ห่างหายจากการรีวิวไปนานมากๆ คราวนี้กลับมาพร้อมกับการรีวิวกล้อง เอ้ย สมาร์ทโฟนที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกล้อง พร้อมจัดเต็มฟีเจอร์สำหรับการถ่ายภาพอย่าง Lenovo VIBE Shot ซึ่งก็มีหลายคนให้ความสนใจ ด้วยราคา 11,990 บาท ที่จัดว่าอยู่ในระดับที่เอื้อมถึง อีกทั้งสเปคและฟีเจอร์การใช้งานทั่วไปที่ให้มาก็ค่อนข้างใช้ได้ ซึ่งเมื่อเราได้มีโอกาสร่วมชีวิตอยู่ด้วยกันช่วงหนึ่ง วันนี้เราจึงนำประสบการณ์การใช้งานเจ้า Lenovo VIBE Shot มารีวิวให้อ่านกันค่า 😀  

สเปค Lenovo VIBE Shot

  • Android OS 5.1 (Lollipop) + VIBE UI
  • หน้าจอ IPS ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1920 x 1080 พิกเซล (~441 ppi)
  • CPU : Snapdragon 615 Octa-Core 1.7 GHz, 64-bit
  • GPU : Adreno 405
  • RAM 3 GB
  • หน่วยความจำภายใน 32 GB + รองรับ microSD Card สูงสุด 128GB
  • กล้องหลัง: 16 ล้านพิกเซล + 16:9 BSI Sensor + Tri-Color Flah + IR Autofocus + OIS
  • กล้องหน้า: 8 ล้านพิกเซล
  • แบตเตอรี่ Li – Po 3000 mAh (ถอดเปลี่ยนไม่ได้)
  • 2 ซิม (microSIM)
  • รองรับ 2G, 3G, 4G LTE ทุกเครือข่าย
  • การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 802.11 a/b/g/n, Bluetooth 4.1, A2DP, microUSB v2.0
  • เซนเซอร์ : Accelerometer, Proximity, Light, Gravity, Compass
  • GPS : A-GPS
  • สัดส่วน : 142 x 70 x 7.6 มม., น้ำหนัก 145 กรัม

 

วัสดุและการดีไซน์

การออกแบบตัวเครื่องของ Lenovo VIBE Shot เน้นความเรียบง่าย แต่ดูแข็งแรง คือตัวเครื่องสีดำแล้วล้อมกรอบด้านนอกด้วยสีเทา ส่วนวัสดุที่ตัวเครื่องทำจากอลูมิเนียมและกระจก Corning Gorilla Glass 3 ความรู้สึกตอนจับกระชับมือกำลังดี แต่แอบติดรอยนิ้วมือง่ายไปหน่อย

ด้านข้างประกอบด้วยปุ่มชัตเตอร์ 2 จังหวะ + ปุ่มสวิทช์โหมด Auto – Pro ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะเด่นของเจ้า Lenovo VIBE Shot เลยก็ว่าได้ เดี๋ยวเราค่อยไปลงรายละเอียดตอนฟีเจอร์กล้องกัน ถัดมาเป็นปุ่ม Power และปุ่มเพิ่ม – ลดเสียง ความรู้สึกตอนใช้งานเวลาจับขอบด้านข้างค่อนข้างหนา แต่ก็กำลังดีไม่เทอะทะเกินไป กำลังเหมาะมือ แต่เพราะปุ่มเยอะๆ แบบนี้ทำให้เวลาหนีบกับหัวจับขาตั้งกล้องค่อนข้างลำบากนิดนึง

อีกด้านประกอบด้วยช่องใส่ซิมซึ่งหนึ่งถาดสามารถใส่ได้ 2 ซิม และช่องใส่ microSD Card

ด้านบนตัวเครื่องมีช่อง microphone ตัดเสียง และ ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.

