สำหรับคนที่กำลังมองหามือถือสุดคุ้มอยู่ ก็คงหนีไม่พ้นมือถือจากค่าย Infinix ล่าสุดทางแบรนด์ก็เพิ่งปล่อยมือถือรุ่นใหม่ออกมาอีกหนึ่งรุ่น อย่าง Infinix Hot 50 Pro+ รุ่นนี้บอกเลยว่าตัวเครื่องสวยเกินราคาไปเยอะมาก ตัวเครื่องบางแค่ 6.8 มม. และหนักเพียงแค่ 167 กรัม (แบรนด์อื่นหนักเอา ๆ) แถมยังได้จอ AMOLED แบบโค้ง 120Hz มาให้อีก ในราคาแค่ 6,499 บาทเท่านั้น

เครื่องสวยเกินราคา

ด้านการออกแบบถือเป็นจุดเด่นหลัก ๆ ของรุ่นนี้เลยก็ว่าได้ เพราะรอบนี้มีทาง Infinix มีการเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ให้มีความพรีเมียมมากกว่าเดิม โดยสีที่เราได้มา คือสี Titanium grey ด้านหลังของตัวเครื่องเป็นผิวแบบด้าน เวลาจับสัมผัสให้ความรู้สึกดีเลยทีเดียว แถมด้านหลังยังมีการเล่นกับแสงอีกเพิ่มความพรีเมียมในตัวอีกด้วย เพิ่มเติมคือ นอกจากจะมีความสวยงามแล้ว ด้านหลังยังเป็นรอยนิ้วมือค่อนข้างยาก อันนี้ชอบมาก ๆ

เกาะกล้องรอบนี้ก็มีการเปลี่ยนมาใช้เป็นเกาะกล้องทรงสี่เหลี่ยม ซึ่งมีความนูนจากตัวเครื่องเยอะเหมือนกัน แถมรอบเกาะกล้องยังมีการทำลูกเล่นเพิ่มความน่าสนใจอีกด้วยด้วย ตัวเลนส์กล้องถูกวางเรียงกันในแนวดิ่ง 3 ตัว ขอบกล้องตัวแรกมีแฟลช LED วางอยู่ข้าง ๆ

ด้านหลังตัวเครื่องออกแบบมาให้โค้งเข้ารับกับอุ้งมือเป็นอย่างดี บวกกับตัวเครื่องเป็นจอโค้งก็ยิ่งทำให้จับถือได้ง่ายขึ้นไปอีก ด้านขวาของตัวเครื่องโล่ง ๆ ไม่มีอะไร ส่วนด้านขวามีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดปิด ด้านล่างตัวเครื่องมีช่องใส่ซิม พอร์ต USB-C  2.0 และลำโพงหลัก ส่วนด้านบนมีลำโพงตัวที่สอง และมีการสลัก Sound By JBL ไว้ด้วย

และที่สำคัญ ในรุ่นนี้ตัวเครื่องมีความบางเพียงแค่ 6.8 มม. เท่านั้น ซึ่งถือว่าบางมาก ๆ ในบรรดามือถือยุคปัจจุบัน แถมยังมีน้ำหนักตัวเครื่องเพียงแค่ 162 กรัมเท่านั้น บอกเลยว่า เครื่องสวย เบา และบาง ทำออกมาได้เกินราคามาก ๆ

หน้าจอ AMOLED สีสันสดใส แถมได้ Always-On ด้วย

นอกจากเรื่องดีไซน์แล้ว Infinix Hot 50 Pro+ ยังมาพร้อมกับหน้าจอ 3D-Curved AMOLED ขนาดใหญ่ 6.78 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (1080 x 2460 พิกเซล) ขนาดใหญ่กำลังดี สีสันก็สวยสมเป็น AMOLED รองรับอัตรารีเฟรช 120Hz ให้เข้ากับยุคสมัย จะเอาไปเล่นเกม ดูหนัง ก็ฟิน ๆ แถมขอบจอทั้ง 4 ด้าน ถือว่ามีความบางมาก ๆ เมื่อเทียบกับมือถือใกล้เคียงกัน แม้ขอบเครื่องจะบาง แต่เสริมความแข็งแกร่งด้วยจอ Corning Gorilla Glass ป้องกันรอยขีดข่วนแล้วยังป้องกันตกจากที่สูง 1 เมตรทั้ง 4 มุม

