Galaxy Tab A9+ แท็บเล็ตรุ่นล่าสุดจาก Samsung ที่กลับมาสานต่อ Galaxy Tab A8 รุ่นก่อน หลังจากที่ทิ้งช่วงไปนานถึง 2 ปี รอบนี้มีการอัปเกรดหลายอย่างที่น่าสนใจ ทั้งซีพียู จีพียู หน่วยความจำ ความจุ หน้าจอ และฟีเจอร์ต่าง ๆ เพื่อให้รองรับการใช้งานหลากหลายมากขึ้น และที่สำคัญ Galaxy Tab A9+ และเป็นรุ่นแรกในตระกูลที่รองรับโหมด DeX เหมือน Galaxy Tab S series ที่เป็นรุ่นเรือธงด้วย

สเปค Samsung Galaxy Tab A9+

  • จอภาพ :TFT LCD ขนาด 11 นิ้ว
    – ความละเอียด 1920 x 1200  พิกเซล (WUXGA)
    – อัตรารีเฟรช 90Hz
  • ชิป : Snapdragon 695
  • หน่วยความจำ : 8GB
  • ความจุ : 128GB, รองรับ microSD สูงสุด 1TB
  • กล้องหลัง : 8MP, รองรับโฟกัสอัตโนมัติ
  • กล้องหน้า : 5MP
  • เสียง : ลำโพง 4 ตัว, รองรับ Dolby Atmos
  • เครือข่าย : 5G (เฉพาะรุ่น 5G)
  • การเชื่อมต่อ :
    – Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac
    – Bluetooth 5.1
  • พอร์ต :
    – USB Type-C 2.0, รองรับโหมด DeX
    – แจ็ก 3.5 มม.
  • แบตเตอรี่ : 7040mAh, รองรับชาร์จไว 15W
  • ระบบปฏิบัติการ : One UI 5.1.1 บน Android 13 (อัปเดตได้ถึง Android 16)
  • ขนาด : 257.1 x 168.7 x 6.9 มม.
  • น้ำหนัก : 480 กรัม (รุ่น Wi-Fi) / 491 กรัม (รุ่น 5G)

วัสดุโลหะ แข็งแรงทนทาน น้ำหนักสมดุล จับถือสบายมือ

Galaxy Tab A9+ มากับบอดี้โลหะ แข็งแรง แน่น ๆ ทั้งเครื่อง กด ๆ จิ้ม ๆ ไปไม่มีอาการยวบยาบให้เห็น แข็งแรงหายห่วง ดีไซน์รวม ๆ คล้ายกับรุ่นเดิม แต่ปรับบริเวณขอบเครื่องให้เหลี่ยมขึ้น ตามแนวทางการออกแบบใหม่ของ Samsung

ความประทับใจแรกหลังได้สัมผัส Galaxy Tab A9+ คือ ตัวเครื่องกระจายน้ำหนักได้ดีมาก โดยตัวเครื่องมีน้ำหนักอยู่ที่ 480 กรัมในรุ่น Wi-Fi และหนัก 491 กรัมในรุ่น 5G แต่พอถืออยู่ในมือแล้วไม่รู้สึกหนักอย่างที่คิด ใช้งานต่อเนื่องได้นานโดยไม่เป็นภาระข้อมือ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีจุดที่ชวนขัดใจอยู่เหมือนกันคือ ฝาหลังเปรอะรอยนิ้วมือง่ายมาก และเช็ดออกยากพอสมควร อาจอยู่ที่กระบวนการทำสีของ Samsung ยิ่งพอเป็นตัวเครื่องสี Navy ยิ่งเป็นหนัก ไม่ทราบเหมือนกันว่าหากเป็นสี Silver แล้วจะเจอปัญหาแบบเดียวกันไหม แต่สำหรับใครที่มองว่าซื้อมาก็ใส่เคสอยู่แล้ว คงไม่ใช่ปัญหาอะไรนัก