 

ลำโพง

ด้านท้ายเครื่องมีลำโพง + ช่องไมค์ + ช่องเสียบ microUSB 2.0 และด้านข้างมีที่สำหรับคล้องพวงกุญแจหรือสายห้อยโทรศัพท์ด้วย

ลำโพงของ Lenovo VIBE Shot นั้นเสียงค่อนข้างใสและดังกังวานใช้ได้ ลองทดสอบเปิดเสียงเพลงที่เบสเยอะในระดับประมาณ 70% ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่พึงพอใจสำหรับการใช้งานปกติทั่วไป ค่ะ

 

หน้าจอ

ด้านหน้าตัวเครื่องส่วนบนประกอบด้วย กล้องหน้า + ลำโพง Earpiece ส่วนด้านล่างมีปุ่ม Recent App + ปุ่ม Home และปุ่ม Back

Lenovo Vibe Shot มาพร้อมหน้าจอ IPS LCD ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งความรู้สึกเวลาใช้งานทั่วๆ ไปก็คมชัดใช้ได้ สีจอมีติดอมแดงหน่อยๆ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาเท่าไหร่นัก

สำหรับการสัมผัสหน้าจอของ Lenovo VIBE Shot ทำการทดสอบ Multi touch ผ่าน Antutu Benchmark ได้ 10 จุด ซึ่งการใช้งาน Touch Screen ก็ใช้ได้ลื่นไหลตามปกติ แอบมีปัญหานิดหน่อยตอนใช้ Gesture ปลุกหน้าจอด้วยการเคาะนิ้วสองครั้ง (Knock to Light) ที่แอบมีหน่วงๆ บ้างเล็กน้อย

 

ระบบปฏิบัติการ Android OS 5.1 + VIBE UI

Lenovo VIBE Shot ใช้ระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่น 5.1 (Lollipop) ครอบด้วย VIBE UI ซึ่งเป็น Custom UI ของ Lenovo ซึ่งเอฟเฟ็คการใช้เวลาเปิดใช้งานแอปพลิเคชั่นต่างๆ รวมถึงการปรับแต่งธีม การจัดเรียง Widget ก็ไม่มีอะไรโดดเด่นหรือแปลกแตกต่างอะไรมาก เน้นการดีไซน์หน้าตาแบบเรียบๆ แต่มีมิติ ทั้งตัวไอคอนและ Widget นาฬิกา

 

ประสิทธิภาพการใช้งาน

ผลการทดสอบ Benchmark จาก Antutu และ GeekBench 3

ผลการทดสอบ 3DMark

Lenovo VIBE Shot ใช้หน่วยประมวลผล Qualcomm snapdragon 615 Octa-Core 1.7 GHz, 64-bit ซึ่งเป็นชิปรุ่นกลางของ Qualcomm โดยประสิทธิภาพการใช้งานก็ลื่นไหล แรงใช้ได้ สามารถเล่นเกมภาพ 3 มิติ ซึ่งจากที่ลองเล่น Asphalt 8 ก็สามารถเล่นได้แบบไม่กระตุก สลับปรับเปลี่ยนแอปลื่นไหลอยู่พอตัวเลย หรือังใช้งานหนักไม่พอเลยยังไม่เจอเรื่องค้างจากแอปอื่นๆ ยกเว้นกล้อง ส่วนเรื่องความร้อนถือว่าอยู่ในระดับปกตินะคะ ใช้งานหนักก็ร้อนไวอยู่ ด้วยความที่ตัวเครื่องเป็นโลหะ วางไว้สักพักก็สามารถระบายความร้อนจนเครื่องกลับมาอุณภูมิปกติแล้วค่ะ

 

Storage + RAM

หน่วยความจำภายในของ Lenovo VIBE Shot ให้มาทั้งหมด 32 GB เมื่อถูกหักลบกับแอปพลิเคชั่นที่มากับเครื่องและพื้นที่ของระบบปฏิบัติการแล้วจะเหลือ 24.46 GB โดยประมาณค่ะ ซึ่งก็ถือว่าพอใช้อยู่สำหรับคนที่ไม่ได้เล่นเกมหนักๆ โหลดเกมกินพื้นที่โหด หรือหากใครชอบถ่ายรูปและกังวลเรื่องการเก็บไฟล์ภาพก็ไม่ต้องห่วงะคะ เพราะว่าไซส์ภาพขนาดปกติทั่วไปก็กินพื้นที่ไม่เยอะมากค่ะ ซึ่งถ้ากังวลก็สามารถใส่ microSD Card เพิ่มได้ จากการใช้ก็รู้สึกว่าเรื่องหน่วยความจำไม่มีปัญหาอะไรค่ะ

ส่วน RAM ของ Lenovo VIBE Shot ก็ให้มา 3GB หักลบจากการดึงไปใช้งานในส่วนต่างๆ แล้วเหลือประมาณ 1.7 GB ซึ่งก็ถือว่าเกินพอให้สามารถใช้งาน Multitasking สลับปรับเปลี่ยนแอปและเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลปกติเลยค่ะ 😀  

