iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max เปิดตัวมาอย่างร้อนแรง ของตามร้านตัวแทนจำหน่ายล็อตแรกก็แทบจะหมดทุกสาขา ซึ่งถ้าใครยังลังเลตัดสินใจไม่ถูกว่าจะซื้อดีรึเปล่า การใช้งานจะเป็นอย่างไร เครื่องร้อนและบอบบางกว่ารุ่นก่อน ๆ จริงมั้ย วันนี้เราก็จะจับทั้งสองรุ่นมารีวิวให้เห็นชัด ๆ กันทุกแง่มุมเลย

วัสดุใหม่ ดีไซน์สวยเหมือนเดิม

iPhone 15 Pro Series โดยรวมแล้วยังคงมากับดีไซน์ที่เป็นซิกเนเจอร์ที่ใช้ติดกันมาตั้งแต่ iPhone 11 Pro Series แต่รอบนี้ได้เสริมความพรีเมียมด้วยใช้ขอบเฟรมตัวเครื่องวัสดุไทเทเนียมที่ช่วยให้น้ำหนักตัวเครื่องเบาลงกว่าเดิมพอสมควร ส่วนสีที่เราได้มาในรีวิวในครั้งนี้สีไทเทเนียมธรรมชาติที่เป็นพระเอกหลักของรุ่นนี้ และสีน้ำเงินไทเทเนียมที่ดูเท่ไม่แพ้กัน

จุดที่มีการเปลี่ยนแปลงในด้านดีไซน์รอบนี้คือ ขอบเฟรมตัวเครื่องมีมีการปรับให้มีความโค้งมนขึ้นเล็กน้อย จับแบบไม่ใส่เคสแล้วไม่บาดมือเหมือนในรุ่นก่อน อีกทั้งยังมีการปรับจากขอบที่เป็นดีไซน์แบบเงางาม กลายมาเป็นขอบขัดด้านแนวยาวที่ดูแล้วลงตัวกว่าเดิมมาก ๆ

ส่วนตำแหน่งปุ่มต่าง ๆ ยังคงเหมือนเดิม แต่ก็ยังใช้เคสร่วมกับ iPhone 14 Pro Series ไม่ได้นะ เพราะตอนนี้ปุ่ม Mute Switch ปิดเสียงได้หายไปแล้ว โดยมีปุ่ม Action Button มาแทนที่ซึ่งเวลาใส่เคสรุ่นเก่าแล้ว รูที่เจาะจะมีความเหลื่อม ๆ กัน และกดใช้งานไม่สะดวก

หลาย ๆ เสียงที่บอกว่าขอบไทเทเนียมในรอบนี้เป็นด่างรอยนิ้วมือง่าย ซึ่งจากที่ได้ใช้งานแบบไม่ใส่เคส รวมถึงมีการจับถ่ายรูปรอบตัวเครื่อง ต้องบอกเลยว่าเรื่องนี้ถูกต้องตามที่เขาพูดกันจริง ๆ แต่รอยด่างเหล่านี้ก็สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย ๆ ไม่มีผลต่อการใช้งานนะ

ส่วนจอแสดงผลทั้งสองรุ่นยังคงมาพร้อมกับพาเนล LTPO Super Retina XDR OLED 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้วที่มาในความละเอียด และรีเฟรชเรท 120Hz เท่าเดิม และยังคงมาพร้อมกับเกาะมหัศจรรย์ Dynamic Island ที่มาพร้อมกับแอนิเมชั่น Pop-Up สวย ๆ สนุก ๆ เหมือนเดิม แต่ความพิเศษอยู่ที่ขอบจอแสดงผลที่ดีไซน์ออกมาได้บางกว่าเดิมมาก ๆ ทำให้ดูคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้เต็มตากว่าเดิมมาก ๆ

