Nokia 8 มือถือรุ่นท็อปของค่ายในตำนานที่ แถมยังเป็นการกลับมาร่วมงานกันเป็นครั้งแรกกับ Zeiss ผู้ผลิตเลนส์กล้องชั้นนำ สิ่งที่หลายๆ คนรอคอยนั้น Nokia ภายใต้ HMD จะสามารถทำออกมาได้ดีแค่ไหน เสน่ห์อันน่าหลงไหลของแบรนด์จากฟินแลนด์จะยังคงอยู่หรือไม่ กล้องคู่ Dual Camera กับโหมดถ่ายภาพแบบ Bothie มีอะไรเป็นไฮไลท์ droidsans จะพาไปพิสูจน์พร้อมๆ กันใน รีวิว Nokia 8

จากเมื่อตอน Hands on ไปลองจับเครื่องจริงนั้น ผมไม่ได้ไปเอง แป่ว! เนื่องจากติดหลายงานเหลือเกินเลยให้น้องในทีมไปลองจับมา ซึ่งก็อาจจะได้รายละเอียดไม่ครบเท่าที่ควร แต่วันนี้ได้ลองเครื่องตัวเป็นๆ มาพร้อมกับแพ็คเกจกล่องขายจริง จับเอง เล่นเอง ลองเองทุกอย่าง เลยขอมาแชร์ประสบการณ์ถอดความออกมาเป็นรีวิวชิ้นนี้

 

อุปกรณ์ในกล่อง

แพ็คเกจของ Nokia 8 นั้นมาสไตล์เดียวกับ 3 5 6 ครับ รูปทรงเหมือนกัน  แต่ของแถมที่ให้มาข้างในนั้นครบกว่าและพรีเมี่ยมกว่า

อะแดปเตอร์หรือหม้อแปลงนั้นรองรับระบบ Qualcomm QuickCharge โดยจ่ายไฟได้ตั้งแต่ 5V 2.5A / 9V 2A และ 12V 1.5A

ส่วนหูฟังที่แถมมานั้นเป็นแบบ in-ear ส่วนของไมโครโฟนมีปุ่มกดให้ 3 ปุ่ม รับสาย/วางสาย ในปุ่มเดียว ส่วนอีกด้านเอาไว้ปรับระดับเสียง

 

วัสดุและตัวเครื่อง

หน้าจอขนาด 5.3 นิ้ว กระจก 2.5D กับความละเอียด QHD ทำให้การแสดงผลบนหน้าจอนั้นคมกริบ สีสัน ความละเอียดดีเลยทีเดียว ส่วนนี้เราไม่สามารถปรับลดความละเอียดลงไปเป็น Full HD หรือ HD ได้นะครับ แต่ถ้าใครคิดว่าตัวหนังสือมันเล็กไปก็ลองเข้าไปปรับตั้งค่าเพิ่มขนาดได้ ซึ่งปรับได้ทั้งหน้าจอเลย ไอคอน ตัวหนังสือ ขยายใหญ่ขึ้นได้อีก

ด้านล่างตรงแถบสแกนลายนิ้วมือนั้นทำหน้าที่เป็นปุ่มโฮมไปในตัว ข้างซ้ายเป็นปุ่ม Back หรือย้อนกลับ ด้านขวาเป็นปุ่ม Recent app หรือ Overview ที่ใช้เปิดดูรายการแอปที่เปิดอยู่ทั้งหมด รวมถึงกดค้างเพื่อเปิด Multi window ทั้งสองปุ่มนี้มีไฟเรืองแสงอยู่ด้านล่าง อ้อ! ส่วนปุ่มสแกนลายนิ้วมือนั้นเป็นแบบสัมผัสนะครับ กดไม่ได้

ด้านบนมีกล้องหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล จัดเต็มให้หมด มีทั้ง Auto-focus, PDAF รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K ส่วนใครอยากจะเซลฟี่ในที่มืด ถึงแม้จะไม่มี LED Flash มาให้ แต่ Nokia 8 สามารถใช้หน้าจอแทนแสงแฟลชได้