 

การใช้งานในทั่วไปในชีวิตประจำวัน

ปกติเราเป็นคนที่ไม่ได้ใช้งานสมาร์ทโฟนหนักมากๆ อยู่แล้ว ส่วนใหญ่ก็ใช้เล่นโซเชียลเป็นส่วนใหญ่ และเล่นเกมบ้างเวลาว่างๆ เหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป  แต่ที่เน้นหนักสำหรับ Lenovo VIBE Shot หน่อยก็เป็นเรื่องการใช้งานกล้อง เอาเป็นว่ามาเรามาลองดูฟีเจอร์การใช้งานทั่วไป ของเจ้าตัวนี้กันก่อนแล้วค่อยไปจัดเต็มกันเรื่องกล้องเนาะ ^^”

Feature การใช้งานทั่วไป สำหรับ Lenovo VIBE Shot ก็ได้พกพา Gesture ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานกับผู้ใช้มาตามนี้เลยค่ะ

Knock to light : ปลุกหน้าจอให้แอคทีฟด้วยการเคาะนิ้วสองที แต่ของเจ้า Lenovo VIBE Shot นี่แอบขี้เกียจ บางทีเคาะหลายรอบก็ไม่ยอมตื่น ._.^

ภาพจากการถ่าย Quick Snap

Quick Snap : กดปุ่ม Volume up หรือ Down สองครั้ง ก็จะเป็นการถ่ายภาพแบบเร็วๆ หรือ Snap ภาพตรงหน้าเก็บไว้ให้เรียบร้อย เหมาะสำหรับการแอบถ่ายอย่างยิ่ง แต่ต้องกดให้ตรงจังหวะดีๆ นะคะ

Smart Scene : เป็นฟีเจอร์ที่สามารถตั้งค่าปรับเปลี่ยนโปรไฟล์ได้ตามช่วงเวลาที่ตั้งไว้ เช่น ช่วงเวลากลางคืนอาจจะตั้งเป็นโหมด Sleep ไว้ตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตี 5 โดยตั้งปิดเสียงการแจ้งเตือนทุกอย่าง พอถึงช่วงเวลา 4 ทุ่มปุ๊บสมาร์ทโฟนของเราก็จะเข้าสู่โหมดที่เราตั้งค่าไว้

Wide Touch : เป็นปุ่มทางลัดที่ลอยอยู่บนหน้าจอที่รวมฟีเจอร์ที่เราใช้ประจำๆ เช่น กล้อง เครื่องคิดเลข เครื่องเล่นเพลง พร้อมกับสามารถปรับลดขนาดและความเข้ม-จางได้ และสามารถเพิ่มทางลัดฟีเจอร์ที่เราใช้บ่อยๆ เองได้ด้วย นอกจากนี้ยังใช้แทนปุ่ม Home ได้ เมื่อกด 2 ครั้ง หรือกด 1 ครั้งเพื่อเปิด Touch Panel  และกดค้างเพื่อซ่อนเจ้าปุ่มนี้ให้หายไปได้ แล้วก็เรียกกลับมาโดยเข้าไปกดที่แถบแจ้งเตือน Notifiction นั่นเอง ซึ่งโดยรวมแล้วถามว่าจำเป็นมั๊ย? หากใช้จนชินมันก็โอเคนะคะ แต่ก็แอบมีหน่วงๆ บ้างเป็นบางครั้ง

การใช้งานต่างๆ ตามด้านบนนี้สามารถเข้าไปที่ Setting >> Gesture setting แล้วก็กดเปิดโหมดก็สามารถใช้งานได้เลยค่ะ นอกจากนี้ก็ยังมีฟีเจอร์ที่แฝงมาและสามารถใช้ได้โดยที่เราไม่ต้องเปิดด้วย นั่นก็คือ การ Capture หน้าจอ โดยกดปุ่ม Power + Volume down แต่อันนี้หลายคนคงรู้กันอยู่แล้ว แต่เจ้า Lenovo VIBE Shot ทำได้มากกว่าการ Capture ภาพนิ่งค่ะ เพียงกด  Power + Volume up ก็จะเป็นการเปิด Screen recording หรือบันทึกการใช้งานหน้าจอแบบเป็นวิดีโอนั่นเอง หากต้องการหยุดก็กดปุ่มเดิมเลยค่ะ

