ย้อนกลับไปเมื่อต้นปีตอนที่ Huawei เปิดตัว Mediapad M5 และ M5 Pro ในงาน MWC 2018 ซึ่งตอนนั้นกระแสดีงามเลยทีเดียว แต่เหมือนว่ามันจะถูกดองมาหลายเดือนเพิ่งจะเริ่มผลิตออกมาวางขายในแถบเอเชียเมื่อเร็วๆ นี้เอง ซึ่งในประเทศไทยก็เพิ่งจะเปิดให้จองกันไป และตอนนี้แทบเล็ตรุ่นท็อปอย่าง MediaPad M5 Pro ก็มาอยู่ในมือเราแล้ว จากการทดลองใช้งานบอกได้เลยว่าของเค้าดี มีความน่าสนใจ

หลายๆ คนที่ติดตามข่าวคราวของเจ้าแทบเล็ต MediaPad M5 มาบ้าง ก็คงจะรู้ว่ามันมีด้วยกัน 3 รุ่น คือรุ่น M5 8.4 นิ้ว, 10.8 นิ้ว และตัวท็อป M5 Pro โดยในบ้านเราเอาเข้ามาแค่ 2 รุ่น คือ M5 8.4 นิ้ว และ M5 Pro นั่นเอง ซึ่งจุดเด่นของตัวท็อปอย่าง M5 Pro ก็คือความสามารถในการรองรับการใช้งานคู่กับปากกา M-Pen และเคสคีย์บอร์ดนั่นเอง ส่วนสเปคอื่นๆ จะเป็นยังไงบ้างนั้น มาดูกันเลย

สเปค Huawei MediaPad M5 Pro  

  • หน้าจอ LCD ขนาด 10.8 นิ้ว ความละเอียด 2K
  • CPU : Kirin 960
  • RAM : 4GB
  • ความจุ : 64GB รองรับ MicroSD Card 256GB
  • กล้องหลัง : 13MP PDAF
  • กล้องหน้า : 8MP
  • เซ็นเซอร์ : Fingerprint (ด้านหน้า), accelerometer, gyro, proximity, compass
  • การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, WiFi Direct, BT 4.2
  • รองรับการใช้งาน LTE
  • USB-C 2.0
  • ไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม.
  • ลำโพงสเตอรีโอบน-ล่าง แบบ 3D Sound
  • ระบบเสียง Hi-Res Audio ปรับแต่งโดย Harman Kardon
  • แบตเตอรี่ : 7500 mAh รองรับ Quick Charge 9V / 2A
  • ระบบ Android 8.0 ครอบด้วย EMUI 8.0
  • ขนาด / น้ำหนัก : 258.7 x 171.8 x 7.3 มม. / 498 กรัม
  • ราคาเปิดตัว 18,990 บาท

 

วัสดุและการดีไซน์

ตัวเครื่องของ MediaPad M5 Pro ทำจากโลหะชิ้นเดียว มีน้ำหนักอยู่ที่ 498 กรัม ด้านหน้ามีปุ่ม Home เพียงปุ่มเดียว (เป็นปุ่มที่กดไม่ได้ ใช้แตะเอา) โดยปุ่มดังกล่าวยังเป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้วย ส่วนด้านหลังเครื่องมีกล้องความละเอียด 13MP อยู่ 1 ตัว ที่มุมขวาบน

ตรงขอบเครื่องก็จะมีปุ่มปรับเสียงและปุ่ม Power อยู่ข้างเดียวกันทางขวา นอกจากนี้ยังมีถาดใส่ซิมที่สามารถใส่ได้ทั้ง SIM Card และ MicroSD Card (รองรับแค่ซิมเดียว) ส่วนรูหูฟัง 3.5 มม. ไม่ต้องไปมองหาที่ไหนเพราะมันถูกตัดทิ้งไปแล้ว 

M5 Pro มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 10.8 นิ้ว และมีความละเอียดสูงถึง 2K ซึ่งเหมาะสุดๆ กับการใช้งานด้านความบันเทิงไม่ว่าจะดูหนัง เล่นเน็ต เล่นเกม (บางเกมอาจไม่เหมาะเท่าไหร่เพราะจอใหญ่เกิน แถมถือนานๆ ไม่ได้เพราะมันหนักกว่ามือถือ)