ปุ่มที่กดได้อยู่ด้านขวาคือปุ่มเปิดเครื่องและปุ่มปรับเสียง เนื่องจาก Nokia 8 และมือถือ Nokia ทุกรุ่นมาพร้อม Pure Android เวลาจะจับภาพหน้าจอก็ต้องใช้ 2 ปุ่มนี้แหละ นั่นก็คือ Power + Vol Down

อีกด้านเป็นช่องใส่ถาดซิม Nokia 8 เป็นถาดแบบ Hybrid รองรับ การใช้งาน 2 ซิมแบบนาโนคู่ หรือสลับเป็น 1 ซิม 1 microSD ก็ได้

ด้านบนเป็นช่องหูฟัง 3.5 มม ที่หลายๆ คนยังอยากให้มีอยู่ในสมาร์ทโฟนทุกรุ่นฮ่าๆ แน่นอนรุ่นนี้ยังไม่ตัดออกไปครับ มีให้ใช้ด้วย

ด้านล่างมีช่องไมโครโฟน พอร์ท USB Type C และลำโพง รุ่นนี้เป็นลำโพงเดี่ยวด้านล่างนะครับ ไม่เหมือน Nokia 6 ที่เป็นลำโพงคู่

ตัวเครื่องด้านหลังของสี Steel นั้นเป็นโลหะแบบ Unibody จับแล้วสัมผัสได้ถึงความเย็น และมีอุ่นเบาๆ ตอนเครื่องทำงานหนักๆ แต่ให้ความรู้สีกดี ถ้าหากเป็นสีเงาหรือรุ่น Polished ผิวสัมผัสจะเป้นคนละแบบกัน มีแถบสัญญาญคาดหัวท้าย ส่วนกล้องคู่เลนส์ ZEISS Optics นั้นมีความละเอียด 13 ล้านพิกเซล เป็นกล้อง RGB + Monochrome มี PDAF, Infrared, และไฟ LED 2 สี

ดูจากด้านหน้าอาจจะรู้สึกว่ามันคล้ายกับรุ่นอื่นๆ แต่ถ้าลองมองในมุมนี้จะเห็นว่ามีการดไซน์ให้เครื่องนั้นเว้าลง เวลาหยิบหรือจับมันจะได้รับเข้ากับมือมากขึ้น รู้สึกได้ว่า Nokia 8 นั้นจับถนัดกว่า Nokia 6 ที่เป็นทรงแท่งๆ แบบจริงจัง และจากมุมนี้ก็จะเห็นด้วยว่ากล้องหลังนั้นแทบจะไม่นูนขึ้นมาเลย

สเปค Nokia 8

  • OS: Android 7.1.1 Nougat (สามารถอัพเดทเป็น Oreo ได้)
  • หน้าจอ: 5.3 นิ้ว LCD ความละเอียด Quad-HD (2560×1440) Corning Gorilla Glass 5
  • CPU: Qualcomm Snapdragon 835
  • GPU: Adreno 540
  • RAM: 4GB
  • หน่วยความจำภายใน: 64GB รองรับ microSD การ์ดสูงสุด 256GB
  • กล้องหลังคู่: Dual 13MP RGB OIS + 13MP Monochrome ZEISS optics, f/2.0, PDAF, IR range finder, dual tone flash
  • กล้องหน้า: 13MP, f/2.0, PDAF, display flash
  • มีสแกนลายนิ้วมือ
  • รองรับ IP54
  • แบตเตอรี่: 3,090 mAh รองรับ Quick Charge 3.0
  • สัดส่วน: 151.5 x 73.7 x 7.9 มิลลิเมตร
  • น้ำหนัก: 160 กรัม
  • สี: Polished Blue, Tempered Blue, Steel และ Polished Copper
  • ราคาเปิดตัว 19,500 บาท

 

