท่านั้นนะ แต่จะเป็นการ Limit Break ซึ่งจะเพิ่มค่าเลเวลสูงสุดที่อัพเกรดได้ และเพิ่มค่า CP ด้วย นอกจากใช้อุปกรณ์ที่เหมือนกันเพื่อ Limit Break แล้ว ก็มีไอเท็มสำหรับ Limit Break โดยเฉพาะด้วยนะ ซึ่งอุปกรณ์แต่ละชิ้นสามารถ Limit Break ได้สูงสุด 3 ครั้ง และเมื่อ Limit Break ครบ 3 ครั้งและอัพเกรดจนเลเวลเต็มก็จะทำให้ระดับของอุปกรณ์ชิ้นนั้นเพิ่มขึ้น 1 ดาว

 

การอัพเกรดมนต์อสูร (Summon)

มนต์อสูรที่จะใช้ในตอนต่อสู้ได้นั้นจะต้องสะสมไอเท็มในการสร้างขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ทยอยอัพเกรดระดับของมนต์อสูรนั้นๆไปเรื่อยๆ ซึ่งแต่ละตัวก็จะใช้ไอเท็มต่างกันไป ซึ่งการอัพเกรดในแต่ละครั้งก็จะเพิ่มผลของมนต์อสูรมากขึ้นเรื่อยๆ

 

อาวุธและชุดป้องกันหาได้จากไหน?

อย่าไปหวังว่ามันจะดรอปจากการต่อสู้ในแต่ละฉากเลยฮะ อย่างมากก็เป็นพวกระดับ 1-2 ดาวเท่านั้น ถ้าอยากได้อาวุธหรือชุดป้องกันดีๆนั้นก็ไม่พ้นการสุ่มกาชานั่นเอง ซึ่งจะมีกิจกรรมสำหรับการสุ่มแต่ละรอบด้วย (Weekly Draw) ว่าจะได้เฉพาะไอเท็มสำหรับตัวละครไหนบ้าง ซึ่งแนะนำให้สุ่มทีเดียว 10+1 ไปเลย เพราะจะได้อาวุธระดับ 5 ดาวแน่นอน

การสุ่มแต่ละครั้งจะใช้เพชร 500 อัน แต่ถ้าเป็น 10+1 จะใช้ 5000 อัน โดยเพชรสามารถหาในเกมในช่วงแรกๆได้ง่ายมาก ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่ามันจะสูบตังมากนัก (แต่ก็เดาว่าช่วงหลังๆก็คงมีเหลือน้อยนิดให้เก็บเพิ่ม) เพราะงั้นก็อย่ารีบเอาไปกดจนหมดล่ะ ดองไว้บ้างเผื่อตัวละครใหม่ๆเข้ามา

 

ระบบช่วยกันต่อสู้แบบ Real-time

ที่ขาดไปไม่ได้สำหรับเกมตระกูล FF บนมือถือเดี๋ยวนี้ก็คือระบบ Co-op Real-time ที่จะให้ผู้เล่นช่วยกัน Raid Boss เพื่อเอาของที่ดรอปไปแลกเป็นของรางวัลต่างๆ ซึ่ง DFF Opera Omnia ก็มี Co-op Event ให้ผู้เล่นเข้าไปเล่นกับคนอื่นได้ตลอดเวลา โดยจะแบ่งเป็น Host (คนสร้างห้อง) และ Guest (คนร่วมห้อง) ซึ่ง Host จะสร้างได้วันละ 5 ครั้ง (ใช้ไอเท็มกระดิ่งที่จะรีเซ็ตให้ใหม่ทุกวัน) ส่วน Guest จะเข้าไปช่วย Host กี่ครั้งก็ได้

โดยการเล่นแบบ Co-op จะเป็นการเล่นตัวละครตัวเดียวเท่านั้น (ถ้าเล่นด้วยกัน 3 คน) โดยระบบการเล่นจะเป็นเหมือนการเล่นปกติทั้งหมด แต่ว่าเราจะควบคุมได้เฉพาะเทิร์นตัวละครของเราเท่านั้น  แต่ที่น่ารักโคตรๆสำหรับเกมนี้ก็คือถ้าเกิดมีใครคนนึงที่เล่นกับเราอยู่ แล้วดันหลุดขึ้นมากลางคัน ระบบของเกมจะให้คนในคนนึงที่เหลืออยู่ในทีมเล่นแทนเลย จะได้ไม่เป็นภาระคนอื่นๆ

 

สรุป

ถ้าว่ากันตามตรงเกมนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเกม FF Brave Exvius, Mobius FF หรือ FF Record Keeper ซักเท่าไร ระบบหลายๆอย่างก็คล้ายๆกัน แต่ทว่าเนื้อเรื่องจะมีความเป็น DFF เท่านั้นแหละ ฮา และกราฟฟิคของเกมก็ไม่ได้สวยมากเท่า Mobius FF หรือเป็น 2D เรียบๆแบบ FF Record Keeper จะอยู่ในระดับกลางๆซะมากกว่า ดังนั้นจึงเหมาะกับมือถือทุกรุ่นฮะ

แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นภาคที่ผมรู้สึกสนุกมากกว่า Mobius FF หรือ FF Record Keeper (ไม่ได้เล่น FF Brave Exvius) นะ เพราะด้วยระบบของเกมที่เป็นสไตล์ DFF แต่ว่าเล่นแบบ RPG นี่แหละ แถมตัวละครก็หลากหลายคล้ายๆกับ FF Record Keeper แต่กราฟฟิคเป็นแบบ 3D ที่ดูทันสมัยกว่า

อยากรู้ว่าสนุกจริงแท้แค่ไหนก็ลองไปดาวน์โหลดมาเล่นกันได้ที่

‎DISSIDIA FINAL FANTASY OO
‎DISSIDIA FINAL FANTASY OO
Developer: SQUARE ENIX
Price: Free+