ในที่สุดมือถือที่มาพร้อมกล้องคู่รุ่นแรกของตระกูล Redmi ก็เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในราคา xxx บาท ซี่งหลังจากที่เราได้แกะกล่องพรีวิวไปก็มีคนมาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับมือถือรุ่นนี้ว่า เอ.. มันมีรุ่น Pro ด้วยใช่ไหม ขออธิบายย้ำอีกรอบนะครับว่ารุ่น Note 5 Pro นั้นมีขายเฉพาะที่อินเดียเท่านั้น ส่วน Redmi Note 5 ที่่เรานำมารีวิวนั้นเป็นรุ่น Global ที่วางขายในประเทศไทย ซึ่งเป็นสเปคเดียวกับที่จีนต้นกำเนิด

ดีไซน์และงานประกอบ

ตัวเครื่อง Redmi Note 5 นั้นหากนำมาเทียบขนาดแล้ว มันเท่ากับรุ่น Redmi 5 Plus เลย ด้วยหน้าจอไซส์เดียวกัน ความละเอียดเท่ากัน แต่สเปคของ Redmi Note 5 นั้นแรงกว่าด้วยชิป Snapdragon 636 และได้กล้องหลังคู่สำหรับการถ่ายภาพ Portrait

ส่วนของรายละเอียดต่างๆ รอบตัวเครื่องนั้นอาจจะจะขอย่อแบบสั้นๆ ถ้าอยากอ่านเต็มๆ ก็ไปดูได้ที่แกะกล่องพรีวิว Redmi Note 5 นะครับ

 

ตัวเครื่องและการใช้งาน

ด้วยขนาดหน้าจอที่ตอนนี้มือถือ Android แทบทุกรุ่นมาในอัตราส่วน 18:9 กันแล้วทั้งหมด เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะเริ่มปรับตัวกันได้กับขนาดจอที่ยาวขึ้นแล้ว ซึ่งจอ 5.99 นิ้วของ Redmi Note 5 นั้นก็มาพร้อมกับความละเอียด Full HD+ ซึ่งก็ถือว่าเป็นมาตรฐาน ความละเอียดของพิกเซล รวมถึงความคมชัดนั้นดีเลย

Redmi Note 5 นั้นมาพร้อมกับ Android 8.1 และทำงานบน MIUI 9.5 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด หน้าตาโดยรวมอาจจะดูไม่แตกต่างจากตอน MIUI 9 สักเท่าไหร่ แต่จริงๆ ก็มีฟีเจอร์เพิ่มเข้ามามากทีเดียว โดยเฉพาะในเรื่องของ Gesture

เอกลักษณ์ของ MIUI อีกอย่างนึงคือการไม่มีส่วนของ App drawer ยังคงเป็นการเรียงแอปทั้งหมดในเครื่องและติดตั้งใหม่เอาไว้บนหน้า Home ยิ่งมีแอปมากก็จะมีหลายหน้า ซึ่งก็สามารถจับเข้า folder แบ่งเป็นหมวดหมู่เพื่อลดจำนวนได้ (แต่ถ้าหากอยากได้ app drawer ก็ลง launcher ตัวอื่นมาใช้งานแทน)

ระบบการแจ้งเตือนหรือ bagde บนหน้าจอของ Redmi Note 5 ยังคงแสดงเป็นตัวเลขข้อความหรือการแจ้งเตือนที่ยังไม่ได้อ่าน ซึ่งหลายๆ คนน่าจะชอบกัน

ส่วนแถบ toggle switch หรือ shortcut นั้นอยู่ด้านบนเหมือน Android ทั่วไป แถบการแจ้งเตือนจากแอปต่างๆ นั้นจะถูกรวบเป็นอันเดียว ถ้าอยากจะขยายก็แต่ลากลงมาเพื่อดูข้อความที่เรายังไม่ได้อ่าน