Mute Switch ปุ่มใหม่ เรียกใช้สะดวก

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าในรอบนี้ Apple ได้เปลี่ยนปุ่ม Mute Switch ปิดเสียงที่อยู่คู่กับ iPhone มานานตั้งแต่แรกเกิด ให้กลายเป็นปุ่มกด Action Button เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งปุ่มที่ว่านี้จะสามารถกดเพื่อใช้ฟีเจอร์ด่วนต่าง ๆ ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยค่า Default ที่มากดตัวเครื่องนั้น จะเป็นการกดค้างเพื่อ เปิด / ปิดเสียงแจ้งเตือน แต่เราสามารถเข้าไปตั้งค่าคำสั่งด่วนต่าง ๆ ได้เองบนหน้า Setting ซึ่งสามารถตั้งค่าได้ ดังนี้

  • เปิดโหมดโฟกัส
  • เปิดกล้อง พร้อมใช้เป็นปุ่มชัตเตอร์
  • เปิดไฟฉาย
  • บันทึกเสียง
  • แปลภาษา
  • แว่นขยาย
  • คำสั่งลัด (เช่น ใช้เปิดแอปต่าง ๆ หรือกดเพื่อหาเพลงบน Shazam)
  • การช่วยการเข้าถึง

USB-C มาแล้วจ้า

iPhone 15 Pro Series ถือเป็นการปิดตำนานพอร์ต Lightning อย่างสมบูรณ์ เพราะในรอบนี้ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับพอร์ต USB-C 3 ที่มาพร้อมกับ DisplayPort ที่รองรับการส่งภาพขึ้นไปบนจอแสดงผลที่ความละเอียดสูงสุด 4K@60Hz ได้เลย

นอกจากนี้พอร์ต USB-C ยังเหมาะกับสายครีเอเตอร์มาก ๆ เพราะตัวสายรองรับการถ่ายโอนข้อมูลแบบ SuperSpeed USB 10Gbps/s ทำให้การส่งไฟล์วิดีโอความละเอียดสูงขึ้นไปตัดต่อบน PC ได้ไม่ติดขัด ทั้งนี้สาย USB-C ที่แถมมากับตัวเครื่องเป็นเพียงแค่เวอร์ชั่น 2.0 ที่รองรับการถ่ายโอนไฟล์สูงสุดได้แค่ 480Mbps/s เท่านั้น ถ้าต้องการความรวดเร็วแบบเต็มสปีดต้องซื้อสายใหม่ที่รองรับ USB-C 3 นะ

กล้องถ่ายภาพชุดเดิม เพิ่มเติมคือเลนส์ Telephoto ซูม 5 เท่า (เฉพาะรุ่น Pro Max)

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง iPhone 15 Pro Series

สำหรับ iPhone 15 Pro Series นั้น โดยรวมแล้วกล้อง 2 ตัว ได้กล้องหลัก 48MP และกล้อง Ultrawide 12MP ยังคงเป็นตัวเดิม แถมยังใช้ชิป A17 Pro ที่มีหน่วยประมวลผลภาพตัวเดียวกัน ทำให้ภาพถ่ายจากทั้ง 2 เลนส์ไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ ซึ่งสไตล์ภาพจากที่ดูแล้วจะมีความติดเขียว ออกมืด ๆ ครึม ๆ เหมือนในรุ่นก่อน การตัดขอบภาพต่าง ๆ ดูเหมือนมีการเร่ง Contrast ทำให้ขอบดูคมกว่าเดิม

และความพิเศษของกล้องที่เพิ่มมาในรุ่นนี้คือระบบ Quad-Pixel ที่สามารถเปลี่ยนระยะ Focal Lenght ได้ 3 ระยะได้แก่ 24 มม., 28 มม. และ 35 มม. โดยใช้หลักการครอปภาพจากความละเอียดเต็ม 48MP เป็นภาพความละเอียด 24MP ทำให้ได้คุณภาพที่ใกล้เคียงกับการซูมแบบ Optical เลยทีเดียว

กล้อง Telephoto รอบนี้ไม่เหมือนกัน

ในรอบนี้ Apple ยังได้สร้างความแตกต่างระหว่าง iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ให้ชัดขึ้นด้วยการเปลี่ยนเลนส์ Telephoto 12MP จากระยะซูม Optical 3 เท่า เป็น 5 เท่า ทำให้บน iPhone 15 Pro Max สามารถซูมแบบดิจิทัลได้ไกลกว่าจากเดิม 15 เท่าเป็น 25 เท่า

ดังนั้นการถ่ายที่ระยะซูม 3 เท่าของ iPhone 15 Pro Series จึงแตกต่างกันพอสมควร เพราะ iPhone 15 Pro จะซูมแบบ Optical ได้ที่ 3 เท่าทำให้ได้รายละเอียดแบบจัดเต็มกว่า ส่วน iPhone 15 Pro Max จะใช้วิธีครอบภาพจากเลนส์หลัก ซึ่งรายละเอียดภาพก็อาจจะไม่คมชัดเท่าการซูมแบบ Optical อยู่แล้ว

กล้องเซลฟี่เป็นอย่างไร?

