เหล่าเกมเมอร์พร้อมยัง? ตอนนี้ ASUS ได้เอามือถือเกมมิ่งสเปคโคตรโหดอย่าง ROG Phone 7 Series เข้ามาในบ้านเราเรียบร้อยแล้ว โดยรุ่นที่เราเอามารีวิวให้ดูกันนี้ก็คือ ROG Phone 7 Ultimate ตัวท็อปที่มีหน้าจอสุดเท่ด้านหลังสำหรับโชว์โลโก้ต่าง ๆ พร้อมสเปคแรงจัดจ้านด้วย Snapdragon 8 Gen 2 และอุปกรณ์เสริม AeroActive Cooler 7 พัดลมระบายอากาศที่มีปุ่ม L-R มาให้ แถมยังกลายร่างเป็นซับวูฟเฟอร์ทำให้ระบบเสียงของมือถือรุ่นนี้กลายเป็นแบบ 2.1 Channel ได้อีกต่างหาก…แต่จะเทพแค่ไหน ก็ต้องมาดูรีวิวกันเต็ม ๆ ในนี้เลยจ้า
ดีไซน์ที่ยังไม่แหวกไปจากเดิม
แฟน ๆ ROG Phone น่าจะรู้กันอยู่ว่าตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน ROG Phone Series จะมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่หนีกันเท่าไหร่ ทั้งหน้าจอแบนราบที่ยังคงมีขอบบน-ล่างสำหรับวางลำโพงคู่ และยังคงวางกล้องเซลฟี่เอาไว้ที่ขอบด้านบน ไม่ได้ใช้ดีไซน์เจาะรูบนหน้าจอ
ส่วนด้านหลังเครื่องจะมีความแตกต่างกันไปเล็กน้อย โดยเฉพาะโลโก้ ROG หรือหน้าจอเล็กด้านหลังสำหรับแสดงโลโก้และ Notification ต่าง ๆ โดยรุ่นนี้เป็นหน้าจอสีแบบ OLED ขนาด 2 นิ้ว สำหรับแสดงโลโก้ / กราฟิก / แจ้งเตือน
เวลาจะเปลี่ยนกราฟิกที่จอด้านหลังให้เข้าไปที่แอป Armoury Crate > เลือกที่ Console เลื่อนลงมาจนเจอเมนู ROG Vision แล้วก็เลือกได้เลยว่าอยากให้แสดงเป็นรูปไหนตอนไหนบ้าง
ที่พิเศษกว่ารุ่นธรรมดาก็คือ รุ่น Ultimate มีช่องระบายอากาศด้านหลังที่จะเปิดขึ้นมาอัตโนมัติเมื่อเสียบพัดลม AeroActive Cooler 7 เข้าไป เพื่อให้ความร้อนด้านในถูกพัดลมดูดออกมาได้ง่ายขึ้น แต่ช่องระบายอากาศด้านหลังเมื่อปิดแล้วจะแนบสนิทเลยนะครับ ไม่ต้องกลัวว่าฝุ่นหรือน้ำจะเข้าเลย เพราะคราวนี้ ROG Phone 7 Series ได้รับมาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP54 ด้วย
ช่องระบายอากาศจะเปิดก็ต่อเมื่อใส่ AeroActive Cooler 7 เท่านั้น
ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีพอร์ต USB-C มาให้อีกช่องนึงสำหรับเสียบอุปกรณ์เสริม AeroActive Cooler 7 หรืออื่น ๆ นอกจากนี้หากต้องการเสียบสาย USB-C > HDMI เพื่อต่อออกจอนอก ก็ต้องต่อกับพอร์ตด้านข้างนี้เท่านั้นนะครับ พอร์ต USB-C ด้านล่างไม่รองรับการต่อจอนอกนะ
มีพอร์ต USB-C สองช่อง เสียบชาร์จช่องไหนก็ได้ แต่ถ้าจะต่อจอต้องช่องด้านข้าง