แถมด้วยลำโพงด้านหลังถึง 4 ตัว ที่ให้เสียงแบบกระหึ่มมากๆ แถมเสียงยังมีมิติมากขึ้นอีกด้วยเวลาใช้ดูหนัง โดยตำแหน่งของลำโพงจะอยู่ที่ด้านบน 2 ตัว และด้านล่าง 2 ตัว (แนวนอน)

 

Software และ UI 

MediaPad M5 Pro มาพร้อมกับระบบ Android 8.0 ที่ครอบด้วย EMUI 8.0 ซึ่งมีการใช้งานเหมือนกับมือถือ Huawei รุ่นอื่นๆ แต่ว่ามันยังสามารถเปลี่ยนหน้าตาของ UI เป็น Desktop Mode (เหมือน Mate 10 Pro)

เมื่อเราเสียบสาย USB-C > HDMI เข้ากับจอนอก หรือใช้งานคู่กับคีย์บอร์ดของมันเอง โดย UI ดังกล่าวจะถูกปรับปรุงให้เหมาะกับการใช้งานในแนวนอน และมีการวาง Layout คล้ายๆ กับคอมพิวเตอร์ คือสามารถเปิดแอปต่างๆ แยกเป็นหน้าต่างๆ ได้

UI ของ Desktop Mode เมื่อใช้เมาส์ หรือ Trackpad ของคีย์บอร์ด

 

ประสิทธิภาพและการเล่นเกม

จากการทดสอบเล่นเกมต่างๆ ก็พบว่า MediaPad M5 Pro สามารถใช้เล่นเกมได้หมดทุกเกมเพราะชิป Kirin 960 ก็ถือว่าไม่ได้แย่มากมายนัก (อย่างน้อยก็เป็นชิปเรือธงเมื่อปีที่แล้วล่ะน่า)

เอามาเล่นเกมกราฟฟิคหนักๆ อย่างพวก Asphalt 9, Final Fantasy XV, PUBG และ ROV ได้สบายๆ (บางเกมต้องปรับกราฟฟิคระดับกลางๆ ถึงจะลื่น)…แต่แนะนำว่าไปเล่นในมือถือจะดีกว่า เพราะมันหนัก ถือเล่นซัก 10 – 20 นาที ก็เริ่มออกอาการเมื่อยข้อมือแล้ว

ส่วนคะแนนจากแอปทดสอบประสิทธิภาพ Antutu ก็ได้ออกมาราวๆ 150,000 คะแนน ส่วนหน่วยความจำในตัวเครื่องที่ใส่มานั้นเป็นชนิด eMMC นะครับ แล้วก็มีเซนเซอร์ต่างๆ ครบครันอยู่

 

กล้องหน้า – หลัง

สำหรับกล้องหน้าและหลังของ MediaPad M5 Pro ก็ถือว่าใช้ถ่ายภาพได้ดีสำหรับแทบเล็ต แต่ก็ดีสำหรับการถ่ายรูปทั่วๆ ไปในสภาวะแสงดีๆ หน่อย เพราะถ้าแสงน้อยลงเมื่อไหร่ รายละเอียดจะเริ่มหายไป และมีนอยส์และวุ้นเข้ามายุ่บยั่บไปหมด

แต่ก็เป็นปกติอยู่แล้วสำหรับกล้องแทบเล็ตทั่วไปไม่ว่าจะระดับล่างถึงระดับไฮเอนด์ เพราะคงไม่มีใครใช้แทบเล็ตเป็นกล้องหลักสำหรับถ่ายรูปหรอก (มั้ง)

ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 8MP สามารถใช้เซลฟี่หนุกๆ หรือใช้งาน Video Call ได้ชัดเจนดี อ้อ!…มีโหมด Beauty และหน้าชัดหลังเบลอมาให้ด้วยนะ

หน้าจอความละเอียดระดับ 2K

จุดเด่นอย่างแรกของ MediaPad M5 Pro ก็คือหน้าจอขนาด 10.8 นิ้ว ที่มีความละเอียดสูงถึงระดับ 2K ทำให้การดูหนังที่มีความละเอียดสูง มีภาพที่ละเอียด ครมกริบ บาดตาบาดใจกันเลยทีเดียว

สีสันที่ได้ก็สดใสสวยงาม แต่…คาดว่าตอนนี้แอปดูหนังอย่าง NetFlix และ YouTube จะยังไม่ได้อัพเดทให้แทบเล็ตตัวนี้สามารถดูหนัง / วิดีโอความละเอียดสูงได้ เพราะยังไม่มีความละเอียดที่มากกว่า FullHD ให้เลือกใช้เลย น่าจะต้องรอการอัพเดทกันซะก่อน ถึงจะเลือกดูวิดีโอความละเอียดสูงได้