แถมยังมี Always-On Display มาให้ด้วยนะ ส่วนหน้าจอความสว่างมีมาให้อยู่ที่ 1300 นิต สามารถใช้งานกลางแจ้งได้ระดับนึง ถ้าเป็นแดดจ้า ๆ อาจจะเอาไม่อยู่ และยังมีสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอมาให้ด้วย ในการใช้จริงทำออกมาได้ดีมาก สแกนได้ค่อนข้างเร็ว และแม่นยำมาก ๆ ยังไม่เจอสแกนไม่ติด

ด้วยดีไซน์จอโค้ง สำหรับคนที่กลัวว่า จอจะลั่นง่ายไหม ทางแบรนด์ก็มีการนำเทคโนโลยี Curved Screen Anti-Mistouch มาช่วยให้จอไม่ลั่น ในการใช้งานจริง ถือว่าช่วยได้เยอะมาก ๆ แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบหน้าจอแบบโค้งอาจจะต้องหันไปมองรุ่น Hot 50 Pro เพราะรุ่นนี้เป็นรุ่นจอแบน แต่ก็ยังได้จอ AMOLED มาเหมือนกัน

Infinix Hot 50 Pro+ สามารถดูวิดีโอบน YouTube ได้ที่ความละเอียด 1440p60 และรองรับ Widevine DRM L1 สามารถดู Netflix ความละเอียด FHD ได้

นอกจากนี้ยังรองรับ Wet & Greasy Touch Precision  จะมือมัน หรือมือเปียกก็ยังสามารถทัชหน้าจอได้ หรือสแกนนิ้วโดยที่มือเปียกน้ำก็สามารถทำได้เช่นกัน 

สเปค Infinix Hot 50 Pro+

  • จอภาพ : ขนาด 6.8 นิ้ว AMOLED
    • ความละเอียด Full HD+ 1080 x 2460 พิกเซล
    • สว่างสูงสุด 1300 นิต
    • อัตรารีเฟรช 120Hz
    • รองรับ Always-on display, สัมผัสขณะนิ้วเปียก
  • ชิปเซต : Mediatek Helio G100 (6 nm)
    • GPU Mali-G57 MC2
  • RAM 8GB (ขยายเพิ่มได้อีก 8GB)
  • ROM 256GB
  • กล้องหลัง :
    • กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล, รูรับแสง f/1.6, 27mm (wide), ขนาดเซนเซอร์ 1/2.76″, Auto Focus
    • กล้องวัดระยะ 2 ล้านพิกเซล
    • เซนเซอร์วัดแสง
  • กล้องหน้า : 13 ล้านพิกเซล, รูรับแสง f/2.0
  • ระบบเสียง : ปรับแต่งโดย JBL
    • รองรับ FM radio
  • แบตเตอรี่ : 5,000 mAh
    • รองรับชาร์จไว 33W
  • การเชื่อมต่อ
    • 4G
    • Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac
    • Bluetooth ไม่ระบุเวอร์ชั่น
    • NFC
  • พอร์ต
    • USB Type-C 2.0, OTG
    • หูฟัง 3.5 มม.
    • ซิม : รองรับ 2 ซิม (Nano-SIM, dual stand-by)
  • เซนเซอร์ : สแกนนิ้วบนหน้าจอ, accelerometer, proximity, compass
  • ความทนทาน : กันน้ำกันฝุ่น IP54
  • ระบบปฏิบัติการ : XOS 14.5 บนพื้นฐาน Android 14
  • ขนาด : ระบุแค่ความบาง 6.8 มม.
  • น้ำหนัก: 162 กรัม

ชิปเซต

Infinix Hot 50 Pro+ มาพร้อมชิปเซต MediaTek Helio G100 ขนาด 6nm ควบคู่กับความจุภายในขนาด 256GB แบบ UFS 2.2 และรองรับ MicroSD ถึง 2TB ส่วนแรมให้มาที่ 8GB สามารถขยายเพิ่มเป็น 16GB ได้ แน่นอนว่าสามารถใช้งานทั่วไปได้อย่างลื่นไหล หรือแม้แต่การใช้งาน 2 หน้าจอก็สามารถใช้งานได้ไม่มีสะดุดเช่นกัน นอกจากนี้ทางแบรนด์มีการเคลมว่าได้รับการรับรองจาก TUV Fluency สามารถใช้งานมือถือได้อย่างลื่นไหลแม้จะผ่านไป 5 ปี (ครั้งแรกในโลก)

