ในกลุ่มหูฟังของค่ายมือถือนั้น ถ้าใครได้เคยลอง Freebuds Pro จาก Huawei แล้วก็น่าจะประทับใจทั้งเรื่องของ ANC หรือการตัดเสียรบกวน และระบบไมค์ที่ลดเสียงรอบข้างลงได้ดี ที่สำคัญคือเสียงเพลงที่ได้ก็ไม่ธรรมดา ยิ่งคราวนี้กับ Huawei Freebuds Pro 2 ที่มีทั้ง Dual-Speaker และได้ทาง Devialet มาร่วมมือในการปรับจูนเสียงให้ด้วย

ดีไซน์และสีที่แตกต่าง

ครั้งแรกที่เห็นจำได้ว่า Huawei FreeBuds Pro รุ่นแรกนั้นมีขนาดที่ใหญ่กว่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายเหมือนกันกับการปรับดีไซน์รุ่นใหม่ให้เล็กลงกว่าเดิม แต่ยังต้องคงเอามาตรฐานในเรื่องของพลังเสียงที่รุ่นแรกทำเอาไว้ได้ดีไม่ให้ลดลงตามไปด้วย

หูฟังไร้สาย TWS รุ่นนี้มาในสี Silver Blue กับรูปแบบการลงสีเล่นแสงที่ในบางมุมเราจะได้เห็นสีม่วง ไล่เฉดไปยังฟ้าอ่อนและมีความเลื่อมตามมุมที่แสงตกกระทบ น้ำหนักหูฟังแต่ละข้างนั้นอยู่ที่ 5.9 กรัม และมีการออกแบบให้ฟิตพอดีกับหูมากที่สุด พร้อมกับมาตรฐาน IP54 ที่คุณจะใส่ไปออกกำลังในยิม หรือไปวิ่งข้างนอก ก็ไม่ต้องกลัวเรื่องของฝนและเหงื่อ

 

การเชื่อมต่อและควบคุมหูฟัง

ตัวหูฟังนั้นพร้อมเชื่อมต่อทันทีเมื่อเปิดฝา ด้วยระบบการค้นหาอุปกรณ์ Super Device ที่เชื่อมต่อกันได้ง่ายขึ้น หากเป็นสมาร์ทโฟน Huawei ด้วยกันก็มาพร้อมฟีเจอร์ในการปรับตั้งค่าต่างๆ ทั้งหมดเลย ส่วนใครที่ใช้ Android ยี่ห้ออื่นหรือ iPhone ก็ต้องโหลดแอป Huawei AI Life เพิ่มเติมเพื่อเอาไว้ใช้ในการปรับเสียงและฟีเจอร์ต่างๆ

เมื่อเชื่อมต่อแล้ว การควบคุมหูฟังผ่าน gesture มีทั้งหมด 3 รูปแบบ

  1. การบีบที่ก้านแล้วปล่อย จะทำงานเหมือนหูฟังทั่วไป 1 ครั้งเล่น/หยุดเพลง , 2 ครั้งเล่นเพลงถัดไป , 3 ครั้งกลับมาเพลงก่อนหน้า
  2.  การบีบที่ก้านค้างไว้หูฟังค้างไว้ ใช้ในการควบคุมระบบตัดเสียง ซึ่งจะวนไปจาก ตัดเสียง ANC > เปิดรับเสียงภายนอก > ปิดโหมด และเราสามารถตั้งค่าหูฟังอีกข้างให้เป็นโหมดเรียก Assistant หรือการสั่งงานด้วยเสียงได้
  3. การลากนิ้วบนก้านหูฟัง หากเราลากนิ้วขึ้นจะเป็นการเพิ่มเสียง ส่วนการลากลงจะเป็นการลดเสียง สามารถใช้งานได้ทั้ง 2 ข้าง

 

ระบบตัดเสียงรบกวน

ตัดเสียงรบกวน Dynamic ANC 2.0

การตัดเสียงรอบข้างออกไปด้วยหูฟังนั้น ไม่ใช่แค่การฟังเพลงแล้ว แต่บางคนที่ต้องการสมาธิระหว่างการทำงานก็เลือกใช้ฟีเจอร์นี้ด้วย ซึ่งตัวระบบ Dynamic ANC 2.0 นั้นก็กรองเสียงได้ดีกว่าเดิม สูงสุดถึง 47 dB และเลือกใช้งานได้ 3 รูปแบบ โหมด Dynamic คือการตั้งค่าแบบอัตโนมัติที่จะเปลี่ยนโหมดกรองเสียงตามสถานการณ์รอบข้าง โดยไล่ระดับไปตั้งแต่

