บอกเลยว่าคราวนี้ OPPO ทำการบ้านมาดีจริง ๆ สำหรับมือถือ Reno10 Series โดยเฉพาะรุ่นน้องเล็กสุดอย่าง Reno10 ที่มีค่าตัวแค่ 13,990 บาท แต่ได้กล้องหลังเลนส์ Telephoto ความละเอียด 32MP มาเลย เรียกว่าราคาระดับนี้ไม่มีรุ่นไหนกล้าให้ รุ่นพี่กลาง Reno10 Pro ที่อัปราคามาอีกหน่อยก็จัดสเปคมาให้แบบแน่น ๆ และรุ่นพี่ใหญ่ Reno10 Pro+ นี่ก็สเปคขึ้นมาเบียด ๆ กับมือถือระดับเรือธงกันเลย

ดีไซน์ตัวเครื่อง

Reno10 Series มีดีไซน์ตัวเครื่องที่คล้ายกันทุกรุ่น โดยเฉพาะ Reno10 กับ Reno10 Pro นี่แทบจะฝาแฝดกันเลย ไม่ว่าจะฝาหลังพื้นผิวมันวาว ขอบเครื่องโค้งมน เฟรมเครื่องเคลือบสี Metallic แถมยังดูพรีเมี่ยมเพราะความโค้งมนทั้งหน้าหลังเลย (จริง ๆ ตัวท็อปก็ราคาระดับพรีเมี่ยมอยู่แล้ว แต่รุ่นน้องเล็กสุดที่หมื่นต้น ๆ ก็ยังมีดีไซน์ที่ดูพรีเมี่ยมตามไปด้วย)

โมดูลกล้องหลังของทุกรุ่นเป็นสไตล์เดียวกันหมด คือเป็นรูปร่างแบบแคปซูล แต่การวางกล้องจะแตกต่างกันนิดนึง โดย Reno10 กับ Reno10 Pro แบ่งส่วนวางกล้องหลักไว้ด้านบน มีแฟลชคั่นกลาง และด้านล่างเป็นกล้อง Telephoto กับ Ultrawide วางแนวนอน

ตัวท็อปจะวางกล้องหลักกับกล้อง Ultrawide เป็นแนวตั้ง มีแฟลชอยู่ข้างขวา ส่วนด้านล่างเป็นกล้อง Telephoto เลนส์ Periscope พร้อมแปะตัวหนังสือที่บอกว่าใช้ชิป MariSilicon ช่วยประมวลผลภาพถ่ายด้วย

นอกจากนี้รุ่นน้อง Reno10 จะใช้สีตัวเครื่องที่ต่างจาก 2 รุ่นบน เพราะเป็นสีแบบ Gradient ที่จะเปลี่ยนสีไปตามองศาของแสงที่ตกกระทบด้วย

Reno10 ใช้สีแบบ Gradient (อันนี้สี Icy Blue)

หน้าจอ

Reno10 Series ทั้ง 3 รุ่น ใช้หน้าจอดีไซน์ขอบโค้ง เจาะรูตรงกลางด้านบนสำหรับวางกล้องเซลฟี่ พาเนลเป็นแบบ AMOLED สีสวยสดใสสู้แดด ขนาดเท่ากันที่ 6.7 นิ้ว รองรับรีเฟรชเรทไหลลื่นปรื๊ด ๆ สูงสุด 120Hz ทุกรุ่น ส่วนความละเอียดของ Reno10 กับ Reno10 Pro อยู่ที่ระดับ FHD+ (2412 x 1080) ส่วนรุ่น Reno10 Pro+ ก็ระดับ FHD+ เหมือนกัน แต่ความละเอียดมากกว่านิดนึงที่ 2772×1240

กล้องหลัง – กล้องหน้า

มาถึงจุดเด่นของมือถือซีรีส์นี้กันบ้าง แน่นอว่าคือกลังหลังระดับเทพที่คราวนี้แม้แต่รุ่นน้องเล็กสุดอย่าง Reno10 ที่มีราคาเพียง 13,990 บาท ก็ยังได้กล้อง Telephoto ความละเอียดสูง 32MP มาใช้ด้วย (มือถือราคาระดับนี้ปกติไม่มีใครให้กล้อง Telephoto มาเลย) ซึ่งนอกจากจะซูมภาพได้ดีขึ้นแล้ว มันยังช่วยให้การถ่ายภาพแบบ Portrait หรือหน้าชัดหลังเบลอ ทำได้ดีขึ้นกว่าพวกมือถือที่ให้กล้อง Depth มาซะอีก