จอใหญ่ 11 นิ้ว แสดงผลลื่นไหล 90Hz ลำโพงกระหึ่ม 4 ตัว

Galaxy Tab A9+ ขยายหน้าจอเป็น 11 นิ้ว ใหญ่ขึ้นจาก Galaxy Tab A8 ที่มีหน้าจอ 10.5 นิ้ว พร้อมอัปเกรดอัตรารีเฟรชเป็น 90Hz และเพิ่มความสว่างจาก 400 นิต เป็น 570 นิต

พอหน้าจอใหญ่ขึ้น ก็เสพคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้เต็มตาขึ้น ทั้งเล่นเกม ดูหนัง อ่านหนังสือ ท่องโซเชียล หรือแม้แต่การใช้งานทั่ว ๆ ไป และด้วยลำโพงสเตอรีโอระบบเสียง Dolby Atmos ที่จัดเต็ม 4 ตัว ทำให้ Galaxy Tab A9+ มีความโดดเด่นอย่างมากในแง่ของการใช้งานด้านเอนเตอร์เทนเมนต์

อาจจะดูน่าเสียดายเล็กน้อยที่ Galaxy Tab A9+ ไม่รองรับปากกา S Pen เหมือนรุ่นพี่ แต่หากอยากขีดเขียนหน้าจอจริง ๆ ก็สามารถนำปากกาสไตลัสทั่วไปมาใช้งานได้ พวกที่เป็นหัวยาง ราคา 5 – 10 บาทที่ขายตามแอปช็อปปิงออนไลน์ก็ใช้ได้ ซึ่งหากไม่ได้เน้นการลงน้ำหนัก หรือใช้งานฟีเจอร์ที่แอดวานซ์อะไรมากมาย แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอนอกจากนี้ เรื่องหน้าจอจะมีประเด็นให้พูดถึงเพิ่มเติม ตรงบริเวณขอบหน้าจอดำทั้ง 4 ด้าน ที่พี่เก่ง (@kengkawiz) บอกว่าหนาไปนิดนึง แต่ส่วนตัวแล้วชอบแบบนี้ เพราะมองว่ามันมีพื้นที่ให้พักนิ้วและช่วยให้จับถนัดมือ เหมือนกับพวกเครื่อง e-reader อะไรทำนองนั้น อันนี้ก็อาจจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วย

มัลติทาสกิงเก่งกว่าเดิม แบ่งหน้าจอได้ทุกแอป สูงสุด 3 หน้าต่าง

เรื่องมัลติทาสกิงนั้นเป็นจุดแข็งของ Samsung มาแต่ไหนแต่ไร Galaxy Tab A9+ ก็ยังทำได้ดีเหมือนเดิม โดยรองรับการแบ่งหน้าจอได้สูงสุด 3 หน้าต่าง และสามารถแบ่งหน้าจอได้โดยง่าย เพราะรุ่นนี้รันบนระบบปฏิบัติการ One UI 5.1.1 ตั้งแต่ออกจากโรงงาน ซึ่งมันมาพร้อมของใหม่คือ ‘ทาสก์บาร์’ ที่ออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์หน้าจอใหญ่อย่างแท็บเล็ตโดยเฉพาะ

สำหรับวิธีการแบ่งหน้าจอก็แค่แตะค้างตรงไอคอนแอปบนทาสก์บาร์ แล้วลากไปวางบนตำแหน่งที่ต้องการได้เลย มันจะมีเลย์เอาต์โผล่ขึ้นมาอัตโนมัติ โดยเราสามารถย่อขยาย ปรับขนาด สลับตำแหน่งภายหลังได้อย่างอิสระ อยากได้หน้าต่างกว้างยาวขนาดไหน ก็แค่เอานิ้วจิ้ม ๆ ลาก ๆ ซึ่งเป็นอะไรที่สะดวกมาก