UI และการใช้งาน

เป็นส่วนที่เขียนยากมาก เพราะไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร ฮ่าๆ เพราะมันคือ Pure Android ที่เหมือน Nokia 3 5 6 นั่นแหละ การกลับมาในครั้งนี้ของ Nokia นั้นพึ่งพลังของ Android และ Google พอสมควร โดยเฉพาะในเรื่องของสัญญาที่ให้ไว้กับทุกคนว่าจะมีการอัพเดท Nokia ทุกรุ่น 3 5 6 8 ขึ้นเป็น Android Oreo 8.0 แน่นอน เลยไม่รู้ว่านั่นเป็นอีกสาเหตุนึงที่ไม่ได้มีการปรับแต่ง UI ใดๆ รวมถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ เพิ่มเข้าไปเลย

ประเด็นนี้แน่นอนว่ามีความเห็นแตกออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายนึงที่ชอบ Pure Android นั้นไม่มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้ แต่อีกฝ่ายนึงที่อยากได้เอกลักษณ์ ความเป็นตัวเอง หรือตัวตนของ Nokia น้้นบอกตามตรงว่ามันไม่มี เพราะมันคือ Android โล้นๆ นั่นเอง

หน้าจอแบบ Pure Android ตอนนี้ไม่มีปุ่ม App Drawer แล้ว ใช้การสไลด์หน้าจอขึ้นเพื่อเปิดรายการแอปที่ติดตั้งไว้ทั้งหมดแทน

หน้าจอ Drawer หลังจากสไลด์ขึ้นมา แถบบนสุดคือแอปที่เปิดใช้งานบ่อยๆ

ที่หน้า Home มี App Shortcut แปะนิ้วไปที่ไอคอนแอปค้างไว้สำหรับเรียกคำสั่งที่ใช้บ่อยๆ เป็นการลดขั้นตอน ซึ่งแอปไหนจะมีไม่มีนั้นอยู่ที่ผู้พัฒนาแอปครับ ส่วนใหญ่แอปของ Google จะมีแทบทั้งหมด

หน่วยความจำในตัวเครื่องนั้นมีให้ 64GB เหลือใช้งานจริงราวๆ 50GB การตั้งค่าพิเศษ หรือโหมดคำสั่ง gesture ต่างๆ มีมาให้นิดหน่อย

เช่นการเคาะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่ิอเปิด หรือการพลิกเครื่องคว่ำลงเมื่อไม่อยากรับสาย หรือหยิบเครื่องขึ้นมาเสียง ringtone จะเบาลง

หน้าโฮมสามารถปรับแต่งได้ เลือกเอา Widget หรือเปลี่ยนภาพ Wallpaper ใหม่ก็อยู่ตรงนี้

ที่ชอบมากๆ เลยคือ Wallpaper สวยๆ เพียบ

ส่วนอันนี้ก็เป็น Widget ที่ผมใช้ประจำๆ คือ Widget ของปฎิทิน สะดวกดีครับ

อ้อ Nokia 8 มี Always on display ด้วย แต่หน้านี้ไม่สามารถปรับแต่งได้นะครับ จะมีข้อมูลของสายที่เราไม่ได้รับ email และข้อความ sms ที่ยังไม่อ่าน

 

ประสิทธิภาพ

เรื่องความลื่นความแรงอันนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย เปิด ROV ปรับสุดทุกอย่าง สบาย 30fps นิ่งๆ ยาวๆ หรือถ้าอยากได้ภาพสวยๆ เนียนๆ ผมลองเปิดโหมดเฟรมเรทสูงก็นิ่งๆ ที่ 60fps บวกกันหนักๆ อาจจะมีตกลงมาที่ 52-55fps บ้าง แต่ก็ยังถือว่าลื่นอยู่ (โหมดเฟรทเรทสูงก็จะกินแบตเป็น 2 เท่านะครับ)

คะแนน Antutu ทำออกมาได้ตามมาตรฐาน Snapdragon 835 อยู่ที่ 170,xxx ส่วน 3D Mark จัด Slingshot Extreme ได้ไป 3365