 

ลำโพง 4 ตัว ปรับแต่งโดย Harman Kardon

สำหรับผู้ที่อยากได้แทบเล็ตสำหรับใช้งานบันเทิงดูหนังฟังเพลง รับรองว่าถูกใจกับเจ้า M5 Pro แน่นอน เพราะลำโพง 4 ตัว ที่อยู่ด้านบน-ล่าง ข้างหลังเครื่อง ให้เสียงที่ดังกระหึ่ม และมีมิติกว่าการใช้ลำโพงแค่ 2 มากเลย

จากการทดลองดูหนังผ่าน Netflix เวลาถึงฉากที่มีการแยกเสียง ซ้าย-ขวา เนี่ย…ถ้าฟังเผินๆ จะรู้สึกเหมือนว่าเสียงมันมาจากทางนั้นจริงๆ (หมายความว่า เหมือนเสียงมันไม่ได้มาจากลำโพงแทบเล็ต แต่มาจากทางซ้าย – ขวา ของตัวเราจริงๆ)

 

ปากกา M-Pen

ฟีเจอร์นี้รับรองว่าถูกใจผู้ที่ชื่นชอบการขีดๆ เขียนๆ แน่นอน เพราะปากก M-Pen เป็นปากกาดิจิตอลที่รองรับแรงกดถึง 4096 ระดับ เหมือนปากกาดิจิตอลจากแบรนด์อื่น อย่าง Surface Pen ของ Microsoft

ซึ่งจากการทดลองใช้งานแล้ว ชอบมากเลย เพราะขนาดและน้ำหนักที่ตึงมือนิดนึง เหมือนพวกปากกาหมึกซึม หรือปากาด้ามใหญ่ๆ

เมื่อใช้ร่วมกับแอปวาดรูปอย่าง SketchBook และเปลี่ยนเป็นโหมดดินสอเนี่ย มันสามารถใช้แรเงาได้ดีเกือบจะเท่าดินสอจริงเลยทีเดียว แต่ขอติหน่อยนึงตรงตำแหน่งวางปุ่ม เพราะมันอยู่ใกล้กับนิ้ว ทำให้ชอบไปโดนปุ่มที่เป็นยางลบประจำวาดๆ อยู่กลายเป็นลบทิ้งเฉยเลย

M-Pen ยังต้องอาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่เพื่อใช้งานด้วย โดยการชาร์จผ่านสาย USB-C ให้เต็ม 1 ครั้ง สามารถใช้งานได้ยาวๆ ถึง 2 เดือนเลยล่ะ แต่เจ้าปากกาตัวนี้ไม่มีช่องเสียบเก็บในตัวเครื่องนะ ต้องเหน็บไว้กับกระเป๋าเสื้อหรือเหน็บไว้กับเคสเอาแทน

 

เคสคีย์บอร์ด

การใช้งานคู่กับเคสที่เป็นคีย์บอร์ดก็ช่วยให้การทำงานเอกสารสะดวกมากขึ้นเช่นกัน เพราะเมื่อเราเสียบตัวเครื่องเข้ากับเคสแล้ว มันก็จะเปลี่ยนหน้าตาของ UI โดยอัตโนมัติ ให้เหมาะกับการทำงานกับหน้าจอในแนวนอนมากขึ้น

โดยมีลักษณะคล้ายๆ กับคอมพิวเตอร์ที่เป็น Windows เลยล่ะ ซึ่งคีย์บอร์ดตัวนี้ก็ยังมี Trackpad ให้มาด้วย ทำให้เราสามารถใช้นิ้วลากเคอเซอร์ได้เหมือนกับโน้ตบุ๊คเลยด้วย

 

แบตเตอรี่

สำหรับแบตเตอรี่ที่ให้มาถึง 7500 mAh ก็พบว่ามันสามารถใช้งานได้ยาวจริงๆ เพราะใช้ดูหนังจาก Netflix ยาว 2 ชั่วโมงครึ่ง วาดรูปเล่นอีก 1 ชั่วโมง เล่นเน็ตอีก 1 ชั่วโมง และดูซีรีส์ต่ออีกชั่วโมงครึ่ง (ดูผ่าน WiFi, ระดับเสียงประมาณ 75%, ความสว่างหน้าจอประมาณ 80%) รวมแล้วคือใช้งานไปถึง 6 ชั่วโมงกว่าๆ พบว่าแบตเตอรี่ยังเหลือเกือบ 70% (แต่ขอบอกก่อนว่าอันนี้คือเป็นการทดสอบแบบไม่ได้ใส่ซิม)  แถมการชาร์จไฟกลับเข้าไปก็ไม่ได้นานเกินรอ เพราะมันมาพร้อมกับระบบ Quick Charge 9V/2A อีกต่างหาก