ถ้าเลื่อนจอไปทางซ้ายก็จะพบหน้าสำหรับค้นหา และมีทางลัดในการเข้าใช้งานแอป ต่างๆ ซึ่งส่วนนี้เราก็สามารถกำหนดข้อมูลที่จะแสดงได้บางส่วน รวมๆ แล้วการใช้งาน MIUI ของ Xiaomi ก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนครับ เวอร์ชั่นหลังๆ ก็เริ่มปรับเข้าหา Google มากขึ้นเรื่อยๆ แต่การตั้งค่าต่างๆ มันอาจจะดูยุ่บยั่บเยอะแยะไปบ้าง คาดว่าใครที่อยากจะลองย้ายมาครั้งแรกก็ใช้เวลาในการเรียนรู้ไม่มาก

 

ฟีเจอร์ต่างๆ ของ MIUI

ส่วนนี้ขออธิบายฟีเจอร์ใหม่ของ MIUI ที่เสริมเข้าในเวอร์ชั่น 9.5 ก่อน หลักๆ เลยก็คือเรื่องของ gesture ที่ทำให้เราสามารถปิดปุ่มนำทางหรือ navigation key ด้านล่างไปได้เลย ไม่ต้องแทรกขึ้นมาบนหน้าจอ โดยเข้าไปที่การตั้งค่า > การแสดงผลเต็มหน้าจอ

ฟีเจอร์นี้ก็จะใช้การลากนิ้วในการควบคุมเครื่องเป็นหลัก เช่นลากนิ้วจากด้านล่างขึ้นมาบนหน้าจอ จะเป็นการกลับไปสู่หน้า Home

หากลากแล้วค้างบนหน้าจอ ก็จะเป็นการเรียก Overview ดูแอปที่หมดที่เปิดทิ้งเอาไว้

หากลากหรือปัดนิ้วจากขอบด้านข้างไม่ว่าซ้ายหรือขวา จะเป็นการย้อนกลับเหมือนเรากดปุ่ม back

ในช่วงแรกอาจจะไม่ค่อยชิน แต่ถ้าฝึกไปเรื่อยๆ จะติดใจ เพราะมันใช้งานง่าย ส่วนตัวผมก็ชอบนะ แต่ติดอย่างเดียวคือตอนจะสลับแอปที่ต้องเลื่อนนิ้วมาค้างกลางจอนี่แหละ รู้สึกว่ามันต้องรอไปหน่อย ไม่เหมือนกับการกดปุ่ม overview หรือ recent app ที่แตะปุ้บมาปั้บ

Second Space : พื้นที่ทับซ้อน เป็นฟีเจอร์สร้าง Space ของการทำงานขึ้นมาใหม่ โดยจะเป็นการแบ่งแยกหน้าตาและการใช้งาน รวมถึงข้อมูลในแอปกันอย่างสิ้นเชิง และสามารถสลับไปมาได้ เสมือนเรามีมือถืออีก 1 เครื่อง คล้ายๆ กับการสร้าง profile แยกกันระหว่างการใช้งานปกติ และหน้าจอในการทำงาน อะไรทำนองนั้นครับ

App Clone : แอปโคลนเป็นหนึ่งในฟีเจอร์เด่นของ MIUI ที่เราสามารถโคลนแอปอะไรก็ได้ แยกออกมาเป็นอีกแอปนึงเพื่อใช้งานพร้อมๆ กัน แต่เป็นคนละ account หรือคนละ ID เช่น Facebook, Messenger และ Line หรือจะเป็นเกมต่างๆ ก็สามารถจะแยกออกมาอีกอันได้ ไม่ต้องคอยสลับ ID ในการ login

App Lock : แอปล็อค ล็อคการเข้าใช้งานแอปต่างๆ ได้ด้วยการใส่รหัสผ่าน เพื่อความเป็นส่วนตัว ไม่ให้คนอื่นมาเปิดแอปนั้นๆดูได้ตอนที่เอามือถือเราไปเล่น แม้จะไม่ได้ล็อคเครื่องก็สามารถล็อคแค่ตัวแอปได้

นอกจากนั้น Redmi Note 5 เองก็ยังมีแอปทำความสะอาด ที่คอยตรวจสอบและกำจัดข้อมูลที่ไม่ต้องการ หรือ cache ต่างๆ ที่เป็นขยะออกไปจากเครื่องได้ ไม่ต้องไปลงแอปเสริม และก็ยังมีมีวิทยุ FM ตัวสแกน QR Code ระบบการอัดหน้าจอเป็นวิดีโอเก็บเอาไว้ได้ด้วย