และตามเคยคือตัวเครื่องมีขนาดที่เรียกว่าใหญ่เลยล่ะ (เทียบแล้วพอ ๆ กับ S23 Ultra แต่ยาวกว่าหน่อยนึง) ส่วนน้ำหนักก็ไม่ใช่เล่น ๆ อยู่ที่ 239 กรัม เพราะมีแบตเตอรี่ขนาดมหึมาถึง 6000 mAh เวลาพกในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินเร็ว ๆ หรือวิ่งนี่มีแกว่งไกวตีขาปั้ก ๆ เลย
เวลาใช้เล่นเกมทั้งความหนาและน้ำหนักคือพอดี ๆ แต่ถ้าใช้เป็นมือถือนี่บอกเลยว่าใหญ่มาก
จอสวยสดใส รีเฟรชเรทสูง
หน้าจอใช้พาเนล AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรทสูงสุด 165Hz และครอบด้วย Gorilla Glass Victus สุดแกร่ง สำหรับการใช้งานกลางแจ้งหายห่วงได้เลยเพราะมีความสว่างสดใสมองเห็นได้ชัดเจน
รีเฟรชเรทสูงสุด 165Hz แต่ไม่ใช่จอแบบ LTPO ที่สามารถลดรีเฟรชเรทลงได้ต่ำสุด 1Hz นะครับ เพราะฉะนั้นรีเฟรชเรทเลยลงมาต่ำสุดได้แค่ 60Hz เท่านั้น ส่วนการปรับค่ารีเฟรชเรทมีให้เลือกหลายระดับเลยตั้งแต่ 60/90/120/144/165Hz และแบบ Auto ปรับอัตโนมัติตามการใช้งาน
สเปคแรงเล่นอะไรก็ลื่น
สเปค ROG PHONE 7 / ROG PHONE 7 ULTIMATE
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรทสูงสุด 165Hz ครอบด้วย Gorilla Glass Victus
- CPU : Snapdragon 8 Gen 2
- RAM (LPDDR5x) : 16GB
- ความจุ (UFS 3.1) : 512GB
- กล้องหลัง 3 ตัว
– กล้องหลัก IMX766 ความละเอียด 50MP
– กล้อง Ultrawide ความละเอียด 13MP
– กล้อง Macro 5MP - กล้องหน้า : 32MP
- การเชื่อมต่อ : WiFi 7, BT 5.3, NFC
- เซนเซอร์ : Fingerprint (ใต้จอ), accelerometer, e-compass, gyroscope, proximity sensor, ambient-light sensor
- ระบบเสียง : ลำโพงสเตอรีโอ, DIRAC Sound, รูหูฟัง 3.5 มม., เสียง 2.1 Channel (AeroActive Cooler 7)
- มาตรฐานกันน้ำ : IP54
- แบตเตอรี่ : 6000 mAh รองรับชาร์จไว 65W, Bypass Charging
- ระบบ Android 13
สเปคของ ROG Phone 7 Ultimate ไม่ต้องบอกเลยว่าแรงขนาดไหน เพราะมากับชิป Snapdragon 8 Gen 2 พร้อม RAM LPDDR5X ถึง 16GB คือบอกเลยว่ารองรับเกมมือถือกราฟิกโหด ๆ ในปัจจุบันได้หมด เกมเบสิค ๆ ไม่ว่าจะเป็น ROV / PUBG ปรับสุด ก็ไม่มีปัญหา
ทดสอบเล่น Genshin Impact ปรับกราฟิกเต็มเอี้ยด+เฟรมเรท 60fps ก็เล่นได้ลื่น ๆ เลย แต่การปรับกราฟิกหนักแบบนี้ก็ทำเอาซดแบตเตอรี่โฮก ๆ เหมือนกัน ลองจับเวลาเล่นไปราว ๆ 15 นาที แบตเตอรี่หายไปแล้ว 8-9% ความร้อนของ CPU อยู่ที่ราว ๆ 41° แต่ยังถือเล่นได้สบาย ไม่ร้อนมาถึงมือจนเหงื่อออก (ส่วนการใช้พัดลมระบายอากาศไปต่อที่หัวข้อด้านล่างนะ)
ปุ่ม Airtriggers บนขอบเครื่อง สำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะ
เอกลักษณ์ของมือถือซีรีส์นี้ก็คือปุ่ม AirTriggers ที่อยู่บนขอบเครื่อง ซึ่งเป็นปุ่มสัมผัสแบบ Ultrasonic ตั้งค่าได้ว่าจะใช้การกดแทนปุ่ม L-R ปกติ, เลือกเป็น L1/L2 ด้วยการกดปุ่ม L/R ด้านนอก/ด้านใน, หรือจะใช้เป็นการไถนิ้วไปทางซ้าย/ขวา แทนการกดปุ่ม L1/L2/R1/R2 ก็ได้ (วิธีตั้งค่าลงไปดูตรงหัวข้อ AeroActive Cooler 7 นะครับ)
ปุ่ม L/R ที่เป็น AirTriggers จะอยู่ตรงนี้
AeroActive Cooler 7 เป็นทั้งพัดลม / จอยเกม / ซับวูฟเฟอร์
AeroActive Cooler 7 เป็นพัดลมระบายอากาศแบบเสียบเข้ากับพอร์ต USB-C ด้านข้างเครื่อง ซึ่งนอกจากจะช่วยดูดลมร้อนออกจากเครื่องแล้ว มันยังมีปุ่ม L1/L2/R1/R2 มาให้ใช้เล่นเกมต่าง ๆ ได้ด้วย แถมยังพิเศษกว่า AeroActive Cooler รุ่นก่อน ๆ เพราะมันทำหน้าที่เป็นซับวูฟเฟอร์ให้กับ ROG Phone 7 อีกต่างหาก พอเสียบแล้วจะเปลี่ยนระบบเสียงให้กลายเป็น 2.1 Channel เพิ่มความตึ้บกว่าเดิมเยอะจนไม่ต้องอาศัยลำโพงภายนอกเลย
พัดลมระบายอากาศ
การใช้เป็นพัดลมระบายอากาศจะมีความเร็วพัดลมให้เลือกทั้งหมด 4 ระดับคือ Smart ปรับอัตโนมัติ / Cool / Frosty และสูงสุดคือ Frozen (ต้องเสียบไฟจากหัวชาร์จ 65W ก่อนถึงจะใช้ได้) จากการทดสอบคร่าว ๆ ก็พบว่ามันช่วยลดอุณหภูมิของเครื่องลงได้จริง ๆ ด้วย อย่างเล่น Genshin Impact ปรับกราฟิกเต็มเอี้ยดเล่นไปราว ๆ ครึ่ง ชม. อุณหภูมิขึ้นไป 41° พอใส่พัดลมเข้ามาซักพักก็ลดลงเหลือ 38-39° เลย แต่ข้อเสียคือพัดลมไม่มีแบตเตอรี่ในตัว ใช้พลังงานจากมือถือซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่ลดลงเร็วกว่าเดิม
ตอนใช้ AeroActive Cooler 7 สามารถเสียบหูฟังมีสายผ่านแจ็ค 3.5 มม. รวมถึงสายชาร์จ USB- C ด้านล่างได้ด้วย โดยตอนที่ปรับพัดลมเป็น Frozen จะต้องเสียบสายชาร์จผ่านตัวพัดลมด้วย และจะต้องเป็นหัวชาร์จที่จ่ายไฟ 65W ขึ้นไป (ใช้หัวชาร์จที่ให้มาด้วย ชัวร์สุด)
ใช้เป็นจอยเกม
AeroActive Cooler 7 มีปุ่ม L1 / L2 / R1 / R2 ที่กดได้จริง ๆ อยู่ด้านหลัง ซึ่งปุ่มนี้สามารถใช้ได้กับทุกเกมเลย แต่จะต้องเข้าไปตั้งค่าใน Game Genie ซะก่อน โดยการทำงานของมันก็แค่ให้เราตั้งค่าว่าการกดปุ่มนี้จะเท่ากับการแตะหน้าจอตรงส่วนไหนนั่นเอง นอกจากนี้เรายังใช้ปุ่ม AirTriggers ที่อยู่ตรงขอบเครื่องด้านบนได้อีก (ปุ่ม L-R) ทำให้เราสามารถตั้งปุ่มเฉพาะสำหรับเล่นเกมได้รวมถึง 6 ปุ่มเลย
สำหรับวิธีตั้งค่าปุ่มบน AeroActive Cooler 7 ก็ง่าย ๆ เริ่มจากเข้าเกมที่เราต้องการ > ไถขอบจอด้านบนลงมาแล้วเข้าโหมด Game Genie > กดที่ AirTrigger
