น่าจะเป็นมือถือที่ฮอตที่สุดของ Nokia ตอนนี้แล้ว กับ Nokia 7 Plus ที่เรียกเสียงฮือฮาจากบรรดาสาวกได้ตั้งแต่งาน MWC เพราะทั้งสเปคที่เปิดมาดีงามและดีไซน์ที่ลงตัวบางกำลังดี การเลือกใข้วัสดุและสีที่ตัดกันดูเด่นไม่เหมือนยี่ห้อไหนๆ ในราคา 13,900 บาท มีกล้องคู่เลนส์ ZEISS พร้อมฟีเจอร์ Bothie ระบบบันทึกเสียง OZO และฟีเจอร์ที่แฟนๆ รอคอยคือ UI กล้องโหมด Pro จาก Lumia ถ้าเริ่มสนใจแล้วละก็ มาอ่านรีวิวกันเลย

แกะกล่อง Nokia 7 Plus

Nokia 7 Plus ที่เราได้มาทดสอบเป็นเครื่องสี Black Copper ก็คือตัวเครื่องสีดำผิว Matte เฟรมโลหะและส่วนที่ตัดขอบต่างๆ จะเป็นสีทองแดงเงาสวยงาม ที่ออฟฟิศ droidsans นี่ใครได้จับก็บอกว่าสวยกัน คือชอบตรงขอบเงาๆ กันนั่นแหละ

หม้อแปลงที่ให้มานั้นรองรับระบบชาร์จเร็ว จ่ายไฟได้ถึง 3 ระดับคือ 5V 3A / 9V 1.5 A และ 12V 1A ถือว่าดีกว่าหลายๆ ยี่ห้อ บางรุ่นขายแพงกว่านี้แถมหม้อแปลงธรรมดาๆ มาก็มี

หูฟังสมอลทอล์คเป็นแบบ in-ear และแน่นอนว่าเป็นแบบเจ็ค 3.5 ครับ ยังมีช่องให้เสียบอยู่นะเออ

สาย USB Type C รองรับการชาร์จเร็ว ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าหมดแค่นี้ แต่พอแงะลงไปใต้แท่นวางเครื่องที่มีเข็มจิ้มซิมก็ได้พบกับ..

เคสซิลิโดนใส! เฮ มีแถมมาให้ในกล่องด้วย โอเคเลยครับ สำหรับคนชอบใส่เคสก็ไม่ต้องไปหาซื้อ ขาดแค่ยังไม่มีฟิล์มกันรอยแปะมาเท่านั้น

ตัวเคสขนาดกำลังดี คือถ้าเทียบกับเคสที่ยี่ห้ออื่นๆ แถมกันมามันจะค่อนข้างหนา แต่อันนี้บางเบา กำลังสวย ใส่แล้วขนาดตัวเครื่องเวลาถือก็เปลี่ยนไม่เยอะด้วย

งานดีเก็บช่องตรง ด้านหลังเป็นแบบใสโชว์สีสันตัวเครื่อง เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือย้ายมาอยู่ด้านหลัง กล้องหลังคู่เลนส์ ZEISS ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ทำงานคู่กับกล้อง 13 ล้านพิกเซลที่เป็นเลนส์ซูม 2x ส่วนรูกลมๆ บนกล้องหลังคู่นั้นคือไมค์ตัวที่ 2 เอาไว้ตัดเสียงรบกวน และใช้ในการบันทึกเสียงแบบ OZO Audio

แกะเคสออกเก็บก่อน มาดูรอบๆ ตัวเครื่อง Nokia 7 Plus กันบ้าง เริ่มจากถาดซิมที่มุมซ้ายบน ก็ต้องใช้เข็มจิ้มออกมา

ตัวถาดซิมเป็นแบบ hybrid slot ช่องซิมแรกก็ใช้ nano SIM ไป ส่วนช่องซิม 2 ก็เอาตามสะดวกว่าจะเป็น nano SIM อีกหนึ่ง หรือเติมเมมด้วย micro SD

ซิมหลักเกาะ 4G ได้ ส่วนซิมรองนั้นก็เกาะได้ที่ 3G

ด้านล่างตัวเครื่องจากซ้ายไปขวาคือไมโครโฟนสำหรับใช้สนทนา ช่อง USB C และลำโพง

ช่องหูฟัง 3.5 นั้นอยู่ด้านบน งานนี้ใช้ฟังเพลงได้อย่างเดียว เพราะ Nokia 7 Plus ไม่มีวิทยุ FM มาให้นะครับ ส่วนปุ่มเปิดเครื่องและปุ่มปรับเสียงนั้นอยู่ที่ด้านขวา