ในการทดสอบ GeekBench ได้คะแนน Single-Core 730 คะแนน และ Multi-Core 1989 คะแนน

ทดสอบการเล่นเกม

ทดสอบเกม ROV

เราปรับการแสดงผลไว้ที่สูง เฟรมเรตเกาะอยู่ที่ 59-60 fps ทดลองเล่น 3 เกมติด ๆ กัน ใช้เวลาเล่นไปประมาณ 40 นาที ผลคือเล่นได้อยู่ในระดับที่ดี แถมความร้อนก็จัดการได้ค่อนข้างประทับใจ ตัวเครื่องแค่อุ่น ๆ เท่านั้น

ทดสอบเล่นเกม PUBG

เราปรับการแสดงผลไว้ที่ลื่นไหล เฟรมเรต Ultra ทดลองเล่น 2 เกมติดกัน ใช้เวลาเล่นไปประมาณ 40 นาที เฟรมเรตเกาะอยู่ที่ 39-40 fps ถือได้อยู่ในระดับที่ดี มีโหลดฉากบ้างตอนที่ขับรถเร็ว ๆ และตัวเครื่องร้อนกว่าเกม ROV นิดนึง แต่ถือว่าไม่ได้ร้อนจนเล่นเกมต่อไม่ได้

ทดสอบเล่นเกม Free Fire

เราปรับกราฟิกไว้ที่ระดับสูง ทดลองเล่น 2 เกมติดกัน ใช้เวลาเล่นไปประมาณ 40 นาที เฟรมเรตเกาะอยู่ที่ 63-70 fps เล่นได้อยู่ในระดับที่ดีมาก แต่ตัวเครื่องร้อนกว่า 2 เกมแรก และถ้าเล่นนาน ๆ ระดับชั่วโมง เฟรมเรตก็จะดรอปลงมาบ้าง แนะนำให้ปรับกราฟิกลง จะเล่นได้นานกว่า

สังเกตได้ว่าความร้อนของตัวเครื่องจะออกมาทางหน้าจอมากกว่าด้านหลัง เวลาถือเล่นเกมจริงไม่ค่อยรู้สึกว่าเครื่องร้อน แถมตัวเครื่องยังมาพร้อมกับระบบระบายความร้อน Ultra-Crystalline Graphite Cooling ช่วยให้ตัวเครื่องมีความร้อนน้อยลง เวลาที่เล่นเกมหนัก ๆ (แต่ก็ยังมีอยู่นะ)

เพิ่มเติมคือ ตัวเครื่องมี X-Boost ปรับการทำงานของตัวเครื่องระหว่างเล่นเกมได้ รวมถึงปรับส่วนเสริมของเกมเพลได้ในนี้เช่นกัน รวมถึงฟีเจอร์ By Pass ชาร์จไฟเข้าตัวเครื่องขณะเล่นเกมก็มีมาให้เหมือนกันนะ เอาใจสายเกมสุด ๆ

การถ่ายภาพ

Infinix Hot 50 Pro+ มาพร้อมกับกล้องหลังทั้งหมด 2 ตัว ประกอบด้วยกล้องหลัก 50MP กล้องระยะ 2MP และเซนเซอร์วัดแสง

ในการทดลองถ่ายภาพ เครื่องก็สามารถถ่ายภาพออกมาได้อยู่ในระดับที่ดีใช้ได้ ในสภาวะแสงเพียงพอ สีสันส่วนใหญ่จะไปในโทนสดใส ภาพมีความคมชัดใช้ได้ ชัตเตอร์ก็ถือว่าเร็วใช้ได้ แต่การประมวลผลภาพหลังจากถ่ายมีให้รอนิดนึง