เล่นเกม อย่างที่เกริ่นไปตั้งแต่ในเรื่องประสิทธิภาพการใช้งานแล้วว่าสามารถเล่นเกม 3 มิติ เอฟเฟ็คหนักในระดับหนึ่งได้แบบไม่กระตุกจนเสียอารมณ์ ส่วนภาพที่ออกมาก็ลื่นไหล ถือว่าพอใจค่ะ

วิดีโอ ส่วนการดูวิดีโอก็แน่นอนว่าได้จอ Full HD ความชัดถือว่าใช้ได้เลย แม้ว่าจอจะแอบติดแดงหน่อยๆ ซึ่งในภาพทดลองดูแบบเปิดความสว่างสุด ภาพหน้าของสาวน้อยคนนี้เลยดูขาวซีดบลิงค์เกินจริงไปนิดนึง

เล่นเว็บไซต์ + โซเชียล ขนาดหน้าจอ 5 นิ้ว ส่วนตัวถือว่ากำลังดีค่ะ สามารถนั่งอ่านบทความออนไลน์ หรือเช๊คข้อมูลต่างๆ ในเว็บไซต์ เล่นโซเชียลทั่วไปได้แบบไม่ทรมาณสายตาเกินไป แต่ต้องเปิดความสว่างน้อยๆ นิดนึง 😀

แบตเตอรี่ สำหรับ Lenovo VIBE Shot ให้ความจุแบตเตอรี่มาทั้งหมด 3,000 mAh ซึ่งก็สามารถอยู่ได้เต็มวันนะคะ อาจจะเพราะไม่ได้ใช้งานหนักมากด้วย ส่วนมากจะใช้ถ่ายรูปเวลาออกมานอกบ้าน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนด้วยค่ะ

 

กล้อง

ในที่สุดก็มาถึงเรื่องที่เป็นไฮไลท์ของ Lenovo VIBE Shot ซึ่งก็คือเรื่องของการใช้งานกล้องนั่นเอง นอกจากหน้าที่คล้ายกับกล้อง Compact แล้ว ความสามารถของ Lenovo VIBE Shot จะเรียกว่าพอๆ กับกล้องเช่นกัน นอกจากนี้ยังได้ BSI Sensor, ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับระบบกันสั่น OIS สเปคกล้องพอๆ กับรุ่นเรือธงบางค่ายเลย แต่คุณภาพก็อีกเรื่องหนึ่งซึ่งก็ถือว่าพอใช้ได้อยู่

ลักษณะเด่นของ Lenovo VIBE Shot ที่ด้เกริ่นไว้ข้างบนคือ จะมีปุ่มชัตเตอร์ 2 จังหวะ โดยกดครึ่งนึงเป็นการล๊อคโฟกัส และกดสุดอีกทีหนึ่งเป็นการถ่ายภาพคล้ายกับกล้อง Compact และข้างๆ กันมีปุ่มสวิทช์ให้สามารถเลือกถ่ายภาพได้ระหว่างโหมด Auto และโหมด Pro ซึ่งทั้ง 2 โหมดนี้ก็มีฟีเจอร์ต่างๆ ให้เลือกเล่นอีกเพียบ มาดูกันดีกว่าว่าฟีเจอร์กล้องของ Lenovo VIBE Shot มีอะไรน่าสนใจบ้าง

เริ่มกันที่โหมด Pro ซึ่งเป็นโหมดที่สามารถเลือกปรับชดเชยแสง (EV +2,-2) , ISO(100-1600), Speed Shutter (1 – 1/15s) และ White Balance ได้นั่นเอง แต่ว่าก็ยังปรับได้อยู่ค่อนข้างจำกัดอย่าง Speed Shutter ก็ปรับได้แค่นิดหน่อยพอเป็นพิธี

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Pro

เปิดแฟลช / ไม่เปิดแฟลช


HDR


Slow Shutter


Macro


Food


LandScape

 

นอกจากนี้ก็ยังมีฟีเจอร์ที่เป็นของเล่นเป็นโหมดต่างๆ ที่จะโพรเซสภาพให้อัตโนมัติเป็นของเล่นอีกชิ้นในในโหมด Pro ด้วย แต่ภาพที่ได้มานั้นก็ … โหมด HDR คือดึงแสงสีเวอร์วังอลังการ ส่วน Blur Background ก็จับภาพแบบงงๆ กว่าจะได้ภาพที่ต้องการถ่ายอยู่ 2 – 3 รอบ ( ._.^)

