Infinix NOTE 40 Pro+ เปิดตัวในบ้านเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กับดีไซน์ที่ได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่ ดูพรีเมียมสะดุดตามากขึ้น แถมในรอบนี้รุ่นท็อปสุดยังอัปเกรดความพิเศษขึ้นในหลาย ๆ อย่าง เช่นสเปคการชาร์จที่รอบนี้รองรับชาร์จไวสูงสุดถึง 100W แถมยังรองรับการชาร์จไร้สายถึง 20W พร้อมระบบเสียงที่จูนโดย JBL เหมือนเดิม ซึ่งรอบนี้จะทำได้สมราคาหรือไม่ เราก็ได้ลองเล่นกันมาแล้ว

เครื่องบางเฉียบ กับวัสดุหนังวีแกน

Infinix Note 40 Pro+ รอบนี้มีการปรับดีไซน์ดีไซน์ให้คล้าย ๆ กับ Infinix Zero 30 5G ที่เปิดตัวเมื่อช่วงกลางปีก่อน โดยสีที่เราได้มาเป็นสีเขียว Vintage Green ซึ่งเลือกใช้วัสดุฝาหลังเป็นหนังวีแกนสัมผัสดี ไม่ติดลายนิ้วมือ ในดีไซน์แบบโค้งรับมือ ตัดด้วยขอบเฟรมสีทอง ทำให้ภาพรวมดีไซน์รอบนี้ออกมาดูดีพอสมควร

จุดเด่นของดีไซน์ของรุ่นนี้อยู่ที่ความบาง 8.09 มม. แต่น้ำหนักตัวเครื่องประมาณ 190 – 196 กรัม (ขึ้นอยู่กับวัสดุตัวเครื่อง) ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่กำลังพอดีมือ ไม่หนัก และไม่เบาเกินไป แถมตัวเครื่องยังรองรับมาตรฐานทนละอองน้ำระดับ IP53 ด้วย

ตัวเครื่องด้านซ้ายรุ่นนี้จะไม่มีปุ่มใด ๆ ส่วนด้านขวามีปุ่มเพิ่มลดเสียง และปุ่ม Power ด้านบนประกอบไปด้วยช่องไมโครโฟน ช่องเซนเซอร์ IR Blaster สำหรับใช้งานเป็นรีโมตคอนโทรล และมีช่องลำโพงตัวที่ 2 พร้อมสลักโลโก้ Sound by JBL เพื่อการันตีว่ารุ่นนี้ได้แบรนด์เครื่องเสียงดังมาช่วยจูนเสียงให้

ส่วนด้านล่างมากับช่องใส่ซิมการ์ด ที่ใช้ถาดซิมแบบ Dual Slot ใส่ได้ 2 ซิมหน้า-หลัง ไม่รองรับ microSD Card ถัดมามีไมโครโฟนสนทนาหลัก, พอร์ต USB-C และช่องลำโพงอีก 1 ตัว

Infinix Note 40 Pro+ มาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมครบกล่องทั้งสายชาร์จ และหัวชาร์จเร็ว All-Round Fast Charge 100W ในรูปแบบพอร์ต USB-C to USB-C มีเคสแข็ง พร้อมฟิล์มกระจกแถมให้ในกล่อง (ไม่ได้ติดมาให้จากโรงงาน ต้องติดเอง) นอกจากนี้ยังมี MagPad ฐานชาร์จไร้สายแม่เหล็กความเร็ว 15W มาให้ด้วย เรียกได้ว่าแกะกล่องก็พร้อมให้งาน ไม่ต้องซื้อใหม่เลย

หน้าจอใหญ่ จับถนัดมือ ได้ลำโพง JBL

Infinix Note 40 Pro+ รอบนี้ได้จับจอโค้ง 3D มาใส่ในซีรีส์ Note เป็นครั้งแรก ใช้พาเนล LPTS AMOLED ความละเอียด Full HD+ (2,436 x 1080 พิกเซล) ให้สีสันสดใสในขนาด 6.78 นิ้ว โดยมีพื้นที่จอต่อตัวเครื่องถึง 93.60% ในอัตราส่วนเพรียวยาวจับถนัดมือรองรับรีเฟรชเรตที่ 120Hz ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5 ทนรอยขีดข่วนได้ในระดับหนึ่ง