ส่วนในสภาวะแสงน้อยก็ถือว่าทำได้ออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว มีโหมดกลางคืนมาให้ใช้ ซึ่งคุณภาพก็ใช้ได้ มีการเกลี่ย Noise ให้น้อยลง และภาพยังมีความคมชัดอยู่ระดับนึง แต่ช่วงที่กดชัตเตอร์ก็ต้องรอประมวลผลตามปกติของโหมดกลางคืน รุ่นนี้ยังสามารถถ่ายภาพมาโครได้ด้วย

งานภาพถ่ายบุคคลกล้องหลังก็ถือว่าทำออกมาได้อยู่ในระดับที่ดี สามารถเบลอหลังได้เนียนระดับนึง ถ้าอยากได้แบบเนียน ๆ ก็ต้องปรับค่า f ให้พอดี

เพิ่มเติมคือ มี Sky shop เปลี่ยนสีท้องฟ้า ทำออกมาได้เนียนระดับนึงเลย เปลี่ยนท้องฟ้าหม่น ๆ ของกรุงเทพให้เป็นท้องฟ้าสดใส ๆ ของญี่ปุ่นได้ แต่ถ่ายแล้วนำมาปรับทีหลังไม่ได้ อยากได้ท้องฟ้าแบบไหนก็เลือกกันให้ดี ๆ ก่อนถ่ายนะ

ส่วนกล้องหน้า ถือว่าทำออกมาได้ระดับที่น่าพอใจ มีการขุดรายละเอียดบนใบหน้าค่อนข้างเยอะ แต่สกินโทนถือว่าอยู่ในระดับที่โอเค โหมดบิวตี้ที่ให้มาก็พอใช้ได้ แถมยังมีแฟลชกล้องหน้ามาให้ด้วย 

ลำโพงแบบคู่

ลำโพงเป็นลำโพงแบบคู่ จูนเสียงโดย JBL คุณภาพของเสียงถือว่าทำออกมาได้อยู่ในระดับที่พอใช้ ยังขาดรายละเอียดไปบ้าง และเสียงค่อนข้างเบา แต่โดยรวมถือว่าใช้ได้

INFINIX AI

AI Eraser ลบวัตถุ ที่จำไม่เป็นออกจากภาพ (AI อาจจะยังไม่เก่งมาก ยังไม่มีระบบจับแบบอัตโนมัติ หากลบวัตถุส่วนเกินที่มีพื้นหลังสีเดียวพื้นๆ จะลบได้ดี แต่หากอยู่ใกล้วัตถุอื่น หรือพื้นหลังมีลายเยอะๆ จะยังไม่ค่อยเนียน)

AI Wallpaper แปลงภาพเป็นวอลเปเปอร์เป็นภาพการ์ตูนได้ มีให้เลือกหลายแบบ เช่น การ์ตูนญี่ปุ่น การ์ตูนอเมริกัน หรือแม้แต่รูปภาพสัตว์ก็สามารถแปลงได้

Ask AI สรุปเนื้อหา เขียนอีเมล มีมาให้เช่นกัน แต่ยังไม่รองรับภาษาไทย

แบตเตอรี่

ถึงแม้ตัวเครื่องจะมีความบางเพียงแค่ 6.8 มม. แต่ก็ยังสามารถยัดแบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh มาให้ ซึ่งความจุนี้ก็เป็นขนาดมาตรฐานสำหรับมือถือในปัจจุบัน แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีแบรนด์อื่นที่ให้มาเยอะกว่านี้เหมือนกัน ส่วนความเร็วในการชาร์จรุ่นนี้ให้มาที่ 33W ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่โอเค เพิ่มเติมคือทางแบรนด์มีการเคลมไว้ว่าแบตเตอรี่สามารถใช้งานได้นานถึง 4 ปี โดยที่สุขภาพแบตเตอรี่จะไม่ต่ำกว่า 80%