ความเจ๋งอีกอย่างคือ Galaxy Tab A9+ สามารถบังคับแอปให้เปิดในโหมด Multi window ได้ทุกแอป ทั้งแบบแบ่งหน้าจอหรือหน้าต่างลอย (Pop-up view) แม้นักพัฒนาไม่ได้ออกแบบเลย์เอาต์ของแอปนั้น ๆ มาให้รองรับก็ตาม โดยฟีเจอร์นี้ สามารถเปิดใช้งานได้จาก Labs ที่อยู่ใน Advanced features

ใส่ซิม โทรเข้าโทรออก ใช้แอปธนาคารได้เต็มระบบ

Galaxy Tab A9+ แบ่งออกเป็นสองรุ่นย่อยคือ รุ่น Wi-Fi และรุ่น 5G จุดสำคัญที่ต้องหยิบยกมาพูดถึงคือ ในรุ่น 5G สามารถโทรเข้าโทรออก รวมถึงรับ SMS และ OTP ได้ในตัวเหมือนกับมือถือเลย แตกต่างจากแท็บเล็ตรุ่นอื่นในตลาดที่มักทำได้แค่เปิดดาต้าเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตเท่านั้น

ข้อดีที่ตามมาของการใส่ซิมได้อีกอย่างได้คือ Galaxy Tab A9+ จะสามารถใช้แอปธนาคารได้เต็มระบบ ทั้งฝาก ถอน โอน จ่าย และธุรกรรมอื่น ๆ แบบเดียวกับบนสมาร์ทโฟน เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว การลงทะเบียนเพื่อเข้าใช้งานแอปธนาคารครั้งแรก จำเป็นต้องเข้าใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ตมือถือเท่านั้น หรือบางแอปก็ถึงขั้นบังคับให้เชื่อมต่อเน็ตมือถือตลอดเวลา ห้ามใช้ Wi-Fi ในการทำธุรกรรม เช่น GHB ALL GEN ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)

ส่วนการโทรเข้าโทรออก ด้วยขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่ ประกอบกับไม่มีลำโพงสนทนา ครั้นจะหยิบ Galaxy Tab A9+ มาคุยโทรศัพท์แบบแนบหูคงทุลักทุเลพิลึก แต่ก็ไม่มีปัญหาเพราะแท็บเล็ตรุ่นนี้ยังมีช่องหูฟัง 3.5 มม.มาให้อยู่ หรือจะใช้งานคู่กับพวก Galaxy Buds series ที่เป็นหูฟังไร้สายของ Samsung ก็ได้เช่นกัน

รองรับโหมด DeX เป็นรุ่นแรกของ Galaxy Tab A series

ตามที่เกริ่นไว้ข้างต้น Galaxy Tab A9+ สามารถใช้โหมด DeX แปลงร่างเป็นมินิพีซีขนาดย่อมได้แล้ว ใครที่อยากใช้งานให้รูปแบบเดสก์ท็อป ก็สามารถสลับมาใช้ในโหมดนี้แทนอินเทอร์เฟซแท็บเล็ตแบบปกติได้ ซึ่งโหมด DeX จะให้ประสบการณ์การใช้งานที่แตกต่างออกไป คล้ายกับพวก Windows หรือ ChromeOS

ในเบื้องต้น Galaxy Tab A9+ ที่รันบน One UI 5.1.1 โหมด DeX จะยังถูกล็อกให้ใช้งานเฉพาะบนตัวเครื่อง แต่ทาง Samsung ให้ข้อมูลมาว่า ใน One UI 6.0 ที่จะปล่อยให้อัปเดตในช่วงปลายเดือนมกราคม โหมด DeX จะได้รับการอัปเกรดให้รองรับ Wireless DeX เพิ่มเติม ทำให้คราวนี้จะสามารถส่งภาพไปขึ้นมอนิเตอร์หรือทีวีแบบไร้สายได้