ตัวจอแสดงผลรุ่นนี้ทำความสว่างได้สูงสุด 1,300 nits ช่วยให้มองเห็นในที่แสงแดดจัด ๆ ได้ในระดับหนึ่ง สำหรับการเล่นเกมนั้นตัวจอรองรับ Touch Sampling Rate สูงสุดที่ 360Hz สัมผัสเล่นเกมได้หนึบติดนิ้ว นอกจากนี้ยังรองรับการสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ

ส่วนมาตรฐานการแสดงผลนั้น รุ่นนี้รองรับการแสดงผลบน YouTube สูงสุด 1440P HDR @60FPS ซึ่งจริง ๆ แล้วตัว YouTube สามารถปรับความละเอียดสูงสุดได้ที่ 4K HDR@60FPS แต่เมื่อกดแล้วตัวแอปจะเด้งความละเอียดเหลือเพียงแค่ 480P เท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นที่บั๊กของตัวระบบ เพราะตัวเครื่องที่เราได้มาทดสอบนั้นยังเป็นซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นที่ยังไม่สมบูรณ์

การรับชมคอนเทนต์ผ่าน Netflix นั้น รุ่นนี้รองรับมาตรฐาน Widevine L1 รับชมคอนเทนต์แบบ Full HD ได้ ส่วนลำโพงคู่ JBL ในรุ่นนี้ ถือว่าอยู่ในเกณท์ที่ค่อนข้างใช้ได้ ย่านแหลมเด่น เบสค่อนข้างน้อย ส่วนใครเป็นสายคัสตอมในรุ่นนี้มีโหมดเสียง DTS และ Equalizer ให้เลือกปรับเพิ่มเติมด้วยตัวเอง

ระบบไฟ RGB AI สุดแจ่ม Halo Light

Infinix Note 40 Pro+ รวมถึงรุ่นอื่น ๆ ในซีรีส์มีการเปิดตัวระบบสนุก ๆ ตัวใหม่ที่มีชื่อว่า ไฟฮาโล หรือ Halo Light โดยมีตำแหน่งอยู่ที่วงกลมกลางไฟแฟลช LED แบบวงแหวน เข้าไปตั้งค่าเปิดไฟ Halo ได้ที่หน้าตั้งค่า > เปิดไฟฮาโล แล้วเลือกสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ต้องการให้ไฟติด เช่น

  • เมื่อมีคนโทรเข้า
  • เมื่อมีการแจ้งเตือน
  • เมื่อชาร์จแบตเตอรี่
  • เมื่อเล่นเกม
  • เมื่อฟังเพลง
  • เมื่อเรียกใช้ผู้ช่วยอัจฉริยะ Folax

นอกจากนี้เรายังสามารถเลือกปรับสี และจังหวะการกะพริบของไฟ Halo Light ได้ในหน้า “การตั้งค่าเอฟเฟกต์แสง” โดยสามารถเลือกปรับสีได้ 16 แบบ และปรับจังหวะการกะพริบได้ 3 รูปแบบ คือแบบมีชีวิตชีวา ที่ค่อย ๆ ไล่กะพริบไฟไปสีละดวง, แบบเป็นจังหวะ กะพริบพร้อมกันทุกดวง และแบบ AI ที่ช่วยปรับการกะพริบได้ลื่นไหล ไม่มีจังหวะตายตัว

ประสิทธิภาพการใช้งาน Infinix Note 40 Pro+ เป็นอย่างไร?

Infinix Note 40 Pro+ มาพร้อมกับชิป Dimensity 7020 ที่ประสิทธิภาพ Benchmark แรงกว่า Snapdragon 695 แต่ GPU จะแรงน้อยกว่านิดหน่อย มาพร้อมความจุ RAM LPDDR4x 12GB + 256GB ทำให้สลับใช้งานแอปต่าง ๆ ได้สะดวก รองรับการเปิดแอปพร้อมกันได้ 3 หน้าต่าง (แบ่งครึ่ง 2 แอป + หน้าต่างลอย 1 แอป) ซึ่งเมื่อเปิดใช้งานในรูปแบบดังกล่าวแล้วจะมีการปรับรีเฟรชเรตลงมา ทำให้ดูไม่ลื่นไหลเท่าใช้งานแอปหน้าต่างเดียว

ในรุ่นนี้ติดตั้งมาพร้อมกับ XOS 14 บน Android 14 รองรับการคัสตอมตกแต่งหน้าจอ LockScreen รวมถึงสี UI ต่าง ๆ ได้ มีฟีเจอร์ Generate ภาพวอลล์เปเปอร์ด้วย AI ได้สูงสุด 6 ภาพต่อวัน ส่วนเรื่องของแอปขยะ หรือ Bloatware นั้นรุ่นนี้มีติดมานิดหน่อย แต่หลาย ๆ แอปสามารถลบได้หากไม่ได้ใช้งาน และไม่มีโฆษณาแนะนำแอปมาให้รกหูรกตา