GPS ดีงาม มองเห็นหลายดวง และจับสัญญาณได้แม่นยำ เซนเซอร์ครบ Gyro เข็มทิศพร้อม มี Magnetometer

 

ระบบเสียงและการฟังเพลง

หูฟังที่แถมมาให้กับ Nokia 8 เป็นหูฟัง in-ear ซึ่งเท่าที่ทดลองฟังดูก็มีความใส แต่เสียงเครื่องดนตรีจะค่อนข้างชัดและมีมิติมากกว่าเสียงร้อง ลองฟังดูหลายๆ เพลงแล้วก็เหมือนกันครับ ถ้าฟังเพลงที่เน้นจังหวะหรือเสียงเครื่องดนตรีมากๆ นี่สนุกดีครับ แต่ถ้าเน้นฟังแนวที่เน้นเสียงคนร้องก็อาจจะไม่เด่นเท่าที่ควร ลองไล่หาดูในเครื่องก็ไม่มีเมนูให้ปรับเสียงหรือปรับค่า Equalier ใดๆ

ส่วนลำโพงที่ติดมากับตัวเครื่องก็มาแนวกลางๆ ครับ ใสๆ มีมิตินิดๆ

 

กล้อง Nokia 8

กล้องของ Nokia 8  ความละเอียด 13 ล้านพิกเซลเป็นกล้องคู่แบบ RGB และ Monochrome สามารถถ่ายภาพสี ภาพขาวดำ รวมถึงใช้วัดระยะทำโบเกต์เอฟเฟคหรือหน้าชัดหลังเบลอได้ด้วย

แต่ UI กล้องนั้นยังไม่แตกต่างจากเมื่อตอน Nokia 3 5 6 สักเท่าไหร่ คือมันดูง่ายก็จริง แต่ผมว่ามันไม่ค่อยสวย ที่แถบด้านบนรูปกล้องคู่คือการเลือกเปิดใช้งานกล้องทั้ง 2

โดยสามารถเลือกสลับระหว่างกล้องขาวดำ กล้องสี หรือเปิดคู่ไปเลยก็ได้ ซึ่งหากเปิดกล้องคู่ก็จะได้ความสว่างที่มากกว่า เนื่องจากเซนเซอร์ขาวดำจะมาทำหน้าที่ช่วยในการเก็บแสง เลยแอบสงสัยว่าจะมีใครเปิดเฉพาะกล้องสีหรือเปล่า? จริงๆ ไม่ควรมีในตัวเลือกอาจจะดีกว่า

ส่วนการใช้โหมด Bothie หรือ Dual Sight นั้นนอกจากถ่ายภาพแล้วยังสามารถบันทึกเป็นวิดีโอหรือจะ Live เพื่อถ่ายทอดสดขึ้นบน Facebook หรือ YouTube ก็ทำได้

ถ้าพูดถึงการบันทึกวิดีโอ เราสามารถเลือกอักเสียงได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นเสียงจากด้านหน้า ด้านหลัง หรือว่าเสียงรอบทิศทางที่มีระบบ Ozo Audio เข้ามาจัดการให้ ซึ่งคุณภาพเสียงที่ได้ออกมานั้นถือว่าน่าพอใจเลยครับ เสียงคนชัดเจน เสียงรอบๆ ตัวแม้จะดังแต่ในคลิปก็ถูกลดทอนลงไป แต่ยังมีรายละเอียดและทิศทางของเสียงอยู่ ลองฟังได้จากตัวอย่างคลิปที่ไปอัดมา

 

ตัวอย่างวิดีโอจาก Nokia 8 พร้อมระบบเสียง Ozo Audio 

Play video

 

Play video

 

Play video

 

กลับมาที่เรื่องภาพถ่ายกันต่อ เราสามารถถ่ายภาพโบเกต์หรือหน้าชัดหลังเบลอได้ โดยสามารถเลือกจุดโฟกัส และระดับความเบลอได้ตั้งแต่ตอนถ่ายภาพ

