สมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ Redmi Watch 3 พึ่งเข้ามาเปิดตัวในบ้านเราได้ไม่นานนี้ ด้วยราคาค่าตัว 3,490 บาท แต่มากับฟีเจอร์แน่น ๆ เอาใจสายสุขภาพเต็มที่ ไม่ว่าจะมี GPS ในตัว บันทึกระยะทางการวิ่งได้แบบไม่ต้องพกมือถือไปด้วย, เซนเซอร์ตรวจวัดอ๊อกซิเจนในเลือด, ใส่ว่ายน้ำได้, ใช้รับสายและคุยได้โดยตรงจากตัวนาฬิกา ฯลฯ บอกเลยว่าเป็นสมาร์ทวอทช์ที่น่าสนใจรุ่นนึงเลย ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นยังไงบ้าง…มาดูกันเลยจ้า
ดีไซน์สวย เบาหวิว
Redmi Watch 3 มีตัวเรือนเป็นสี่เหลี่ยมมุมโค้ง ขอบจอทั้ง 4 ด้านก็โค้งแบบ 2.5D ส่วนขอบตัวเรือนเป็นโลหะเคลือบด้วยสีเงินโครเมี่ยมมันวาว (ก็เลยเป็นรอยนิ้วมือง่ายไปหน่อย)
มีปุ่มอยู่ข้างขวาหนึ่งปุ่มสำหรับกดเข้าหน้าเมนูหลัก หรือกดค้างเพื่อเรียกผู้ช่วยอย่าง Alexa แต่พอกดเรียกแล้วดันบอกว่าประเทศไทยใช้ไม่ได้…
สายที่ให้มาเป็นแบบซิลิโคน สามารถถอดเปลี่ยนได้ง่ายดายสุด ๆ แค่กดปุ่มปลดล็อคตรงขั้วสายแล้วดึงออกมา ตรงนี้แม้จะถอดง่ายแต่ก็ไม่ต้องกลัวว่าใส่ ๆ อยู่แล้วกระแทกอะไรนิดหน่อยสายจะหลุดออกมานะครับ เพราะปุ่มปลดล็อคต้องออกแรงกดให้มันจมลงไปถึงจะถอดได้
ส่วนน้ำหนักก็เบาหวิวพอกับนาฬิกาข้อมือธรรมดา ๆ เลย แค่ 37 กรัมเท่านั้น จะใส่วิ่ง ใส่ออกกำลัง หรือใส่ว่ายน้ำก็ไม่ถ่วงข้อมือหรือรูดขึ้นรูดลงตีแขนให้รำคาญแน่นอน
เบาหวิว สาว ๆ ใส่ได้สบายแฮ
หน้าจอ AMOLED สดใสสู้แดด
Redmi Watch 3 ใช้หน้าจอ AMOLED แบบสัมผัส ขนาด 1.75 นิ้ว ความสว่างสูงสุด 600 nits ซึ่งสว่างพอจะใช้งานกลางแจ้งได้แบบชัดเจนไม่ต้องเพ่งเยอะ จะติดก็ตรงที่ไม่มีระบบปรับความสว่างตามสภาพแวดล้อมอัตโนมัติ ต้องคอยกดเอาเอง และจากการใช้งานพบว่าหน้าจอตอบสนองได้ดีเลย รูดปรื๊ด ๆ ไม่มีอาการหน่วง
มีฟีเจอร์ Always on Display ให้แสดงข้อมูลบางส่วนไว้ตลอดเวลาบนหน้าจอที่ดับอยู่ อย่างพวกเวลา วันที่ อะไรแบบนี้ โดยจอจะมีแสงขึ้นมาบริเวณที่แสดงข้อมูลเท่านั้น ส่วนที่เป็นสีดำก็จะไม่เปล่งแสงออกมา ทำให้ไม่กินแบตเตอรี่เหมือนตอนเปิดจอไว้ตลอดเวลา (แต่แบบนี้ก็ยังคงกินแบตมากกว่าการปิดจอทั้งหมดอยู่ดีนะครับ)
โหมด Always on Display ไม่ได้หน้าตาแบบนี้หมดนะ จะเปลี่ยนไปตามสไตล์หน้าปัดที่เราเลือกด้วย
หน้าปัดหรือ Watch face สามารถเปลี่ยนได้เป็นร้อยแบบ (ดาวน์โหลดในแอป Mi Fitness) หรือจะเอาภาพในมือถือมาตั้งเป็นภาพหน้าปัดเองก็ได้นะ
ติดตั้งแอป Mi Fitness ก่อนใช้
ก่อนจะใช้งานให้ได้เต็มรูปแบบก็ต้องไปโหลดแอป Mi Fitness มาติดตั้งซะก่อน โดยมีทั้ง Android และ iOS เลยครับ พอติดตั้งแล้วก็สแกน QR Code จากหน้าจอนาฬิกาเพื่อจับคู่ ก็เป็นอันเสร็จพิธี