อีกฟีเจอร์ที่คนที่ใช้บ่อยๆ ก็ชอบ ก็คือการมี IR Blaster หรืออินฟราเรดรีโมทที่เราสามารถแปลงร่าง Redmi Note 5 ให้มันสั่งการทีวี พัดลม แอร์ หรืออะไรก็ตามที่มีรีโมทให้กดได้แบบไม่ต้องไปควานหารีโมทของมันจริงๆ ว่าเราลืมวางเอาไว้ตรงไหน

 

เข้าไปตั้งค่า เลือกยี่ห้อ จากนั้นก็ทดลองกดสัก 2-3 ครั้ง แล้วก็พร้อมใช้งานในทันที

อ้อ! เกือบลืมไปเลย ในมือถือของ Xaiomi จะมีระบบบันทึกเสียงสนทนาหรือเวลาใช้สายอยู่ด้วยนะครับ โทรคุยกับใครสามารถอัดไว้ได้หมด ซึ่งก็สามารถเลือกได้ว่าจะอัดมันทุกการโทรเลย หรืออัดเป็นบางครั้ง

 

ประสิทธิภาพและการใช้งาน

คะแนนการทดสอบต่างๆ ของ Redmi Note 5 ก็ได้ผลออกมาตามนี้ มีคะแนนของ Antutu อยู่ที่ 115365 คะแนน ซึ่งก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานจอง Snapdragon 636 (บางรุ่นอาจจะวิ่งได้ถึง 120,000 หรือ 130,000 ก็มี) ส่วนหน่วยความจำภายในที่ใช้ก็เป็นประเภท eMMC อ่านข้อมูลได้ที่ 270MB/s และเขียนอยู่ที่ 200MB/s

ตอนลองเล่นเกมนี่ยังไม่เจอปัญหาอะไรเลย ทั้ง Major Mayhem 2, Dragon Ball Legends ที่ออกมาใหม่ ลื่นๆ สบายๆ เพราะยังไงซะชิปก็รับไหว ส่วนเกมอย่าง ROV นี่ปกติจะไม่สามารถเปิดโหมดเฟรมเรทสูงได้นะครับ แต่พอลองกดสูตร easter egg ติด ก็เปิดได้ และโดยรวมยังถือว่านิ่งมากๆ ด้วย ในการเล่นแบบ 60fps (ลองดูตัวอย่างได้ตั้งแต่นาทีที่ 4 เป็นต้นไป)

Play video

เซนเซอร์ต่างๆ ในตัวเครื่องให้มาครบหมด ลองเทส Gyroscope สำหรับ AR และ VR ก็ไม่มีปัญหาใดๆ ใช้นำทางได้ไม่หลงทิศ มี Magnetometer ครับ แล้วก็รองรับคลื่นดาวเทียม GPS จากหลายค่าย

 

กล้องถ่ายภาพ

โหมดต่างๆ ของกล้องอาจะมีไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ก็พอเพียงต่อการใช้งาน ปรับเบลอนี่เอาไว้แต่งภาพในแบบ vignett ส่วน HHT เอาไว้ถ่ายกลางคืน (แต่ก็ยังหาความแตกต่างจาก Auto ไม่ได้สักเท่าไหร่)

แต่ด้วยความที่มันเป็นซีรี่ส์ Redmi แม้จะมีโหมดโปร หรือการปรับตั้งค่าเอง แต่ก็จะปรับได้แค่ White Balance กับ ISO เท่านั้น

กล้องหลังคู่ของ Redmi Note 5 มีความละเอียดอยู่ที่ 12MP + 5MP ซึ่งเซนเซอร์ตัวรองนั้นมีเอาไว้เพื่อทำการถ่ายภาพ Portrait Mode ซึ่งผลที่ได้ก็ถือว่าเกือบดี จะมีเอ๋อๆ อยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ แล้วก็มันเบลอหนักไป ปรับไม่ได้ จนบางภาพมันจะดูปลอมๆ