ก็จะเจอกับหน้าตั้งค่าปุ่มซึ่งจะมีให้เลือกทั้ง Ultrasonic buttons (ปุ่ม L-R บนขอบเครื่อง), Motion control กดปุ่มด้วยการขยับเครื่อง, Cooler buttons (ปุ่ม L1/L2/R1/R2 บนพัดลม) โดยบนหน้าจอจะมีปุ่มเหล่านี้โผล่ขึ้นมา ก็ให้เราลากไปไว้ตามจุดต่าง ๆ ที่ต้องการได้เลย อย่างเช่นย้ายไอค่อนปุ่ม R1 ไปไว้ตรงปุ่มยิงบนหน้าจอ พอเรากดปุ่ม R1 ก็จะเหมือนกับว่าเราแตะหน้าจอตรงนั้น
แต่จากการทดลองเล่นแล้ว…ส่วนตัวคิดว่าปุ่มพวกนี้ยังกดไม่ถนัดเท่าไหร่ ใช้ปุ่ม Air Triggers ที่อยู่ตรงขอบเครื่องแล้วรู้สึกถนัดกว่า
ส่วนตัวรู้สึกว่ากดไม่ถนัด…ไม่รู้จะวางนิ้วยังไงดี
เป็นซับวูฟเฟอร์
และเวลาที่เราเสียบ AeroActive Cooler 7 เข้ากับตัวเครื่องปุ๊บ ระบบเสียงก็จะกลายเป็น 2.1 Channel ทันที เพราะเจ้าพัดลมจะเปลี่ยนเป็นซับวูฟเฟอร์เพิ่มเสียงย่านต่ำให้บึ้มบั้มขึ้นกว่าเดิมแบบผิดหูผิดตาไปเลย ลองเทียบเสียงเวลาถอดกับใส่นี่รู้เลยว่าต่างกันจริง ๆ
แม้ว่าจะเพิ่มเบสขึ้นมาจากปกติ ก็ยังไม่ได้เพิ่มได้หนักเหมือนพวกลำโพงบลูทูธนะครับ…แต่ก็สามารถใช้ฟังเพลงในห้อง หรือวางไว้ตรงสนามได้เสียงที่ดังกระหึ่มพอตัวเลย
เอามาเปิดฟังเพลงนอกบ้านได้สบาย ไม่ต้องใช้ลำโพงแยก
แบตเตอรี่อึดถึก เสียบไฟเข้าเครื่องโดยตรงได้ ไม่ผ่านแบต
อีกหนึ่งฟีเจอร์เอาใจสายเกมสุด ๆ ก็คือ Bypass charging โดยตอนเปิดฟีเจอร์นี้เวลาที่เสียบสายชาร์จไปเล่นเกมไป ไฟจะเข้าไปที่เครื่องโดยตรงแบบไม่ผ่านแบตเตอรี่ ทำให้เครื่องไม่ร้อนและยังเป็นการถนอมแบตเตอรี่อีกด้วย
วิธีเปิดก็ให้เข้าไปที่ Game Genie แล้วเลือกปุ่ม Charging mode > เลือกวิธีชาร์จที่ต้องการ Regular charging (ปล่อยไฟผ่านแบตตามปกติ), Bypass charging (ปล่อยไฟตรงเข้าเครื่องไม่ผ่านแบต) และ Smart bypass (ปรับวิธีชาร์จอัตโนมัติตามแบตที่เหลืออยู่)
ทดสอบความอึดของแบตเตอรี่ด้วยการเปิดวิดีโอ 1080p บน YouTube ปรับแสงสว่างจอและเสียง 60% เชื่อมต่อ WiFi ติดต่อกัน 6 ชม. ยังเหลือแบตเตอรี่แบบจุก ๆ ถึง 74% บอกเลยว่าถ้าใช้งานทั่วไป เล่นเน็ต เล่นเกมบ้าง แชททั้งวัน ดูหนังระหว่างเดินทางมาทำงาน-กลับบ้าน ใช้ได้สบาย ๆ 2 วันแน่นอน
สำหรับหัวชาร์จที่แถมมาเป็นหัวชาร์จแบบ PD 65W ที่เอาไปเสียบชาร์จโน้ตบุ๊คได้ด้วยนะ
กล้องหลัง 50MP ถ่ายวิดีโอ 8K
กล้องหลังของ ROG Phone 7 Series ยังคงใช้สเปคเดิมจากรุ่นที่แล้วคือ กล้องหลัก IMX766 ความละเอียด 50MP + กล้อง Ultrawide ความละเอียด 13MP + กล้อง Macro 5MP แน่นอนว่ามันคือมือถือเกมมิ่งที่ไม่ได้เน้นเรื่องกล้องอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ได้ว่าขี้เหร่อะไรนัก ในสภาวะแสงปกติก็ถ่ายออกมาได้สวย ๆ อยู่ ถ่ายในที่แสงน้อยก็พอได้ (แต่มือต้องนิ่งหน่อย)