 

ตัวอย่างภาพถ่าย

Panorama


Blur Background


City (Astistic HDR)


Still Life (Astistic HDR)


Automobile (Astistic HDR)


Portrait (Astistic HDR)


City Nightscape (Art Nightscape)


Indoor Lowlight (Art Night Scape)

เปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ ระหว่าง HDR โหมด Pro ธรรมดา กับในโหมด HDR Artistic

มาต่อกันที่โหมด Auto ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่ Automatic Scene Detection ที่จะช่วยตรวจจับสภาพแสงและวัตถุเพื่อปรับโหมดให้เหมาะสมในการถ่ายภาพ อย่าง Portrait, Food, Landscape, Low light, Ultra Low light และ HDR Backlight

นอกจากนี้ก็มีอีกหนึ่งฟีเจอร์ในโหมด Auto อย่าง Smart Composition ช่วยในการจับตำแหน่งและขึ้นไกด์ไลน์ให้เราจัดองค์ประกอบภาพตาม เพื่อให้ได้ภาพที่มีองค์ประกอบสวยงามมากขึ้น แม้ว่าบางทีจะขึ้นบ้างไม่ขึ้นก็บ้างตาม และยังต้องใช้เวลาเล็งนานกว่าปกติที่ถ่ายเองซะอีก

 

ตัวอย่างภาพจากโหมด Auto

ย้อนแสงแบบธรรมดา / เปิด HDR

Portrait


ดอกไม้


Landscape

 

Food (Smart Scene Detection)

HDR BackLight (Smart Scene Detection)

Portrait (Smart Scene Detection)

Low Light (Smart Scene Detection) <ถ่ายในห้องนอนที่ปิดผ้าม่าน แสงสลัวหน่อยๆ>

Ultra Low Light (Smart Scene Detection)

 

หลังจากเห็นตัวอย่างไปคร่าวๆ แล้วเรามาดูคุณภาพรูปที่ออกมากันบ้างดีกว่า~~

เมื่อลองซูม 3X จะเห็่นว่าภาพจะการเกลี่ยภาพค่อนที่จะเริ่มเป็นวุ้นแล้ว ส่วนภาพซูม 2X การเก็บรายละเอียดก็ยังพอใช้ได้ 

 

Dual Flash / Tri-Color Flash

เมื่อนำภาพ Dual Flash (Samsung Gaaxy S6) และ Tri-Color Flash(Lenovo VIBE Shot) มาลองเปรียบเทียบกันจะเห็นว่าทาง Tri Color Flash จะดูสีสมใกล้เคียงกว่าทาง Dual Flash แต่ทั้งนี้ดูเหมือนว่าความสว่างของ Flash ของทางฝั่ง Dual Flash ดูจะมากกว่า

Auto / Pro (Crop 100%)

Auto / Pro (Crop 100%)

หากลองดูภาพเปรียบเทียบด้านบนก่อน Crop 100% จะเห็นว่าภาพจากทั้ง 2 โหมดนั้นดูไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่นัก แต่เหมือน Crop 100% จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าภาพทางฝั่งโหมด Auto นั้นเก็บรายละเอียดมากกว่า สังเกตุจากเส้นขนของแมวที่ทางฝั่ง Auto จะมองเห็นรายละเอียดไรขนในขณะที่ฝั่ง Pro จะดูฟุ้งๆ 

 

สรุป จากการที่ได้ลองเล่นโหมดต่างๆ ของกล้องหลัง Lenovo VIBE Shot ส่วนตัวชอบโหมด Auto มากกว่า โดยเฉพาะฟีเจอร์ Automatic Scene Detection เพราะมันจะมีการโพรเซสภาพมาให้แบบไม่เวอร์เกินไป เช่น เวลาถ่ายติดท้องฟ้าก็จะดึงสีท้องฟ้าให้เลยอัตโนมัติ แต่ว่าสีของภาพที่ออกมาก็ไม่เวอร์จนเกินงามเหมือนฟีเจอร์ในโหมด Pro ส่วนปัญหาที่พบบ่อยๆ เลยคือการดีเลย์เวลาเปิดดูรูปภาพ รวมถึงค้างบ้าง เอ๋อบ้างเป็นบางครั้งเมื่อใช้งานต่อเนื่องนานๆ  

 