ตัวอย่างภาพ Portrait จากกล้องหลัง

ส่วนภาพถ่ายปกติทั่วไปนั้นถือว่าดีขึ้นเยอะเลยครับ มีความคมมากขึ้น เนื้อวุ้นๆ ที่เคยเห็นใน Xiaomi เริ่มค่อยๆ ลดลงไปแล้ว แต่ยังหาความเป็น AI ที่โฆษณาเอาไว้ไม่เจอ คือมันไม่มีตัวบอกว่ากล้องตอนนี้กำลังใช้หรือไม่ใช้ AI

ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง

ส่วนกล้องหน้า 13 ล้านพิกเซลผลงานก็ออกมาถือว่าน่าพอใจครับ แสงดีๆ สอบผ่าน แต่แสงน้อยๆ ก็ noise และ grain มาเต็มเหมือนกัน แม้จะมีเซนเซอร์ตัวเดียว แต่ก็ใช้ software ทำ Portrait เบลอหลังได้เหมือนกัน

ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า

สรุปผลการใช้งาน

มันคือรุ่นสุดคุ้มอีกรุ่นนึงที่ใส่เทคโนโลยีซึ่งเป็นเทรนด์ของปีนี้มาให้ครบ ทั้งหน้าจอ 18:9 กล้องหลังคู่ มีหน้าชัดหลังเบลอ กล้องหน้าก็ถ่ายเบลอได้ ชิปเซ็ตดี ใช้งานเล่นเกมก็ลื่น รวมๆ แล้วเป็นมือถืออีกรุ่นนึงที่ซื้อได้แบบไม่ต้องคิดมากจริงๆ ด้วยราคาค่าตัวของมัน แบตเตอรี่ 4000 มิลลิแอมป์ก็เหลือเฟือจริงๆ ถ้าจะมีจุดที่อยากให้ปรับปรุงหน่อยก็คือแบตใหญ่แต่ในกล่องแถมหม้อแปลงชาร์จไฟได้แค่ 5V 2A มันก็เลยจะช้าอยู่สักหน่อยกว่าจะเต็ม คือถ้าหมดเกลี้ยงนี่รอไปเลย 3-4 ชั่วโมง (แต่จริงๆ ตัวเครื่องนั้นรองรับ Quick Charge 2.0 รับไฟได้สูงสุด 9V ใครที่มีหม้อแปลง Quick Charge ก็จะชาร์จได้เร็วขึ้น)

สเปค Redmi Note 5

  • หน้าจอขนาด 5.99 นิ้ว ความละเอียด FHD+  (2160 x 1080) อัตราส่วน 18:9
  • CPU : Snapdragon 636
  • GPU : Adreno 509
  • RAM : 3GB / 4GB
  • ความจุ : 32GB / 64GB รองรับ MicroSD Card ถึง 256GB
  • กล้องหลังคู่ : 12MP (f/1.9) + 5MP (f/2.0), แฟลช Dual-LED
  • กล้องหน้า : 13MP LED Selfie + Beautify 4.0
  • วิทยุ FM
  • IR Blaster
  • สแกนลายนิ้วมือด้านหลัง
  • ระบบปลดล็อคด้วยใบหน้า
  • เซ็นเซอร์ :  accelerometer, gyro, proximity, compass
  • การเชื่อมต่อ :  Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Wi-Fi Direct, hotspot, BT 5.0, MicroUSB 2.0
  • แบตเตอรี่ : 4,000 mAh รองรับ Fast Charge 5V / 2A
  • ระบบ Android 8.1 ครอบด้วย MIUI 9.5
  • สีที่วางจำหน่าย : ดำ ฟ้า ทอง
  • ราคาเปิดตัว
    – รุ่น RAM 3GB / ROM 32GB ราคา 5,990 บาท
    – รุ่น RAM 4GB / ROM 4GB ราคา 6,990 บาท

ใครที่สนใจก็ไปสั่งจองกันได่นะครับ ตอนนี้ยังมีแค่ออนไลน์เท่านั้น แต่ช่วงปลายเดือนนี้ต้นเดือนหน้า ก็น่าจะเริ่มขายตามหน้าร้านทั่วไปกันแล้ว