  • Cozy สำหรับสถานที่ไม่มีเสียงรบกวนมากนัก เช่น ที่บ้าน หรือที่ทำงาน
  • General ระดับกลาง เผื่อใครอยู่ในออฟฟิศที่เสียงดังมากหน่อย หรือตามรถไฟฟ้า
  • Ultra ระดับสูงสุดคือถ้าเกิดนั่งรถเมล์ หรืออยู่ในที่เสียงดังมากๆ

ส่วนการเดินตามท้องถนนเราก็สามารถเปิดโหมด Awareness เพื่อรับเสียงรอบข้างได้ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ รวมถึงใช้เวลาที่จะพูดคุยกับคนอื่นๆ ขณะทำงาน

 

ตัดเสียงรบกวนในขณะสนทนา

ไมโครโฟนทั้ง 4 ตัวของ FreeBuds Pro 2 นั้นถูกนำมาใช้เพื่อระบบตัดเสียงรบกวนระหว่างใช้สาย ทั้งไมค์ 3 ตัวด้านนอก และอีกตัวนึงที่เป็น Bone Conduction ที่คอยจับการขยับปาก นั่นทำให้มันสามารถจับเสียงที่เราพูดได้อย่างแม่นยำ ในขณะที่กรองเสียงภายนอกออกไป

 

พลังเสียง Huawei Freebuds Pro 2

การมาของ Dual-Speaker นั้นช่วยให้เรื่องของเสียงมีมิติมากขึ้น ตัว Dynamic Driver นั้นช่วยเรื่องเสียงย่านความถี่ต่ำหรือ Bass และการนำเอา Planar Diaphram มาใช้เป็นเจ้าแรกๆ บนหูฟังแบบ TWS ก็ช่วยขับเสียงย่านแหลม Treble ได้ชัดและใสขึ้นไปอีก ส่วนเสียงกลางย่าน Mid นั้นให้เสียงร้องออกมาได้ดีเลยเช่นกัน เรียกว่าการได้ Devialet มาร่วมงานด้วยนั้นทำให้รายละเอียดของเสียงดีขึ้นไปอีกขั้น

ในการทดลองฟังเพลง POP ทั่วไป รายบละเอีดยเสียงต่างๆ มาดี เบสจัดการได้เยี่ยมแม้จะเป็นเบสย่านต่ำ ส่วนเสียงร้องก็มาในแนวอุ่นฟังสบาย รายละเอียดโดยรวมทำได้ดี ฟังสนุกกว่าหูฟังบางตัวที่ราคาแพงกว่านี้อีก

พอลองขยับไปฟังพวกเพลง Classic การเก็บรายละเอียดในหลายๆ ย่านนั้นยังคงประทับใจ เพลงแนว Acoustic จากที่ลองฟังมาเหมือนโทนเสียงกลางพวกเครื่องสายบางครั้งก็มีกลบๆ กันบ้าง ส่วนใครชอบฟังแนวเบส Hip Hop , R&B รับรองไม่ผิดหวัง เก็บเสียงย่านต่ำได้ดีจริงๆ

 

อายุแบตเตอรี่และการใช้งาน

ทาง Huawei เคลมเอาไว้ว่าแบตเตอรี่สามารถใช้งานได้สูงสุด 6.5 ชั่วโมงในโหมดปกติ หรือ 4 ชั่วโมงในโหมด ANC แต่จากที่ลองใช้งานมานั้นด้วยผมเองเปิดทั้งเสียง HiRes และยังปรับระดับเสียงไปที่ราวๆ 70% ตลอด มันก็เลยจะสั้นกว่า เฉลี่ยแล้วในโหมด ANC ผมใช้งานได้ราวๆ 3 ชั่วโมงครับ

ส่วนตัว Charging Case นั้นสามารถชาร์จแบตให้หูฟังได้ประมาณ 4 รอบ มีระบบชาร์จไวแบบเสียบชาร์จด่วนๆ 10 นาที ก็สามารถใช้งานได้อีกเป็นชั่วโมงแล้ว

 

สรุป Huawei FreeBuds Pro 2 คุ้มค่าตัวไหม

ในเรื่องของพลังเสียงที่ได้นั้น มั่นใจเลยว่าหากใครได้ลองฟังครั้งแรก ก็น่าจะทายค่าตัวไปหลักเฉียดหมื่นแน่นอน ซึ่งการที่ Huawei ทำราคาออกมาแค่ 6,499 บาท นั้นถือว่าคุ้มเลย แถมยังได้ระบบตัดเสียง ANC ที่ทำงานได้ดี โลกเงียบขึ้นเยอะ แถมระบบตัดเสียงรองข้างของไมโครโฟนก็เด่นมาตั้งแต่รุ่นที่แล้ว เสียงคุยชัดเจนดีด้วย