สเปค Nokia 7 Plus

  • Android 8.0 (อัพเป็น 8.1 ได้แล้ว) , อยู่ในโครงการ Android One รองรับ Project Treble และ Seamless Update
  • จอ 6 นิ้ว IPS LCD, อัตราส่วน 18:9, ความละเอียด Full HD+ (2160 x 1080)
  • CPU Snadpraogn 660
  • GPU Adreno 512
  • RAM 4GB LPDDR4, ROM 64GB eMMC 5.1, รองรับ Micro SD สูงสุด 128GB
  • กล้องหลังคู่ 12 MP f/1.7 + 13MP f/2.6 (telephoto) , ZEISS optics
  • กล้องหน้า 16MP
  • รองรับการใช้งาน Bothie
  • แบตเตอรี่ 3,800 mAh
  • รองรับ Bluetooth 5.0, NFC
  • พอร์ท USB-C, มีช่อง 3.5 ม.ม.
  • สัดส่วนเครื่อง (รวมความหนากล้อง) 158.38 x 75.64 x 9.55 ม.ม.
  • มีทั้งหมด 2 สีคือ ดำตัดทองแดง, ขาวตัดทองแดง
  • ราคาเปิดตัว 13,900 บาท

 

วัสดุและตัวเครื่อง

หน้าจอเป็นกระจก 2.5D  แต่ความรู้สึกตอนใช้งานอาจจะไม่รู้สึกว่าโค้งมาก เพราะรอบจอมีกรอบสีทองแดงทับอยู่อีกชั้นนึง ความละเอียด Full HD+ จากที่ลองปรับขนาดัวอักษรเล็ก-ใหญ่ ไปทุกขนาดก็ยังดูคมชัดอยู่ ขนาดพิกเซลบนจอถือว่าละเอียดและคมใช้ได้

วัสดุและงานประกอบยังคงดีงามสมเป็น Nokia เหมือนเดิม ฝาหลังที่ผิวเป็นแบบด้านก็ช่วยไม่ให้ไม่ลื่นเหือนพวกผิวกระจกและไม่มีรอยนิ้วมือติดจนเลอะเทอะ แต่ก็อาจจะมีคราบมันๆ ได้ ซ่ึ่งก็เช็ดออกง่าย ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่แอบกังวลเครื่องสีขาวเหมือนกันว่าใช้ไปนานๆ จะดำจะเหลืองหรือเปล่า

 

การทดสอบประสิทธิภาพ

Nokia 7 Plus มาพร้อมกับชิปเซ็ต Snapdragon 660 และ ชิปกราฟิค Adreno 512 จากการทดสอบประสิทธิภาพด้วย Antutu แล้วถือว่าทำคะแนนออกมาได้น่าประทับใจที่ 139,114 คะแนน

เซนเซอร์ภายในก็จัดมาให้ครบหมด สามารถเล่นเกม AR และ VR ได้ไม่มีปัญหา เพราะมีทั้ง Accelerometer, Gyroscpoe และก็เข็มทิศ

ส่วนการทำงานของ GPS ก็จับสัญญาณได้รวดเร็วแม้เพิ่งจะเปิดเครื่องมา จับทิศทางด้วย Magnetometer ทีี่ทำหน้าที่คล้ายกับเข็มทิศ

หน่วยความจำภายในเป็น eMMC ซึ่งก็ตรงตามที่ Nokia ได้บอกไว้ตอนเปิดตัวในประเทศไทยครับ

เรื่องของการเล่นเกมนั้นชิปเซ็ตรองรับโหมดเฟรมเรทสูงด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเล่น RoV หรือ PUBG ก็สามารถเปิดเฟรมเรทสูงได้

โดยรวมแล้วระบบสัมผัสหลายจุดหรือ multi touch ทำงานได้ดี เล่น RoV ไม่เจอปัญหาอะไร แถมเฟรมเรทยังค่อนข้างนิ่งที่ 57fps ส่วนตอนเข้าร่วมทีมไฟต์อาจจะหล่นลงไปที่ราวๆ 40-50 แต่จากที่เคยบวกหนักๆ ตกไปต่ำสุดที่ 35fps ก็ถือว่าเหนือกว่ามาตฐานทั่วไปของชิประดับกลางแล้ว

ส่วนการเล่น PUBG สามารถเปิดกราฟิค HD ได้ พร้อมกับเฟรมเรทสูง จัดไปยาวๆ ได้เลยจนจบเกม

Play video

 

UI และการใช้งานตัวเครื่อง

เนื่องจาก Nokia 7 Plus เป็นมือถือที่อยู่ในโครงการ Android One จุดเด่นของฟีเจอร์การใช้งานนั้นเอาตรงๆ คือไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ด้วยความที่มันเป็น Pure Android ไม่ได้มีการปรับแต่ง UI จากตัวค่ายมากนัก ทำให้ประสบการณ์ใช้งานโดยรวมนั้นลื่นไหล ใช้งานง่ายไม่มีอะไรสะดุด แต่ด้วยความโล้นของมันก็ทำให้ไม่มีฟีเจอร์อะไรที่พิเศษๆ เสริมเข้ามา เรียกว่าจะมีฟีเจอร์ใหม่ก็ต้องรอให้ Google ปล่อยออกมาพร้อมกับ Android เวอร์ชั่นใหม่ๆ เท่านั้น