และหากถ่ายเสร็จแล้วอยากจะแก้ไข ก็สามารถเปิดแอปแก้ไขภาพบเกต์ได้ด้วย จะย้ายจุดเป็นหลังเบลอหน้าชัด หรือหลังชัดหน้าเบลอก็ตามสะดวก แค่แตะย้ายจุดโฟกัสแล้วก็ไถได้เลย

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Nokia 8 (คลิกดูภาพใหญ่ได้)

ตัวอย่างภาพถ่ายจะเห็นได้ชัดเลยว่าถ้าแสงดีๆ ภาพจะออกมาคม สีสันสวยงาม แต่พอแสงเริ่มน้อยก็จะเห็นว่าน้อยส์จะเริ่มมา สีสันเริ่มหดหายไปทีละนิด รวมๆ ภาพในที่แสงดีๆ สูสีกับหลายๆ เจ้าละ แต่ที่แสงน้อยน่าจะยังต้องปรับปรุงเพิ่มอีกหน่อย ถ้าจะไปวัดกับกลุ่มเรือธงค่ายอื่นๆ

 

ตัวอย่างภาพถ่าย Selfie และ Bothie (คลิกดูภาพใหญ่ได้)

ส่วนกล้องหน้า 13 ล้านพิกเซลนั้นก็มีโหมดบิวตี้ด้วยเหมือนกัน ซี่งเลือกปรับระดับได้ หากมีการตรวจจับใบหน้าเจอก็จะปรับความสว่างให้อัตโนมัติ แต่ในบางครั้งยังเจอปัญหาอยู่บ้างเช่นภาพแรก ส่วนการเปิดโหมด Bothie นั้นจะไม่สามารถใช้งานบิวตี้ได้ เพราะฉะนั้นก็จะเป็นหน้าสดกันไปนะฮะ

 

แบตเตอรี่     

จากการทดลองใช้งานมา 2-3 วัน Nokia 8 ปกติอยู่ได้ราวๆ 12-14 ชั่วโมง แต่ถ้าไม่ได้หยิบมาเช็คอะไรเลยก็ได้ทะลุวันครับ เรียกว่าการประหยัดพลังงานในโหมด Standby นั้นทำได้ดี ส่วนวันที่หนักๆ มีเวลาว่างให้เล่นเกมบ่อยๆ นี่ผมมันจะอยู่ได้ราวๆ 9 ชั่วโมง แต่ถ้าเลือกนับเอาเฉพาะเวลา Screen on Time หรือเปิดใช้งานหน้าจอก็ได้ราวๆ 4-5 ชั่วโมง

ส่วนการชาร์จแบตจาก 0-100% เต็ม นั้นราวๆ ชั่วโมงก็เต็มแล้วครับ โดยช่วง 30 นาทีแรกหรือช่วง 50% แรกจะขึ้นเร็วมาก เป็นผลพวงจากระบบ Quick Charge นั่นเอง

 

สรุปการใช้งาน Nokia 8

บทส่งท้ายนั้นผมขอสรุปสั้นๆ ง่ายๆ เพราะรายละเอียดในบทความนั้นครอบคลุมไปหมดแล้ว สำหรับใครอยากเห็นอะไรใหม่ๆ ล้ำๆ หรืออะไรที่เป็นเอกลักษณ์ในมือถือเรือธงนั้น รุ่นนีี้ยังไม่มีให้สัมผัสครับ

แต่ถ้าคุณรอการกลับมาของ Nokia อยู่ รุ่นนี้ซื้อได้ หรือถ้าอยากได้มือถือแรงๆ สเปคเทพราคาไม่แพง Nokia 8 ถือเป็นอีกทางเลือกที่คุ้ม และถ้าหากคุณชอบ Pure Android อยากได้รับอัพเดทเร็วๆ ก็จิ้มรุ่นนี้ได้เช่นกัน