ส่วนการถ่ายวิดีโอก็มีระบบกันสั่นแบบ EIS มาให้ ซึ่งก็ถ่ายได้นิ่งพอตัว
แถมยังมีโหมด HyperSteady กันสั่นแบบขั้นสุด ที่ยังนิ่งแม้จะวิ่งไปถ่ายไป (ใช้ได้ที่ความละเอียด 1080p)
ถ่ายวิดีโอได้สูงสุดที่ระดับ 8K 24fps ด้วยนะ
กล้องหน้า 32MP
ส่วนกล้องหน้าได้รับการอัปเกรดขึ้นมาจากรุ่นที่แล้วเป็น 32MP มีโหมดหน้าชัดหลังเบลอ และมีโหมดบิวตี้ให้ปรับกันพอประมาณทั้งสีผิว, ผิวเนียน, ผิวกระจ่างใส ฯลฯ แต่น่าเสียดายที่ยังถ่ายวิดีโอเซลฟี่ได้แค่ระดับ 1080p 30fps เท่านั้น ยังดีที่ให้โหมดกันสั่นมาใช้ด้วย
สรุป
ข้อดี
- จอสวยสว่างสู้แดด
- รีเฟรชเรทสูงปรี๊ด 165Hz
- สเปคแรงสุดกู่ เล่นได้ทุกเกมในปัจจุบัน (ปรับกราฟิกระดับสูงได้หมด)
- ปุ่ม AirTriggers ใช้แล้วเล่นเกมถนัดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่กิมมิค
- แถมพัดลม AeroActive Cooler 7 มาให้เลย
- AeroActive Cooler 7 ช่วยลดอุณหภูมิได้จริง
- ROG Vision เท่ดี
- แบตเตอรี่อึดสุด ๆ
- ถ่ายวิดีโอ 8K ได้
- ระบบ Steady ตอนถ่ายวิดีโอค่อนข้างนิ่ง
- ชาร์จไว 65W แถมหัวชาร์จมาในกล่องด้วย
- หัวชาร์จเป็นแบบ PD Charger เอาไปเสียบชาร์จโน้ตบุ๊คได้
- ระบบ Bypass Charging ช่วยเครื่องไม่ร้อน + ถนอมแบตเตอรี่
- ต่อสายออกจอนอกได้
- ลำโพงเสียงดี เสียงดัง ใส่ AeroActive Cooler 7 ยิ่งเสียงดีขึ้นไปอีก
- มีรูหูฟัง 3.5 มม.
- ทนน้ำทนฝุ่น IP54
ข้อสังเกต
- ตัวเครื่องใหญ่ น้ำหนักค่อนข้างมาก
- หน้าจอยังไม่เป็น LTPO
- กล้องอยู่ในระดับธรรมดา แต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่
- ส่วนตัวคิดว่าปุ่มกด AeroActive Cooler 7 ใช้ไม่ค่อยถนัดมือ (ถ้าใช้บ่อย ๆ อาจจะคล่องกว่านี้)
- ดีไซน์แทบไม่เปลี่ยนไปจากรุ่นก่อน ๆ
บอกเลยว่าใครเป็นสายเกมมือถือแบบจริงจัง ROG Phone 7 Ultimate เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก เพราะนอกจากสเปคจะแรงแบบไร้เทียมทานแล้ว ฟีเจอร์เล่นเกมอื่น ๆ ยังช่วยให้เล่นสนุกเล่นถนัดขึ้นอีกเยอะเลย แถม AeroActive Cooler 7 นอกจากจะเป็นพัดลมระบายอากาศแล้วยังใช้เป็นปุ่มกด (ที่ต้องทำความคุ้นเคย) เพิ่มได้อีกตั้ง 4 ปุ่ม และที่ถูกใจมากคือเป็นซับวูฟเฟอร์เพิ่มความบึ้มบั้มได้นี่แหละ ส่วนเรื่องกล้องอาจจะไม่เทพเหมือนมือถือเรือธงอื่น ๆ เพราะเค้าเน้นมาเล่นเกมโดยเฉพาะ แต่ก็ยังถือว่าเป็นกล้องที่ถ่ายได้ในระดับโอเค ไม่ขี้เหร่จนถ่ายอะไรไม่สวยเลยครับ
Comment