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า iPhone 15 Pro Series

กล้องเซลฟี่ในรุ่นนี้ยังคงใช้เซนเซอร์ความละเอียด 12MP เหมือนเดิม ซึ่งการประมวลผลภาพต่าง ๆ ยังคงออกมาดูเขียว ๆ มืดหม่นคล้ายเดิมเช่นกัน และปัญหาของรุ่นที่แล้ว ที่ตัวระบบดึง Dynamic Range ออกมาเยอะมาก ๆ จนทำให้ดึงรูขุมขน รอยสิว จุดด่างดำต่าง ๆ บนหน้าให้ชัดขึ้นกว่าเดิมจนน่าตกใจ ในรุ่นนี้ก็ยังประสบปัญหาเหมือนเดิม

เทียบกล้อง iPhone 15 Pro Max vs 14 Pro Max vs 13 Pro Max

เปรียบเทียบภาพถ่ายจาก iPhone 15 Pro Max กับ Samsung Galaxy S23 Ultra

ในสภาวะแสงปกติในตอนกลางวันจากที่ทางทีมงานได้ลองนำไปถ่ายดอกไม้แล้วพบว่า ภาพที่ออกมาของ iPhone 15 Pro Max จะสีสันที่ออกมาจะในโทนเย็น ๆ หม่น ๆ ไม่สดใส และมีการดัน Contrast ขึ้นมาค่อนข้างเยอะ ทำให้ดอกไม้แอบดูแข็ง ๆ นิดหน่อย แต่ก็ช่วยเรื่องรายละเอียดได้ดึงออกมาได้ดีกว่าพอสมควร (สังเกตได้จากกลีบดอกไม้ และผนังคอนกรีตด้านหลัง)

ฝั่ง Samsung ถึงแม้ว่าดีเทลอาจจะไม่สู้ แต่เรื่องของสีสันถือว่าสวยสดกว่าพอสมควร รูปที่ได้จะออกมาในโทนภาพแบบอุ่น ๆ และสามารถดึงดีเทลในจุดที่มีความมืดได้เยอะกว่านิดหน่อย

ส่วนการถ่ายภาพคนต้องบอกว่า Galaxy S23 Ultra ทำได้ดี เหมาะกับผิวคนเอเชียมากที่สุด เพราะสามารถถ่ายออกมาได้ดูเนียน และดูสว่างกว่าพอสมควร แต่สำหรับ iPhone 15 Pro Max นั้นเมื่อถ่ายภาพคนออกมาสีผิวจะดูดรอปลงไปพอสมควร แถมพวกริ้วรอย รูขุมขนต่าง ๆ ยังโดนขุดออกมาชัดเจนกว่าที่เป็นจริงพอสมควร หลังถ่ายภาพเสร็จคงต้องแต่ง ใส่ฟิลเตอร์เพิ่มกันอีกที

สำหรับกล้องเซลฟี่นั้น ต้องบอกว่า iPhone 15 Pro Max เจอปัญหาเดียวกันกับกล้องหลังเลย เพราะภาพที่ได้มามีการขุดรายละเอียดผิวต่าง ๆ ออกมาในชัดเกินตาเห็นจริง ๆ ส่วน Galaxy S23 Ultra จะเข้าใจ Skin Tone ของคนเอเชียมากกว่า ภาพที่ได้ออกมาจึงดูดีกว่าพอสมควร และสำหรับใครที่อยากดูการเปรียบในสภาพแสงอื่น ๆ รวมถึงงานวิดีโอสามารถเข้าไปดูในคลิปด้านล่างได้เลย

Apple A17 Pro เล่นเกมแรง แต่ร้อนจริงมั้ย?