เพราะฉะนั้นฟีเจอร์หลักๆ ที่พอจะแนะนำและได้ใช้งานกันก็มีเรื่องของ Multi Windows การแบ่งหน้าจอออกเป็น 2 ส่วนเพื่อใช้งาน 2 แอปไปพร้อมๆ กัน

และก็ Picture in Picture (รองรับเฉพาะบางแอป) ที่จะย่อหน้าจอของแอปลงมาเป็นขนาดจิ๋ว ซึ่งหลักๆ ที่ผมใช้บ่อยๆ ก็คงเป็น Google Maps

นอกจากนั้นก็มีพวก Gesture ต่างๆ เช่น

  • หน้าจอติดเมื่อหยิบเครื่องขึ้นมา
  • จอติดแบบอัตโนมัติ เมื่อมีการแจ้งเตือนเข้ามา
  • เคาะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อเปิดหน้าจอมาใช้งาน

 

กล้องถ่ายภาพ

กล้องหลังคู่ของ Nokia 7 Plus นั้นเป็นการใช้เซนเซอร์ 12 MP f/1.7 กับ 13MP f/2.6 ที่เป็นเลนส์ซูม 2X เลนส์เป็นของ ZEISS optics

ในหน้าจอหลักก็สามารถเลือกเปิด/ปิดระบบ HDR, ปรับหน้าเนียนได้ และเปิด/ปิด LED แฟลช

โหมดถ่ายภาพต่างๆ นอกจาก ออโต้ ก็มี พาโนรามา , โปร และ ไลฟ์โบเก้

ซึ่งโหมดโปรที่อยู่ในการตั้งค่าจะเป็นคนละโหมดกับ Lumia ที่เปิดได้ด้วยการสไลด์ปุ่มชัตเตอร์

รายละเอียดโหมดโปร

  • Shutter Speed : 1/500 – 4 วินาที
  • ISO 100 – 3200
  • White Balance ปรับได้เป็นซีน แสงอาทิตย์, ในร่ม, แสงขาว , แสงส้ม ไม่มีปรับแบบค่า K

ส่วนโหมดกล้อง Bothie เปิดใช้งานหน้าหลังก็มีทั้งแบบแบ่งหน้าจอ หรือทำเป็นแบบ PiP (Picture in Picture) ก็ได้ ซึ่งถ้าเปิดใช้งานแล้วก็สามารถเลือกที่จะ Live ผ่าน Facebook หรือ YouTube ก็ได้ด้วย

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง

 

ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า

 

สรุปผลการใช้งาน Nokia 7 Plus

หลังจากใช้งานยาวๆ มาราวๆ 5 วันก็ต้องบอกว่านี่คือรุ่นที่ดีที่สุดของ Nokia ในตอนนี้ ถ้าเทียบในเรื่องคุณภาพและช่วงราคา 13,900 บาท ชนกับค่ายอื่นๆ แล้วสู้ได้ เพราะตัวชิปเซ็ท Snapdragon 660 นั้นมีประสิทธิภาพดีเลย รวมถึงความเป็น Pure Android ไม่มีแอปหรือบริการอื่นๆ ติดเครื่องมาเยอะแยะทำให้มันมีความเบาและลื่นไหล ใช้งานไม่เจอปัญหา แถมดีไซน์ตัวเครื่องที่ออกมาบาง เล่นสีตัดขอบสวยงาม พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 3800 มิลลิแอมป์นี่มันคือครบและจบในราคานี้จริงๆ

แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้สึกชอบความเป็น Pure Android จ๋าขนาดนี้ พอได้เล่นไปสักหน่อยอาจจะรู้สึกว่ามันโล้นไปไหม ซึ่งอันนี้ก็บอกได้ว่าแล้วแต่ความชอบของแต่ละคนครับ เพราะจากที่ได้คุยกับหลายๆ คนก็อาจจะมีบางส่วนที่ติดพวก Custom UI ของค่ายต่างๆ ที่ออกแบบมาเพิ่มการใช้งานที่ง่ายและสะดวกขึ้นไปแล้วก็มี แต่บางคนก็ยังโหยหาความเป็น Pure Android จากตระกูล Nexus, Pixel และ Android One กันอยู่

Nokia 7 Plus อาจจะไม่ใช่มือถือ Android ที่เด่นที่สุดในช่วงราคานี้ แต่ผมสามารถบอกได้ว่ามันคือมือถือ Android One ที่สเปคดีงามในราคาที่คุ้มค่าจริงๆ