นอกจากนี้ Infinix Note 40 Pro+ ยังมากับแอปผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Forex AI ที่ใช้ ChatGPT (โมเดล GPT-3) สามารถตอบคำถาม ดราฟต์หัวข้อต่าง ๆ คิดคอนเทนต์ สั่งการผ่านเสียงได้ แต่ตอนนี้น่าเสียดายที่ตัว AI รองรับแค่ภาษาอังกฤษเท่านั้น ใครไม่ค่อยถนัดภาษาจะใช้งาน Google Assistance แทนก็ได้เช่นกัน

สเปค Infinix Note 40 Pro+

  • จอภาพ : จอโค้ง 3D AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว
    • ความละเอียด FHD+ (1080 x 2436 พิกเซล)
    • สว่างสูงสุด 1,300 นิต
    • อัตรารีเฟรช 120Hz
  • ชิปเซต : Dimensity 7020
  • RAM LPDDR4x: 12GB
  • ROM UFS 2.2 : 256GB
  • กล้องหลัง 3 ตัว :
    • กล้องหลัก 108MP (𝑓/1.8), กันสั่น OIS
    • กล้องรองไม่ระบุเซนเซอร์ 2MP (𝑓/2.4)
    • กล้องรองไม่ระบุเซนเซอร์ 2MP (𝑓/2.4)
  • กล้องหน้า : 32MP (𝑓/2.2)
  • เสียง : ลำโพงสเตอรีโอ Hi-Res Audio
    • จูนเสียงโดย JBL
  • แบตเตอรี่ : 4,600 mAh
    • รองรับชาร์จไว 100W
    • รองรับชาร์จไร้สาย 20W ผ่านอุปกรณ์ Mag Charge
  • การเชื่อมต่อ :
    • 5G
    • Wi-Fi 5
    • Bluetooth
    • NFC
  • พอร์ต : USB Type-C 2.0
  • เซนเซอร์ สแกนลายนิ้วมือใต้จอ, accelerometer, gyro, proximity, compass
  • ความทนทาน : ทนน้ำและฝุ่น IP53
  • ระบบปฏิบัติการ : XOS 14 บนพื้นฐาน Android 14
  • ขนาด / น้ำหนัก: 164.3 x 74.5 x 8.1 มม. / 190 – 196 กรัม (ขึ้นอยู่กับวัสดุตัวเครื่อง)

ทดสอบการเล่นเกมบน Infinix Note 40 Pro+

ถึงแม้ว่าจะมีการปรับลุคไปในแนวทางที่ดูเป็นมือถือแบบไลฟ์สไตล์มากขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งคราบความเป็นมือถือเล่นเกม เพราะรุ่นนี้ยังคงมาพร้อมกับฟีเจอร์ XBOOST ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกม รวมเมนูการตั้งค่าฟีเจอร์ลัดต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเล่นเกมมาไว้ข้างจอ ช่วยให้เลือกเปิดได้สะดวก นอกจากยังมีระบบ Bypass Charge ต่อสายชาร์จจ่ายไฟเข้าเครื่องโดยตรง ไม่ผ่านแบตเตอรี่ทำให้เล่นไปชาร์จไปแล้วอุณหภูมิไม่สูง แบตเตอรี่ไม่เสื่อมด้วย

สำหรับประสิทธิภาพการเล่นเกมนั้น เนื่องจากตัวเครื่อง Infinix Note 40 Pro+ ที่เราได้มานั้นยังเป็นซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นที่ยังไม่สมบูรณ์ดี รวมถึง GPU อย่าง IMG BXM-8-256 ยังไม่ได้รับการปรับ Optimize จากเกมยอดฮิตในบ้านเราเท่าที่ควร ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของการเล่นเกมนั้นออกมา ดังนี้