สเปค / รุ่นiPhone 15 ProiPhone 15 Pro Max
วัสดุTitanium (Grade 5)
ขนาด / น้ำหนัก146.6 x 70.6 x 8.3 มม.
187 กรัม
159.9 x 76.7 x 8.3 มม.
221 กรัม
พาเนลLTPO Super Retina XDR
1 – 120Hz
สว่างสูงสุด 2000 nits
ขนาดจอ / ความละเอียด6.1″
(2556 x 1179)
6.7”
(2796 x 1290)
ชิปเซ็ตA17 Pro
RAMไม่ระบุ
ความจุ128GB (เฉพาะรุ่น Pro)
256GB
512GB
1TB
กล้องหลังกล้องหลัก:
48MP f/1.78, กันสั่น แบบ Sensor Shift รุ่น 2

Ultrawide:
12 MP, f/2.2, มุมกว้าง 120˚

Telephoto:
12 MP f/2.8, 77mm, กันสั่น OIS ซูม Optical X3
กล้องหลัก:
48MP f/1.78, กันสั่น แบบ Sensor Shift รุ่น 2

Ultrawide:
12 MP, f/2.2, มุมกว้าง 120˚

Telephoto:
12 MP f/2.8, กันสั่น OIS ซูม Optical X5 + Auto Focus
กล้องหน้า12MP f/1.9 TrueDepth + กันสั่น gyro-EIS + AutoFocus
การเชื่อมต่อWi-Fi 6E
Blutooth 5.3
NFC
ชิป UWB Gen 2
เซนเซอร์Face ID, accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer
ลำโพงลำโพงคู่ Stereo
รองรับ Spartial Audio และ Dolby Atmos
มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่นIP68
(ทนน้ำลึกสูงสุด 6 เมตร 30 นาที)
USB-CUSB-C 3.0
รองรับ DisplayPort
แบตเตอรี่การเล่นวิดีโอสูงสุด 23 ชั่วโมงการเล่นวิดีโอสูงสุด 29 ชั่วโมง
ชาร์จไว0- 50% ในเวลา 30 นาที ด้วยหัวชาร์จ 20W
ชาร์จไร้สายQI Wireless Charge 7.5W
MagSafe fast wireless charging 15W
ตารางสรุปสเปค iPhone 15 Pro Series

iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max มาพร้อมกับชิปเซ็ตใหม่ Apple A17 Pro ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมขนาด 3 นาโนเมตรเป็นครั้งแรก ประกบคู่มากับ RAM ความจุ 8GB ซึ่งเมื่อได้นำไปทำผลทดสอบบน Geekbench 6 พบว่าทั้งคะแนน และ GPU ออกมาแรงไล่เลี่ยกัน โดยรุ่น Pro จะมาในคะแนนที่สูงกว่ารุ่น Pro Max เพราะความละเอียดจอต่ำกว่านิดหน่อย ทำให้กินแรงประมวลผลไม่เยอะเท่าไหร่

ส่วนเรื่องความร้อน กับ Performance จากที่ได้นำทั้งสองรุ่นไปทดสอบใน 3D Mark ในโหมด Solar Bay Stress Test ซึ่งเป็นการทดสอบการประมวลผลกราฟิกหนัก ๆ มีการเปิด Ray Tracing ระหว่างการเทสเป็นจำนวน 20 Loop (Loop ละ 1 นาที) โดยได้ทดสอบในห้องแอร์ตลอดเวลา ซึ่งผลทดสอบของประสิทธิภาพออกมาดังนี้

iPhone 15 Pro สามารถทำคะแนนการประมวลผลใน Loop แรกได้สูงถึง 6158 แต้ม แต่ Loop ถัดมานั้นด้วยความที่อุณหภูมิตัวเครื่องสูงขึ้นจนรู้สึกได้ ทำให้คะแนนตกลงมาเหลือ 4775 แต้ม หรือตกลงมากกว่า 22% ภายใน 2 นาที และดิ่งสุด ๆ ใน Loop ที่ 19 ซึ่งทำได้ที่ประมาณ 4,577 หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วตกลงสูงสุดถึง 25.67% ส่วนค่าความคงที่ของประสิทธิภาพอยู่ที่ราว ๆ 74.3%