กล้องหน้า

มาต่อกันที่กล้องหน้าเอาใจคนชอบเซลฟี่กันมั่งดีกว่า ซึ่งเจ้า Lenovo VIBE Shot พกความละเอียดมา 8 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับฟีเจอร์เด่นๆ ที่เอื้อประโยชน์ในการถ่ายภาพเซลฟี่ตามนี้เลยค่ะ

  • Gesture Control หรือ hand Sign ชูสองนิ้วแล้วรอให้ตรวจจับภาพ

  • Beauty Mode ที่ปรับได้ 7 ระดับ เน้นเกลี่ยหน้าเนียน เมื่อปรับระดับสูงสุดนี่จมูกแทบจะกลืนหายไปเลย

  • Fill Light ที่ช่วยในการถ่ายภาพในที่แสงน้อย โดยใช้ความสว่างหน้าจอที่วาบขึ้นมาสักพัก ทั้งนี้ก็มีให้เลือกสองสีด้วยกันได้แก่ สีชมพู และสีเนื้อ  

  • Wide Selfie หรือความสามารถในการถ่ายภาพมุมกว้าง สำหรับรุ่นนี้ก็ใช้วิธีพลิกข้อมือซ้าย – ขวา เพื่อเก็บภาพด้านหน้าและด้านข้างแล้วนำมาโพรเซสรวมกันเป็น 1 ภาพนั่นเอง

 

ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า

Beauty Mode 7 ระดับ


Fill light


Wide Selfie

แสงธรรมชาติ


แสงน้อย

สำหรับกล้องหน้าของ Lenovo VIBE Shot ความรู้สึกหลังจากที่ลองถ่ายเล่นเอง และแบ่งให้พี่ๆ และเพื่อนลองก็ต้องบอกว่าพอใจในระดับหนึ่ง อย่างโหมดบิวตี้ใช้ไม่เกินระดับ 3 ภาพจะกำลังโอเคเลยค่ะ แต่พอเกินนี้จะเริ่มเกลี่ยหน้าเนียนจนสันจมูกหายแล้ว และเมื่อถ่ายในที่แสงน้อยภาพจะออกมาสั่นไหวเล็กน้อย ส่วนสภาพแสงปกติถือว่าโอเคเลยค่ะ ติดอย่างเดียวคือเรื่องของสีภาพที่ออกมาจะดูจืดไปนิดนึง 

 

รวมภาพแบบเต็มความละเอียด 😀 

 

ข้อดี

  • ได้ความสามารถในการใช้งานกล้องค่อนข้างครบทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
  • การใช้งานทั่วไปค่อนข้างโอเค ทัชสกรีนลื่นไหล สามารถสลับปรับเปลี่ยนแอปได้แบบไม่หน่วงได้
  • แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้เต็มวัน

ปัญหาที่พบ

  • ดีเลย์เมื่อกดพรีวิวภาพหลังจากถ่ายภาพเสร็จ
  • ฟีเจอร์ Knock to Light เคาะไม่ค่อยติด
  • ตัวเครื่องติดรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย อาจจะต้องติดฟิล์มหรือใส่เคสเพื่อลดรอยนิ้วมือ

 

สรุป

หลังจากที่ได้ลองใช้ชีวิตร่วมกับ Lenovo VIBE Shot มาสักพักใหญ่ๆ แม้ว่าจะเน้นใช้งานกล้องหนักกว่าส่วนอื่นเป็นพิเศษ แต่โดยรวมถือว่าพอใจสำหรับฟีเจอร์กล้องที่ให้กับราคาในระดับเอื้อมถึง แม้ว่าคุณภาพอาจจะไม่ได้ตามที่หวังมากนัก ส่วนการใช้งานทั่วๆ ไป เช่น เล่นเกม เล่นอินเตอร์เน็ต และแอปโซเชียลมีเดียต่างๆ การสลับปรับเปลี่ยนแอปถือว่าลื่นไหลใช้ได้โอเคในระดับหนึ่งเลยค่ะ แต่ถ้าให้แนะนำก็ต้องบอกว่าแล้วแต่ไลฟ์สไตล์และดุลพินิจของแต่ละคนนะคะ เลือกที่เหมาะ ที่ชอบ และราคาสบายๆ ไม่เดือนร้อนก็โอเคแล้วค่ะ หากชอบถ่ายภาพแต่งบไม่เยอะ Lenovo VIBE Shot ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจอยู่ค่ะ 😀