กล้อง Reno10

รุ่นน้อง Reno10 มีกล้องหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย กล้องหลักเซนเซอร์ IMX890 ความละเอียด 50MP มีระบบกันสั่น OIS + EIS, กล้อง Telephoto เซนเซอร์ IMX709 ความละเอียด 32MP ซูม 2X และกล้อง Ultrawide เซนเซอร์ IMX355 ความละเอียด 8MP ถ่ายวิดีโอสูงสุดได้ที่ระดับ 4K 30fps ส่วนกล้องเซลฟี่ความละเอียด 32MP มีกันสั่นแบบ EIS ถ่ายวิดีโอสูงสุด FHD

 

 

กล้อง Reno10 Pro

รุ่นพี่กลาง Reno10 มีกล้องหลัง 3 ตัว สเปคเดียวกันกับรุ่นน้องเลย คือ กล้องหลักเซนเซอร์ IMX890 ความละเอียด 50MP มีระบบกันสั่น OIS + EIS, กล้อง Telephoto เซนเซอร์ IMX709 ความละเอียด 32MP ซูม 2X และกล้อง Ultrawide เซนเซอร์ IMX355 ความละเอียด 8MP ถ่ายวิดีโอสูงสุดได้ที่ระดับ 4K 30fps

ส่วนกล้องเซลฟี่ความละเอียด 32MP มีกันสั่นแบบ EIS ถ่ายวิดีโอสูงสุด FHD แต่จะพิเศษกว่าคือสามารถเลือกระยะถ่ายภาพนิ่งกับวิดีโอได้ตั้งแต่ 0.8x / 1x / 2x

 

 

กล้อง Reno10 Pro+

รุ่นพี่ใหญ่ Reno10 Pro+ มีกล้องหลักและกล้อง Ultrawide สเปคเดียวกันกับรุ่นน้อง ยกเว้นกล้อง Telephoto ที่โหดกว่า เพราะเป็นเลนส์แบบ Periscope เซนเซอร์ OmniVision OV64B ความละเอียด 64MP ซูม 3X มีกันสั่น OIS สามารถซูมแบบดิจิทัลได้สูงสุดถึง 120X (แต่ถ้าจะเอาซูมแบบไปโพสท์โซเชียลได้ แนะนำว่าดีสุดที่ซักไม่เกิน 15X ก็พอ) และยังได้ชิปประมวลผลภาพถ่ายสุดเทพ MariSilicon ตัวเดียวกับที่ใช้ในเรือธงซีรีส์ Find X6 เลย

กล้องเซลฟี่ความละเอียด 32MP มีกันสั่นแบบ EIS ถ่ายวิดีโอสูงสุด FHD สามารถถ่ายภาพนิ่งกับวิดีโอได้ตั้งแต่ 0.8x / 1x / 2x เหมือนกัน

 

 

สำหรับการถ่ายวิดีโอต่าง ๆ ก็เข้าไปดูตัวอย่างกันได้ในคลิปรีวิวด้านล่างครับ

 

Play video

สเปค และการเล่นเกม

สเปค OPPO RENO10 PRO+

  • หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 1.5K (1240 x 2772) รีเฟรชเรท 120Hz
  • CPU : Snapdragon 8+ Gen 1
  • RAM (LPDDR5) : 12GB
  • ความจุ (UFS 3.1) : 256GB
  • กล้องหลัง
    – กล้องหลัก IMX890 50MP (f/1.7), กันสั่น OIS+EIS
    – กล้อง Periscope OmniVision OV64B 64MP (f/2.5) ซูม Optical 3 เท่า, กันสั่น OIS
    – กล้อง Ultrawide  IMX355 8MP (f/2.2)
    – ชิปประมวลผลภาพถ่าย MariSilicon
  • กล้องหน้า : IMX709 32MP (f/2.4) + กันสั่น EIS
  • การเชื่อมต่อ : 5G, WiFi 6 (802.11ax), BT 5.3, NFC
  • เซนเซอร์ : สแกนนิ้วใต้จอ, Geomagnetic, Ambient light, Proximity, Acceleration, Gravity, Gyroscope, Infrared sensor
  • แบตเตอรี่ : 4700 mAh รองรับชาร์จไว SUPERVOOC 100W
  • ระบบเสียง: ลำโพงคู่สเตอริโอ
  • ระบบ Android 13 ครอบด้วย ColorOS 13.1
  • ขนาด / น้ำหนัก : 162.9 x 74.0 x 8.28 มม. / 194 กรัม