สำหรับ iPhone 15 Pro Max นั้นสามารถทำคะแนน Best Loop ได้ที่รอบแรกด้วยคะแนนกว่า 6811 แต้ม (ซึ่งที่ไม่เท่ากับรุ่น Pro มาตรฐาน อาจมีปัจจัยเรื่องอุณหภูมิเข้ามาเกี่ยวข้อง) และแน่นอนว่าใน Loop ที่ 2 กลับทำคะแนนดิ่งลงเหลือเพียงแค่ 4774 แต้ม หรือลดลงไปกว่า 29.9% ภายใน 2 นาทีเลยทีเดียว ส่วน Loop ที่ทำคะแนนได้ต่ำที่สุดอยู่ใน Loop ที่ 12 ทำคะแนนไปได้เพียง 4540 แต้ม ซึ่งตกลงเมื่อเทียบกับ Loop แรกถึง 33.3% และค่าความคงที่ของประสิทธิภาพอยู่ที่ราว ๆ 66.7% เท่านั้น

นอกจากนี้ในระหว่างการทดสอบเรายังได้ใช้ปืนวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด ในการตรวจจับอุณหภูมิพื้นผิวของตัวเครื่องด้วย โดยตำแหน่งที่ตัวเครื่องร้อนสุด ๆ ของทั้งสองรุ่น จะอยู่ที่มุมซ้ายมือถัดจากเลนส์กล้องหลัง ซึ่งจะมีอุณหภูมิราว ๆ 43 – 45 องศา แต่ถ้าพีคสุด ๆ เท่าที่จับได้นั้นมีอุณหภูมิถึง 47 – 48 องศาฯ เลยทีเดียว

แน่นอนว่าการทดสอบประสิทธิภาพที่ต้องรีดกราฟิกหนัก ๆ แบบนี้ อาจจะแตกต่างจากการใช้งานจริงพอสมควร ดังนั้นเราจึงได้ทดสอบเกมกราฟิกหนัก ๆ อย่าง Genshin Impact โดยได้ปรับกราฟิกไว้ในโหมดสูงสุด พร้อมปรับเฟรมเรตไว้สูงสุดที่ 120Hz ก็พบว่าเล่นได้ลื่น ๆ ไม่มีปัญหาอะไร แต่อาจจะมีอาการเฟรมเรตตกเป็นช่วง ๆ บ้างในช่วงหันกล้อง

ส่วนการเล่น ROV นั้น ถึงแม้ว่าจะปรับกราฟิกสูงสุดก็ไม่มีปัญหาอะไร สามารถเล่นได้ที่เฟรมเรต 115 – 120FPS แบบลื่น ๆ เล่น 2 แมตช์ติดกันก็ไม่เจอปัญหาเฟรมเรตร่วงหรืออะไรเลย แต่ที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องของความร้อน ถ้าไม่ใส่เคสก็อาจมีสะดุ้งกันบ้าง

แบตเตอรี่อยู่ได้ทั้งวันรึเปล่า

ด้านแบตเตอรี่นั้น Apple ไม่ได้เผยความจุ และสเปคการชาร์จไวของทั้งสองรุ่นออกมา แต่ถ้าอ้างอิงจาก GSMArena ได้ระบุว่า iPhone 15 Pro มาพร้อมกับความจุแบตเตอรี่ 3,274 mAh ส่วน iPhone 15 Pro Max มาในความจุ 4,441 mAh รองรับการชาร์จไว 25W ชาร์จจาก 0 – 50% ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ส่วนชาร์จไร้สายก็รองรับที่มาตรฐาน Qi ที่ 7.5W และถ้าใช้ Magsafe ก็จะรองรับที่ 15W เหมือนเดิม