 

รองรับการใช้งาน LTE 

และเนื่องจาก MediaPad M5 Pro รองรับการใช้งาน LTE ด้วย SIM Card ทำให้เราสามารถเอาเครื่องไปใช้นอกสถานที่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา WiFi แถมยังสามารถใช้โทรเข้า-รับสายจากแทบเล็ตได้เลยด้วย!…แต่มันไม่มีลำโพงสนทนานะ เพราะงั้นเสียงจากอีกฝั่งก็จะออกมาจากลำโพง 4 ตัวนั่นแหละ รับรองว่าคุยกับใครนี่ได้ยินกันถ้วนหน้าแน่นอน

 

ปัญหาในการใช้งาน

ส่วนปัญหาการใช้งานก็มีเจอบ้างนิดหน่อย เช่นแอปบางตัวบน Android นั้นไม่รองรับหน้าจอแบบ Landscape หรือแนวนอนนั่นเอง เช่นแอปอย่าง LINE เพราะฉะนั้นเวลาเอามาวางบนแป้นพิมพ์แล้วใช้ EMUI นั้นจอก็จะไม่หมุน หรือแม้แต่แอปของ Facebook ซึ่งเปิดมาแรกๆ ก็รองรับแนวนอนดี เข้าดูตาม group แต่พอเข้าไปดูข้อมูลตาม page ดันกลายเป็นแนวตั้งไปอีก

ซึ่งเราก็ได้ลองพยายามใช้พวกแอปในการล็อคบังคับให้แอปไม่หมุนจอแล้ว แต่การแสดงผลก็จะผิดเพี้ยนไป

ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการเปิดเป็น Desktop Mode แอปที่เป็นแนวตั้งก็สามารถใช้งานได้ในรูปแบบของหน้าต่างได้สบายๆ แต่ Desktop Mode ก็มีปัญหาในการรองรับแอปที่ติดตั้งมาจาก Play Store เหมือนกัน เช่นบางแอปนั้นเปิดแบบหน้าต่างไม่ได้ อย่าง Google Chrome นั้นจะเปิดแบบเต็มจอตลอดเวลา ย่อเป็นหน้าต่างเลื่อนไปมาไม่ได้นะ ก็ต้องไปใช้พวก Firefox หรือ Opera แทน แต่ที่ปวดใจกว่าคือใน Desktop Mode ไม่มี Google Play เวลาจะลงแอปก็ต้องกลับมาที่ EMUI แล้วค่อยสลับกลับไปที่ Desktop

แถมบางแอปก็ยังไม่รองรับการทำงานใน Desktop Mode ด้วย อย่างเช่น Facebook กับ Messenger นี่ไม่มีให้เปิดนะ ต้องเข้าไปใช้งานผ่าน browser เอาเอง

 

สรุป

จากการใช้งานทั่วๆ ไป ขอสรุปให้เลยว่า MediaPad M5 Pro เป็นแทบเล็ตระดับไฮเอนด์ที่มีสเปคและฟีเจอร์สำหรับการใช้งานครบครันสุดๆ ทั้งด้านความบันเทิงและการทำงานประเภทตกแต่งภาพ, วาดภาพ ก็เหมาะสุดๆ ด้วยปากกา M-Pen ที่มีความแม่นยำ และใช้งานง่ายมาก

ส่วนคีย์บอร์ดก็ทำให้เราสามารถทำงานประเภทเอกสารได้สะดวกและคล่องแคล่วขึ้นกว่าเดิม แทบไม่ต่างจากการพิมพ์งานจากโน้ตบุ๊คเลย แถมยังสามารถเชื่อมต่อเข้ากับจอทีวีหรือมอนิเตอร์ได้อีกต่างหาก ซึ่งทั้งหมดนี้มาในราคาค่าตัว 18,990 บาท และจะยิ่งคุ้มสุดๆ สำหรับผู้ที่สั่งจองและได้รับคีย์บอร์ดไปใช้ฟรีๆ อีก (ราคาคีย์บอร์ดแยกก็ 3,990 บาทเข้าไปแล้ว)