สเปค OPPO RENO10 PRO

  • หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (1080 x 2412) รีเฟรชเรท 120Hz
  • CPU : Snapdragon 778G
  • RAM (LPDDR4x) : 12GB
  • ความจุ (UFS 2.2) : 256GB
  • กล้องหลัง
    – กล้องหลัก IMX890 50MP (f/1.7), กันสั่น OIS+EIS
    – กล้อง Telephoto IMX709 32MP (f/2.0) ซูม Optical 2 เท่า
    – กล้อง Ultrawide  IMX355 8MP (f/2.2)
  • กล้องหน้า : IMX709 32MP (f/2.4) + กันสั่น EIS
  • การเชื่อมต่อ : 5G, WiFi 6 (802.11ax), BT 5.2, NFC, USB-C
  • เซนเซอร์ : สแกนนิ้วใต้จอ, Geomagnetic, Ambient light, Proximity, Acceleration, Gravity, Gyroscope, Infrared sensor
  • แบตเตอรี่ : 4600 mAh รองรับชาร์จไว SUPERVOOC 80W
  • ระบบเสียง: ไม่ระบุ
  • ระบบ Android 13 ครอบด้วย ColorOS 13.1
  • ขนาด / น้ำหนัก : 162.3 x 74.2 x 7.89 มม. / 185 กรัม

สเปค OPPO RENO10 5G

  • หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (1080 x 2412) รีเฟรชเรท 120Hz
  • CPU : Dimensity 7050
  • RAM (LPDDR4x) : 8GB
  • ความจุ (UFS 2.2) : 256GB
  • กล้องหลัง
    – กล้องหลักความละเอียด 64MP (f/1.7), กันสั่น EIS
    – กล้อง Telephoto IMX709 ความละเอียด 32MP (f/2.0) ซูม Optical 2 เท่า
    – กล้อง Ultrawide 8MP (f/2.2)
  • กล้องหน้า : 32MP (f/2.4) + กันสั่น EIS
  • การเชื่อมต่อ : 5G, WiFi 6 (802.11ax), BT 5.3, NFC, USB-C
  • เซนเซอร์ : สแกนนิ้วใต้จอ, Geomagnetic, Ambient light, Proximity, Acceleration, Gravity, Gyroscope, Infrared sensor
  • แบตเตอรี่ : 5000 mAh รองรับชาร์จไว SUPERVOOC 67W
  • ระบบเสียง: ลำโพงคู่
  • ระบบ Android 13 ครอบด้วย ColorOS 13.1
  • ขนาด / น้ำหนัก : 162.43 x 74.19 x 7.99 มม. / 185 กรัม

สเปคของรุ่นพี่ใหญ่ Reno10 Pro+ อยู่ในระดับเรือธงของปีที่แล้วเลยแหละ เพราะได้ชิป Snapdragon 8+ Gen 1 แถมด้วย RAM ขนาด 12GB แน่นอนว่าเล่นเกมในปัจจุบันได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะ Genshin Impact, PUBG, ROV ปรับกราฟิกสูงเฟรมเรทสูงก็ทำได้สบายแฮ

Reno10 Pro+ ปรับกราฟิกระดับสูง เล่นได้สบายจ้า…

รุ่นน้องทั้ง Reno10 และ Reno10 Pro ถึงแม้จะสเปคต่ำกว่า แต่การใช้งานทั่วไปรวมถึงการเล่นเกมอย่าง Genshin Impact ก็ทำได้สบายเช่นกัน โดยทั้งคู่ปรับกราฟิกค่า Default แล้วเพิ่มเฟรมเรทเป็น 60fps ก็ยังเล่นได้ไม่มีปัญหา แต่ก็อาจมีอาการสะอึกบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ เวลาเจอศัตรูเยอะ ๆ (รุ่นธรรมดาแนะนำว่าปรับเฟรมเรท 30 ก็พอ จะได้ไม่กระตุกบ่อย)