แต่ทั้งนี้ต้องอธิบายเพิ่มเติมว่า Wireless DeX นั้นไม่ใช่การสะท้อนหน้าจอ (screen mirroring) แต่เป็นการแคสต์หน้าจอ (screen casting) หมายความว่าขณะอยู่ในโหมด Wireless DeX ตัวเครื่อง Galaxy Tab A9+ ก็ยังสามารถใช้งานต่อในโหมดแท็บเล็ตได้ตามปกติ แยกกันเป็นอิสระ บนทีวีเราอาจจะเปิด YouTube ฟังเพลง ดูคลิปในขณะที่บนแท็บเล็ตเราก็อาจจะไถ Facebook เล่นโซเชียลไปเพลิน ๆ อะไรแบบนี้เป็นต้น

ชิปเซต Snapdragon 695 เร็ว แรง และไม่ร้อน

ผลจากการอัปเกรดมาใช้ชิปเซต Snapdragon 695 ทำให้ซีพียูของ Galaxy Tab A9+ มีกำลังประมวลผล single-core และ multi-core ไวขึ้น 71% และ 48% ตามลำดับ การใช้งานโดยรวมลื่นไหลขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ควบคุมอุณหภูมิได้เฉียบขาดมาก จากการปล่อยให้เครื่องรัน Wild Life และ Wild Life Extreme Stress Test ด้วย 3DMark อยู่หลายรอบ อุณหภูมิอยู่ที่ 29 องศาเซลเซียส นิ่ง ๆ ไม่กระดิกเลย รวมถึงในการใช้งานจริงเองก็ให้ผลลัพธ์ที่สอดคล้องกัน เล่น Asphalt 9 ตามค่าเริ่มต้นได้ 30 เฟรมต่อวินาทีสบาย ๆ ส่วน RoV จะอยู่ที่ประมาณ 58 – 60 ในจังหวะปกติ อาจมีตกมา 50 – 53 บ้าง จังหวะตะลุมบอนกันเยอะ ๆ

ผลทดสอบ 3DMark Wild Life

  • คะแนน 1,219 คะแนน
  • เฟรมเรต 5 – 10 เฟรมต่อวินาที
  • เฟรมเรตเฉลี่ย 7.30 เฟรมต่อวินาที
  • อุณหภูมิ 29 องศาเซลเซียส (ไม่เปลี่ยนแปลง)

ผลทดสอบ 3DMark Wild Life Extreme Stress Test

  • คะแนน 360 – 363 คะแนน
  • ความเสถียร 99.2%
  • เฟรมเรต 2 – 4 เฟรมต่อวินาที
  • อุณหภูมิ 29 องศาเซลเซียส (ไม่เปลี่ยนแปลง)

ผลทดสอบ Geekbench 6 ซีพียู

  • คะแนน single-core เฉลี่ย 920 คะแนน
  • คะแนน multi-core เฉลี่ย 2,120 คะแนน

ผลทดสอบ Geekbench 6 จีพียู

  • คะแนน OpenCL เฉลี่ย 1,380 คะแนน
  • คะแนน Vulkan เฉลี่ย 1,150 คะแนน

แบตอึดจุใจ 7040mAh ใช้งานได้ยาว ๆ

จากการทดสอบใช้งานดู YouTube ต่อเนื่อง แบตเตอรี่จะหายไปราวชั่วโมงละ 7% และหากเล่นเกมต่อเนื่อง แบตจะหายไปราวชั่วโมงละ 10% กรณีนี้เป็นการทดสอบผ่าน Wi-Fi แต่หากใช้งานผ่าน 5G อาจกินแบตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งอ้างอิงตามค่าเฉลี่ยนี้ คิดว่าใช้งานได้ 2 วันก็เอาอยู่ เข้าวันที่ 3 ค่อยชาร์จก็ไหว

โดย Galaxy Tab A9+ จะรองรับการชาร์จไวอยู่ที่ 15W ซึ่งด้วยความที่แบตเตอรี่นั้นมีขนาดใหญ่ 7040mAh ทำให้อาจต้องเผื่อเวลาชาร์จกันนิดนึง

กล้องและการถ่ายภาพ

Galaxy Tab A9+ มาพร้อมกล้องหลังความละเอียด 8MP รองรับโฟกัสอัตโนมัติ และกล้องหน้าความละเอียด 5MP ไม่รองรับโฟกัสอัตโนมัติ (ดูตัวอย่างภาพถ่ายได้ที่แกลเลอรีด้านล่าง)