ในแอป Mi Fitness ก็จะมีข้อมูลต่าง ๆ ที่สมาร์ทวอทช์ Sync กับแอป ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการเผาผลาญแคลเลอรี่, ก้าวเดิน, ระยะทาง, อัตราการเต้นหัวใจ, ค่าอ๊อกซิเจนในเลือด ฯลฯ ซึ่งข้อมูลพวกนี้เราสามารถเข้าไปดูย้อนหลังได้ว่าวันที่ผ่าน ๆ มาเป็นยังไงบ้าง
และเนื่องจาก Redmi Watch 2 มีระบบ GPS ในตัวด้วย หากเราต้องการออกไปวิ่ง ไปปั่นจักรยาน แล้วไม่อยากพกมือถือไปให้มันแกว่งตีขาก็ทำได้เลย เพราะเมื่อเรากลับบ้านมาแล้วตัวสมาร์ทวอทช์เชื่อมกับมือถือเมื่อไหร่ ก็ให้กด Sync ซะ พวกข้อมูลการออกกำลังกายก็จะถูกส่งไปยังแอปทันที
เปลี่ยนหน้าปัดได้เพียบบบ
สำหรับการเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกาให้เข้าแอป Mi Fitness แล้วเลือกที่ Device > เข้าที่ Manage watch faces จากนั้นก็เลือกหน้าปัดที่เราต้องการแล้วกด Apply เพื่อติดตั้งบนสมาร์ทวอช์ได้ทันที ส่วนบนสมาร์ทวอทช์หากต้องการเปลี่ยนหน้าปัดก็แค่กดที่หน้าจอค้างไว้แป๊บนึง จากนั้นก็จะมีหน้าปัดทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ในสมาร์ทวอทช์ให้เลือกใช้
โทรออก-รับสายและคุยผ่านสมาร์ทวอทช์ได้เลย
สมาร์ทวอทช์รุ่นนี้มากับฟีเจอร์ที่ให้เราสามารถรับสายและคุยจากนาฬิกาได้เลย เพราะมีไมโครโฟนและลำโพงอยู่ในตัวด้วย แต่เสียงสนทนาก็จะออกมาจากลำโพงนะครับ หากมีคนอยู่ใกล้ ๆ ก็จะได้ยินกันหมดล่ะ…ว่าคุยอะไรบ้าง
ส่วนการโทรออกจะต้องไปตั้งค่าเอาเบอร์โทรของคนที่เราต้องการมาใส่ใน Favourite contacts ผ่านแอป Mi fitness ก่อนนะครับ เบอร์ถึงจะไปโผล่อยู่บนสมาร์ทวอทช์
ฟีเจอร์สุขภาพ / ออกกำลัง
ฟีเจอร์สุขภาพของ Redmi Watch 3 หลัก ๆ เลย คือมีทั้งเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ, อ๊อกซิเจนในเลือด (SpO2), วัดคุณภาพการนอน และโหมดออกกำลังกายเป็น 100 แบบ
วัดอัตราการเต้นหัวใจ และ SpO2
การวัดอัตราการเต้นหัวใจเราสามารถปรับได้ว่าจะให้มันวัดตลอดเวลา 24 ชม. (เปลืองแบตเตอรี่ที่สุด) จะตั้งเป็นช่วงเวลาทุก 1 นาที / 10 นาที / 30 นาที หรือจะตั้งแบบ Smart สำหรับวัดแบบอัตโนมัติก็ได้
สำหรับการวัดค่าอ๊อกซิเจนในเลือดหรือ SpO2 จะต้องเลือกเปิดเองจากหน้าเมนูนะครับ จากนั้นก็กด Measure แล้วอยู่นิ่ง ๆ ซักแป๊บจนกว่ามันจะวัดค่าเสร็จ
วัดคุณภาพการนอน
หากใส่ Redmi Watch 3 นอน มันก็จะคอยตรวจจับร่างกายเราแล้วประมวลผลออกมาตอนตื่นนอนว่าเราหลับแบบไหน หลับลึกกี่ ชม. สะดุ้งตื่นบ้างมั้ย ฯลฯ โดยโหมดนี้ไม่ต้องไปกดเปิดเลย เพราะมันจะตรวจจับได้เองเมื่อเรานอนแล้วครับ
โหมดออกกำลังให้เลือกเพียบ
โหมดออกกำลังมีมากกว่า 120 แบบ เลย ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังเบสิคอย่าง เดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน ซึ่งก็จะมีแยกออกไปอีกว่าในร่มหรือกลางแจ้ง หรือจะเป็นกีฬาอย่างพวก บอล, มวยไทย, ไท้เก๊ก, สกี, ว่ายน้ำ อะไรแบบนี้ก็มีเหมือนกันนะ