เราได้นำมือถือมาทดสอบแบบสุดโหด โดยตั้งค่าแสงหน้าจอไว้ที่ 100% และนำมาถ่ายวิดีโอความละเอียด 1080p 30fps เป็นระยะเวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที เล่นเกม Free Fire เป็นเวลา 23 นาที ต่อด้วยเกม Genshin Impact เป็นเวลา 34 นาที และทำการทดสอบ GeekBench 6 เป็นเวลา 10 นาที ผล Screen On Time อยู่ที่ 4 ชั่วโมง 16 นาที หลายคนอาจจะตกใจกับตัวเลขที่ดูน้อย แต่ต้องไม่ลืมว่าการทดสอบของเราก็โหดไม่เบาในการใช้งานจริงในแต่ละวัน แน่นอนว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานมากกว่านี้ สำหรับคนที่ใช้งานทั่วไปใช้งานได้จนหมดวันแบบไม่น่าห่วง แต่ถ้ามีเล่นเกมหนัก ๆ ระหว่างวัน และมีไปเที่ยวต่อ อาจจะต้องพกแบตเตอรี่สำรองไว้เพื่อความอุ่นใจ

ข้อดี

  • ดีไซน์สวย 
  • เครื่องเบา
  • จอ AMOLED
  • กันน้ำกันฝุ่น IP54
  • ลำโพงคู่
  • มีแฟลชกล้องหน้า
  • แถมสายชาร์จ เคส ฟิล์มมาให้ในกล่อง

ข้อสังเกต

  • กล้องหลังมีความนูนระดับนึง 
  • ตำแหน่งของลำโพงบังนิ้วขณะเล่นเกม 
  • ภาษาไทยในเครื่องยังแปลออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร 

Infinix Hot 50 Pro รุ่นน้องจอแบน

สำหรับคนที่ชอบสเปค Infinix Hot 50 Pro+ จัง แต่ว่าไม่ชอบจอโค้ง Infinix เขาก็มีอีกรุ่นอย่าง Infinix Hot 50 Pro ที่มาในดีไซน์จอแบน แต่สเปคภายในแทบจะเหมือนกันหมด ต่างกันแค่จุดเล็กๆ น้อย เท่านั้น

ความแตกต่างระหว่าง Infinix Hot 50 Pro+ และ Infinix Hot 50 Pro

  • HOT 50 Pro+ มีน้ำหนัก 162 กรัม ซึ่งเบากว่า Hot 50 Pro ที่มีน้ำหนักและขนาดที่มากกว่าที่ 190 กรัม
  • HOT 50 Pro+ มี Corning Gorilla Glass 
  • HOT 50 Pro+ หน้าจอโค้ง ส่วน Hot 50 Pro เป็นหน้าจอธรรมดา แต่ขนาดเท่ากัน เป็น Amoled เหมือนกัน
  • HOT 50 Pro+ มีความละเอียดกล้องหน้า 13MP ส่วน Hot 50 Pro มีความละเอียดกล้องหน้า 8MP
  • HOT 50 Pro+ ไม่มีช่องเสียบหูฟัง ส่วน HOT 50 Pro มีรูช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.

สรุป

Infinix Hot 50 Pro+ เป็นมือถือรุ่นนึงที่น่าสนใจมากในเรตราคา 6,500 บาท ตัวเครื่องโดดเด่นในเรื่องของดีไซน์ที่สวยงาม และเครื่องบางแค่ 6.8 มม. ตัวเลขนี้หาได้ค่อนข้างยากในมือถือปัจจุบัน แถมในราคาเท่านี้ยังได้จอ AMOLED สีสันสวยงามมาเพิ่มความน่าใช้เข้าไปอีก ทางแบรนด์ยังมีการแถมเคส อุปกรณ์ต่าง ๆ มาให้ภายในกล่อง ไม่ต้องไปหาซื้อแยก แต่หากชอบจอแบน หรือมีงบที่น้อยกว่าลงมาหน่อย ก็ไปที่ Infinix Hot 50 Pro ที่ได้ชิปมาใช้งานเหมือนกัน 

ราคา และการวางจำหน่าย

Infinix Hot 50 Pro+ มีตัวเลือกสีทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีเทา Titanium grey, สีดำ Sleek black และสีม่วง Dreamy purple และมีให้เลือกแค่ความจุเดียว

  • 8GB + 256GB ในราคา 6,499 บาท

Infinix Hot 50 Pro มีตัวเลือกสีทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีเทา Titanium grey และสีดำ Sleek black และมีให้เลือกแค่ความจุเดียว

  • 8GB + 256GB ในราคา 5,499 บาท