ระยะโคลสอัป

Samsung Galaxy Tab A9+ น่าซื้อไหม เหมาะกับใคร

สรุปการใช้งานในภาพรวม Galaxy Tab A9+ เป็นแท็บเล็ตที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการแท็บเล็ตจอใหญ่ สำหรับใช้งานด้านเอนเตอร์เทนเมนต์เป็นหลัก เพราะนอกจากจะมีหน้าจอใหญ่แล้ว ลำโพงก็เสียงกระหึ่ม หรือจะใช้ทำงานออนไลน์ และเรียนออนไลน์ก็สบาย นอกจากนี้ยังมีศูนย์บริการหลังการขายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และการันตีอัปเดตระบบปฏิบัติการขั้นต่ำนาน 3 ปี ถึง Android 16 ใช้งานอย่างสบายใจได้อีกยาว ๆ ไม่ต้องกลัวโดนลอยแพ

หากจะพูดถึงจุดที่ไม่ถูกใจ หลัก ๆ แล้วคงมีอยู่แค่เรื่องเดียวคือ ตัวเครื่องเปรอะรอยนิ้วมือง่าย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรมาก เพราะสามารถแก้ไขได้โดยการใส่เคส หรือติดฟิล์มที่ด้านหลัง เท่านี้ก็โอเคแล้ว

ราคาและการจำหน่าย

Galaxy Tab A9+ มีวางจำหน่ายแล้วที่ Samsung Experience Store และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ผ่าน samsung.com และ Samsung Official Store บน Shopee และ Lazada พร้อมกับ Galaxy Tab A9 ที่มีขนาดกะทัดรัดและราคาย่อมเยาลงมาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก แต่ละรุ่นมีราคาดังนี้

  • Galaxy Tab A9 LTE (4/64GB) : 6,990 บาท
  • Galaxy Tab A9+ Wi-Fi (8/128GB) : 8,990 บาท
  • Galaxy Tab A9+ 5G (8/128GB) : 10,990 บาท

เปรียบเทียบสเปค Samsung Galaxy Tab A9 และ Galaxy Tab A9+

Galaxy Tab A9Galaxy Tab A9+
จอภาพประเภทTFT LCDTFT LCD
ขนาด8.7 นิ้ว11 นิ้ว
ความละเอียด1340 x 800 พิกเซล1920 x 1200 พิกเซล
อัตรารีเฟรช60Hz90Hz
แพลตฟอร์มชิปเซตHelio G99Snapdragon 695
หน่วยความจำ4GB8GB
ความจุ64GB
รองรับ microSD card สูงสุด 1TB
128GB
รองรับ microSD card สูงสุด 1TB
ระบบปฏิบัติการOne UI 5.1.1
บน Android 13
One UI 5.1.1
บน Android 13
กล้องกล้องหลัก8MP
โฟกัสอัตโนมัติ
8MP
โฟกัสอัตโนมัติ
กล้องหน้า2MP5MP
เสียงลำโพง2 ตัว
Dolby Atmos
4 ตัว
Dolby Atmos
เครือข่ายเทคโนโลยีLTE5G (เฉพาะรุ่น 5G)
การเชื่อมต่อWi-Fi802.11a/b/g/n/ac802.11a/b/g/n/ac
Bluetooth5.35.1
พอร์ตUSB Type-C
ช่องหูฟัง 3.5 มม.
USB Type-C
ช่องหูฟัง 3.5 มม.
รองรับโหมด DeX
แบตเตอรี่ความจุ5100mAh7040mAh
การชาร์จ15W15W
ตัวเครื่องวัสดุโลหะโลหะ
ขนาด211 x 124.7 x 8.0 มม.257.1 x 168.7 x 6.9 มม.
น้ำหนัก333 กรัม480 กรัม (รุ่น Wi-Fi)
491 กรัม (รุ่น 5G)