เมื่อออกกำลังเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มาเช็คข้อมูลต่าง ๆ ได่จากหน้าแอป Mi Fitness ได้เลยว่าเราเบิร์นแคลลอรี่ไปได้ขนาดไหน หัวใจเต้นระดับไหน
กันน้ำ 5ATM
ได้มาตรฐานกันน้ำ 5ATM ซึ่งหมายความว่าสามารถทนแรงดันน้ำได้ลึกถึง 50 เมตร คือเหนือกว่าระดับ IP68 เพราะสามารถใส่ลงไปว่ายน้ำได้เลยนั่นเองครับ
GPS ในตัว
การออกกำลังแบบที่ต้องใช้ข้อมูลระยะทางอย่างเช่น เดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน อะไรแบบนี้ เราสามารถออกไปทำได้โดยไม่ต้องพกมือถือไปด้วย เพราะสมาร์ทวอทช์นี้มี GPS ในตัวนั่นเอง วิธีก็แค่ออกไปอยู่ในที่โล่ง เลือกโหมดออกกำลังกายที่ต้องการ จะมาอยู่ที่หน้าเตรียม มีปุ่ม Go ให้กดเพื่อเริ่มออกกำลัง
ตรงหน้านี้ให้สังเกตขีดสีเขียวบนหน้าจอสมาร์ทวอทช์ ซึ่งก็คือสัญญาณ GPS นั่นเอง เราต้องรอให้มันจับสัญญาณได้ก่อน (ถ้าจับได้แล้วนาฬิกาจะสั่น และขีดเขียวจะหยุดวิ่ง) ถึงจะกด Go ไปได้ครับ
พอวิ่งเสร็จกลับมาเชื่อมกับมือถือปุ๊บ ก็กด Sync ที่แอป จากนั้นข้อมูลทั้งระยะทาง, อัตราการเต้นหัวใจ, อ๊อกซิเจน ฯลฯ ก็จะมาอยู่ในแอปให้เราดูได้แล้ว
แบตเตอรี่
Xiaomi เคลมว่า Redmi Watch 3 สามารถใช้งานได้สูงสุดถึง 12 วัน ซึ่งตรงนี้เอาจริง ๆ ก็ต้องดูด้วยว่าเราใช้งานหนักหน่วงแค่ไหน อย่างเช่น ตั้งให้เซนเซอร์วัดชีพจรบ่อย ๆ, ออกกำลังกายบ่อย, เปิดใช้ GPS, เปิด Always on Display อะไรแบบนี้ อายุการใช้งานก็จะลดลงไปนั่นเอง
จากการทดสอบจับเวลาใช้งานจริง เปิด Always on Display, ความสว่างจอสูงสุด, หน้าจอติดอัตโนมัติเมื่อยกแขน, ตั้งค่าวัดชีพจรทุก 10 นาที, Notification เด้งทั้งวัน, ใส่นอนเพื่อตรวจจับคุณภาพการนอน, ใช้ GPS ในตัวออกไปเดินนอกบ้านราว ๆ 20 นาที ผ่านไป 1 วัน พบว่าเหลือแบตเตอรี่เกือบ ๆ 80% คาดน่าจะใช้งานได้ราว 3-4 วันค่อยชาร์จทีนึงน่าจะได้อยู่ครับ
สรุป
ข้อดี
- หน้าจอใหญ่ดูง่าย พาเนล AMOLED สีสวยสดสู้แดด
- หน้าจอสัมผัสตอบสนองดี ไม่หน่วง
- มี Always on Display
- ดีไซน์สวย ตัวเครื่องเบาหวิว ใส่ออกกำลังกายได้ไม่ถ่วงแขน
- มี GPS ในตัว
- กันน้ำ 5ATM ใส่ว่ายน้ำได้เลย
- โหมดออกกำลังให้เลือกเพียบ
- มี SpO2
- รับสายและคุยจากตัวนาฬิกาได้เลย
- สายถอดเปลี่ยนง่าย
- ราคาเทียบกับฟีเจอร์แล้วถือว่าโอเคเลย
ข้อสังเกต
- ขอบเครื่องเป็นโลหะผิวมันวาว เป็นรอยนิ้วมือง่ายมาก
- หน้าจอไม่ปรับความสว่างอัตโนมัติ
- เอาไฟล์เพลงยัดใส่สมาร์ทวอทช์ไม่ได้
- เรียกใช้ผู้ช่วยอัจฉริยะได้แค่ Alexa และพอกดเรียกแล้วบอกว่าใช้ไม่ได้ในไทยอีกต่างหาก
บอกเลยว่าใครที่มองหาสมาร์ทวอทช์สำหรับออกกำลังหรือไว้คอยเช็คสุขภาพที่มีดีไซน์สวยใส่ได้ทุกสถานการณ์ Redmi Watch 3 เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจรุ่นนึง และด้วยราคาที่ไม่แรงมาก (3,490 บาท) ก็ยิ่งทำให้น่าสนใจมากขึ้นไปอีกครับ
design ได้แรงดลใจมาจากค่ายผลไม้ไหมเอ่ย