Reno10 Pro ค่า Default แล้วปรับ 60 fps ก็ยังเล่นได้

Reno10 ค่า Default ปรับ 60fps พอเล่นได้ แต่แนะนำว่า 30fps จะโอเคกว่า

ลำโพงสเตอรีโอ

เรื่องลำโพงของ Reno10 Series จะแปลก ๆ ไปซะหน่อย…ไม่ใช่ว่าเสียงแปลกหรืออะไรนะ แต่ดันเป็นเรื่องของลำโพงสเตอรีโอที่มีให้เฉพาะรุ่น Reno10 กับ Reno10 Pro+ ส่วนรุ่นกลางอย่าง Reno10 Pro กลับได้ลำโพงแค่ตัวเดียวเท่านั้น

สำหรับ Reno10 ที่มีลำโพงคู่คุณภาพเสียงอยู่ในระดับธรรมดา เสียงดังดี มีมิติ แต่เสียงออกไปทางแห้ง ๆ ไม่ค่อยมีเสียงย่านต่ำเท่าไหร่, Reno10 Pro ที่มีลำโพงตัวเดียวเสียงจะดีกว่า แต่ติดตรงที่เสียงไม่มีมิติแยกซ้ายขวาไม่ได้ ส่วนรุ่นท็อป Reno10 Pro+ มาแบบครบ ๆ ด้วยคุณภาพเสียงที่ดีกว่า และยังมีลำโพงคู่เพิ่มมิติเสียงอีกด้วย

แบตเตอรี่ และการชาร์จ

แบตเตอรี่ของทั้ง 3 รุ่น มีความแตกต่างของขนาดอยู่เล็กน้อย รวมถึงระบบชาร์จไวด้วย แต่รวม ๆ แล้วคือสามารถใช้งานจัดเต็มได้ตั้งแต่เช้าถึงค่ำได้สบาย (ถ้าไม่ค่อยเล่นเกม หรือดูหนังยาว ๆ น่าจะข้ามวันได้ไม่ยาก) โดยรุ่นพี่ใหญ่ Reno10 Pro+ มีแบตเตอรี่ขนาด 4700 mAh รองรับชาร์จไวโหดสุดที่ 100W ชาร์จจากแบตเตอรี่หมดจนเต็ม 100% ใช้เวลาไม่ถึงครึ่ง ชม.

Reno10 Pro+

Reno10 Pro แบตเตอรี่เล็กกว่านิดหน่อยที่ 4600 mAh รองรับชาร์จไว 80W จาก 0 – 100% ไม่ถึงครึ่ง ชม. เหมือนกัน และรุ่นน้องที่มีแบตเตอรี่ใหญ่สุด 5000 mAh รองรับชาร์จไว 67W ดูเหมือนจะสู้พี่ ๆ ไม่ได้ แต่เวลาในการชาร์จจากจริง ๆ จาก 0-100% ไม่ถึง 50 นาที นับว่ายังเร็วมาก ๆ อยู่ดีครับ

Reno10 Pro

Reno10

สรุป

ต้องบอกเลยว่า OPPO Reno10 Series เป็นมือถือที่มีสเปค และราคาในระดับที่น่าสนใจกว่ารุ่นที่ผ่าน ๆ มา โดยเฉพาะรุ่นน้องทั้ง Reno10 กับ Reno10 Pro ที่แม้จะมีราคาอยู่ในหลักหมื่นต้นจนหมื่นปลาย แต่จัดเต็มทั้งหน้าจอ AMOLED ไหลลื่น, กล้องหลังที่มีเลนส์ Telephoto ความละเอียดสูง, สเปคแรงพอใช้งาน+เล่นเกมได้สบาย แถมด้วยระบบชาร์จไวทันใจสุด ๆ

ส่วนใครที่อยากจัดเต็มทั้งเรื่องสเปคที่แรงแบบไฮเอนด์ และกล้องหลังระดับเทพก็ขยับมาเล่นตัวท็อป Reno10 Pro+ ซึ่งเพิ่มราคาจากรุ่นโปรมาอีกหมื่นนึง แต่สเปค+ฟีเจอร์ก็เรียกว่าแทบจะอยู่ในระดับเรือธงแล้ว