Free Fire

Free Fire เป็นเกมที่ได้รับการปรับ Optimized ให้เล่นกับ Infinix Note 40 Pro+ ได้ดี สามารถปรับกราฟิกในโหมดระดับสูงได้ สามารถเล่นในโหมด 90FPS ได้ด้วย แต่เนื่องจากตัวระบบไม่มีฟีเจอร์ Monitor เฟรมเรต จึงบอกไม่ได้ตรง ๆ ว่าเฟรมเรตเสถียรแค่ไหนเมื่อเล่นในโหมดกราฟิกสูงสุด แต่จากความรู้สึกส่วนตัวแล้ว น่าจะวิ่งอยู่ที่ประมาณ 50FPS เท่านั้น ถ้าอยากเล่นที่เฟรมเรตสูง ๆ แนะนำให้ปรับเป็นระดับกลางจะลื่นไหลกว่า

ROV

สำหรับเกม ROV นั้นสามารถปรับกราฟิกได้ที่โหมดภาพแบบสูงมาก + การแสดงผลในระดับสูง แต่เฟรมเรตรองรับสูงสุดที่ 45FPS เท่านั้นเพราะตัวเกมยังไม่ได้รับการ Optimized ให้เข้ากับ GPU ที่รุ่นนี้ใช้ ทำให้รีดพลังการประมวลผลกราฟิกได้ไม่เต็มที่ ในอนาคตหากมีการอัปเดตจุดนี้ น่าจะเล่นได้ที่ 60FPS นิ่ง ๆ แน่นอน

Genshin Impact

Infinix Note 40 Pro+ สามารถเล่น Genshin Impact ได้ในโหมดกราฟิกระดับต่ำ โดยเฟรมเรตน่าจะวิ่งอยู่ที่ประมาณ 30FPS ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์พอเล่นได้เท่านั้น

กล้อง Infinix Note 40 Pro+ ดีแค่ไหน?

Infinix Note 40 Pro+ มากับชุดกล้องหลัง 3 ตัวที่ประกอบไปด้วยกล้องหลักความละเอียดสูง 108MP มีระบบกันสั่น OIS + กล้อง Macro 2MP + กล้อง Depth 2MP

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง

ส่วนคุณภาพของภาพที่ถ่ายจากรุ่นนี้นั้น โทนสีจะออกมาในโทนธรรมชาติ สีสันไม่จัดจ้านมากถ้าไม่เปิดโหมด AI ช่วยจูนสี และจะดัน Sharpness ขึ้นมาค่อนข้างเยอะ Dynamic Range ไม่ได้กว้างมากจึงมีปัญหาเรื่องดีเทลหายบ้างถ้าเจอแสงจัด ๆ หรือหน้ามืดเมื่อถ่ายภาพย้อนแสง

ด้วยความที่ตัวกล้องหลักความละเอียดค่อนข้างสูง รุ่นนี้จึงได้ใส่ระบบ In-Sensor Zoom ซูม 3 เท่าโดยไม่สูญเสียความละเอียดมาให้ ถึงถือว่าใช้การได้ดีมาก ๆ หากต้องการถ่ายวัตถุระยะใกล้ในพื้นที่ที่เราเอื้อมไม่ถึง ใช้ถ่ายแทนเลนส์ Macro ได้เลย

โหมด Portrait ในรุ่นนี้เรียกว่ามีให้แบบครบ ๆ ทั้งปรับใบหน้าสวย ปรับหุ่นสวย ซึ่งถ้าถ่ายด้วยโหมดระยะ 1x แบบปกติแล้วถือว่าทำได้ดีพอสมควร แต่เมื่อไหร่ที่ถ่ายในระยะ 3x แล้ว จะมี Noise บนภาพพอสมควร

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องเซลฟี่

กล้องเซลฟี่ในรุ่นนี้ให้มาที่ 32MP ซึ่งคุณภาพค่อนข้างธรรมดาไปนิด รายละเอียดต่าง ๆ ออกมาในแนวฟุ้ง ๆ มัว ๆ โหมดบิวตี้เบลอผิวเป็นปื้น ๆ ซึ่งใครที่เป็นสายเซลฟี่ รุ่นนี้อาจให้ภาพที่ยังไม่ค่อยโดนใจแบรนด์ใหญ่ที่เด่นในด้านดีมากนัก

ตัวอย่างงานวิดีโอ

Infinix Note 40 Pro+ รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 2K@30FPS ถ้าเปิดโหมดกันสั่นหรือโหมดหน้าชัดหลังเบลอจะถูกปรับเป็น 1080P@30FP ทันทีทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง ส่วนโหมดบิวตี้จะรองรับที่ 720P เท่านั้น ซึ่งคุณภาพไฟล์ต้องบอกว่าพอถูไถ เพราะถ้าไม่เปิดโหมดกันสั่น เวลาเดินลงเท้าค่อนข้างสั่นพอสมควร

แบตเตอรี่ 4,600 mAh ใช้ได้ทั้งวันรึเปล่า?