แต่สำหรับความอึกของแบตเตอรี่นั้นขึ้นอยู่ที่การใช้งานของแต่ละบุคคล หากอ้างอิงจากที่เราทดสอบนั้น iPhone 15 Pro ที่ใช้งาน 2 SIM และเปิดเน็ตแค่เฉพาะ 4G เปิดแสงแบบ Auto Brightness โดยมีการใช้ Hotspot ใช้งานทดสอบ 3D Mark เป็นเวลา 50 นาที มีการเล่นเกม Honkai: Star Rail ประมาณ 44 นาที ดู YouTube ประมาณ 1 ชั่วโมง เปิดใช้งานกล้องเป็นพัก ๆ จากเวลาชาร์จเต็ม 07.35 น. – 15.49 น. คิดเป็นเวลา Screen Time อยู่ที่ประมาณ 3 ชั่วโมง 23 นาที แบตเตอรี่จาก 100% เหลืออยู่ที่ 15%

ส่วน iPhone 15 Pro Max นั้นได้ใส่ซิม เปิด 4G เปิดแสงแบบ Auto Brightness มีการใช้งานทดสอบ 3D Mark เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง รวมถึงใช้งานกล้อง เล่นเกม Genshin Impact และ ROV เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ดู YouTube ความละเอียด 4K@60FPS HDR เช่นกัน จากเวลาชาร์จเต็ม 10.51 น. – 17.35 น. คิดเป็นเวลา Screen Time อยู่ที่ประมาณ 4 ชั่วโมงแบตเตอรี่จาก 100% เหลืออยู่ที่ 7%

อย่างไรก็ตามการใช้งานของเรานั้นค่อนข้างที่จะใช้งานหนักอยู่พอสมควร เพราะเครื่องต้องเจอกับความร้อนจากการทดสอบการประมวลผลกราฟิกหนัก ๆ ทำให้แบตเตอรี่อาจจะหมดไวเป็นพิเศษ ถ้าใช้งานเล่นโซเชียล เล่นเกม ถ่ายเซลฟี่นิด ๆ หน่อย ๆ คิดว่าน่าจะอยู่ได้เต็มวันสบาย ๆ

สรุปการใช้งาน iPhone 15 Pro Series

iPhone 15 Pro Series ทั้งสองรุ่นนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ที่ดีสำหรับ Apple เพราะนอกจากจะได้เปลี่ยนพอร์ตชาร์จเป็น USB-C ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันกับอุปกรณ์แบรนด์อื่น ๆ แล้ว ยังได้วัสดุใหม่ ๆ อย่างไทเทเนียมมาช่วยในเรื่องของน้ำหนักให้เบาลงจากรุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด แถมใน iPhone 15 Pro Max ก็ยังเขยิบตัวเลนส์ซูมไกลมาแข่งกับอีกหลาย ๆ แบรนด์ Android แล้วด้วย เรียกได้ว่าหลังจากนี้คงเห็นอะไรสนุก ๆ จาก iPhone ขึ้นมาเยอะบ้าง

แต่อย่างไรก็ตามเรื่องความร้อนของตัวเครื่อง ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเสียดายที่ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิ และประสิทธิภาพให้เสถียรตลอดการใช้งาน ซึ่งจุดนี้ทำให้ความแรงของ Apple A17 Pro ไม่สามารถรีดประสิทธิภาพออกมาได้เต็มที่เท่าที่ควร รวมถึงกล้องถ่ายภาพที่ไม่เป็นมิตรกับคนไทยสักเท่าไหร่ ถ้าปรับแก้ในจุดนี้ได้จะถือว่าเป็น iPhone อีกเจนเนอเรชั่นที่ทำได้ดีมาก ๆ เลยทีเดียว

ราคา และการวางจำหน่าย

iPhone 15 Pro Series วางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีตัวเครื่องให้เลือกทั้งหมด 3 สี ไทเทเนียมดำ ไทเทเนียมขาว ไทเทเนียมน้ำเงิน และสุดท้าย ไทเทเนียมธรรมชาติ ส่วนราคาวางจำหน่ายเปิดมาดังนี้

iPhone 15 Pro

  • ความจุ 128GB : 41,900 บาท
  • ความจุ 256GB : ราคา 45,900 บาท
  • ความจุ 512GB : ราคา 54,900 บาท
  • ความจุ 1TB : ราคา 63,900 บาท

iPhone 15 Pro Max

  • ความจุ 256GB : ราคา 48,900 บาท
  • ความจุ 512GB : ราคา 57,900 บาท
  • ความจุ 1TB : ราคา 66,900 บาท