ถึงแม้ว่า Infinix Note 40 Pro+ จะให้แบตเตอรี่มาเพียงแค่ 4,600 mAh แต่การใช้งานหนัก ๆ ก็ถือว่าดีมาก ๆ เพราะจากที่ได้ลองทดสอบ ใส่ซิม 5G เปิดแสงจอสุด 100% รับชม YouTube 1440P@30FPS HDR ติดต่อกัน 2 ชั่วโมงครึ่ง เล่น Genshin Impact และ PUBG Mobile นาน 1 ชั่วโมงครึ่ง และถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดติดต่อกัน 1 ชั่วโมง

กิจกรรมทั้งหมดนี้รวมระยะเวลา On-Screen 5 ชั่วโมงนิด ๆ จากแบตเตอรี่ 100% เหลือประมาณ 20% ซึ่งถ้าใช้งานทั่วไป น่าจะอยู่ได้นานเต็มวันสบายหายห่วง

ถ้าจำเป็นต้องชาร์จระหว่างวัน หรือเล่นติดต่อกันนานเกินแล้วลืมชาร์จ รุ่นนี้ก็มีจุดเด่นเรื่องระบบชาร์จไว 100W ซึ่งน่าจะเร็วที่สุดแล้วในระดับราคานี้ การันตีใช้เวลาชาร์จจาก 1 – 50% เพียง 8 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จแบบไร้สายที่ 20W ไม่ว่าสถานการณ์ไหนก็ชาร์จได้สะดวกสุด ๆ

สรุปการใช้งาน Infinix Note 40 Pro+

Infinix Note 40 Pro+ เรียกได้ว่าเป็นการยกระดับดีไซน์ครั้งใหญ่ของซีรีส์ราคาประหยัด ที่ดูแล้วมีความลงตัว มีความเป็น Lifestyle Phone ที่ดูดีกว่ารุ่นก่อน ๆ อีกทั้งมีฟีเจอร์สนุก ๆ อย่าง Halo Light เข้ามาเป็นของเล่นเพิ่มเติมให้ได้ลองใช้งานกันแบบสนุก ๆ มากขึ้น นับเป็นจุดที่ Infinix พัฒนาขึ้นมามากขึ้นพอสมควร

แต่จุดที่ควรพิจารณาในรอบนี้คือคุณภาพของกล้องถ่ายภาพที่ถึงแม้ว่าจะให้เซนเซอร์ 108MP มีกันสั่น OIS มา แต่คุณภาพอาจจะไม่ได้ทำได้ยอดเยี่ยมมากนัก ส่วนเรื่องประสิทธิภาพก็ยังถือว่าตามหลังเพื่อน ๆ ในราคาเดียวกันหลาย ๆ รุ่น ที่ส่วนใหญ่จะได้ Dimensity 7050 หรือ Snapdragon 6 Gen 1 กันหมดแล้ว

การใช้งานทั่วไป Infinix Note 40 Pro+ ก็ถือว่าทำได้ดีครบถ้วน ได้ทั้งจอสวย ๆ ขนาดใหญ่ จับถือสะดวก ได้ลำโพงคู่จาก JBL ที่คุณภาพเสียงอยู่ในระดับที่รับได้ ไม่ขี้เหร่ แถมยังได้ระบบชาร์จไวที่สุดในรุ่น ซึ่งน่าจะตอบโจทย์คนที่ต้องใช้งานมือถือตลอดทั้งวัน เพราะชาร์จแป๊บเดียว ลุยต่อได้สบาย

ราคา และการวางจำหน่าย

Infinix NOTE 40 Pro+ 5G วางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มีให้เลือก 2 สี ได้แก่เขียวหนังวีแกน Vintage Green และสีดำ Obsidian Black ราคา 11,999 บาท ส่วนโปรโมชั่นต่าง ๆ มีดังนี้เลย

  • เมื่อซื้อในช่วงวันที่ 30 เมษายน 2024 ใช้คูปองจากแพลตฟอร์มลดค่าเครื่องเหลือเพียง 10,999 บาท
  • รับเคส Premium Gift Box ลำโพงบลูทูธ + แก้วน้ำ + MagCase ตามสีตัวเครื่อง + ที่ชาร์จไร้สาย เฉพาะ 450 คำสั่งซื้อแรก