Samsung Galaxy Tab S10 series แท็บเล็ตระดับเรือธงจากฝั่ง Android มาแล้ว รอบนี้มากันแค่ 2 รุ่นนะ Galaxy Tab S10+ และ Galaxy Tab S10 Ultra ดีไซน์รอบนี้ก็แอบมีความคล้ายเดิมเป็นส่วนใหญ่ แต่หนึ่งจุดความเปลี่ยนแปลงในรอบนี้ คือ การหันมาใช้ชิปเซตจากฝั่ง MediaTek นั่นเอง และในยุค AI ที่กำลังเฟื่องฟูแบบนี้ แน่นอนว่าแท็บเล็ตทั้ง 2 รุ่นนี้ ก็มีฟีเจอร์ AI มาให้เราใช้อยู่หลายตัวเหมือนกัน มาดูรีวิวกันดีกว่า

ดีไซน์สวยเหมือนเดิม แต่แข็งแรงมากกว่าเดิม

เรามาเริ่มกันที่การออกแบบตัวเครื่องกันเลยดีกว่า ในรอบนี้ทั้ง Samsung Galaxy Tab S10+ และ Galaxy Tab S10 Ultra จะยังคงมาพร้อมกับการออกแบบตัวเครื่องคล้ายเดิม ขอบตัวเครื่องเป็นแบบแบน ด้านหลังเป็นวัสดุอลูมิเนียมเหมือนกับรุ่นก่อน แต่น้ำหนักตัวเครื่องแอบมีความเบาลงเล็กน้อย แถมรอบนี้ทาง Samsung ยังมีการอัปเกรดเพิ่มความแข็งของเฟรม และด้านหลังของตัวเครื่องให้มีความแข็งแรงมากกว่าเดิมอีกด้วย

ด้านซ้ายของตัวเครื่องจะมีเสาสัญญาณ และแม่เหล็กไว้ติดกับตัวเคส ด้านขวาจะมีเสาสัญญาณ ปุ่มเปิดปิด และปุ่มปรับระดับเสียง และช่องใส่ซิม ซึ่งด้านนี้เราสามารถนำปากกา S Pen มาแปะเอาไว้ได้ เผื่อใช้งานก็หยิบออกไปใช้ได้แบบง่าย ๆ เลย แต่จะเป็นการแปะเฉย ๆ ไม่ใช่การชาร์จ

ด้านล่างตัวเครื่องจะเสาสัญญาณ และมีลำโพง 2 ช่อง ตามมาด้วยพอร์ต USB-C ส่วนด้านบนตัวเครื่องมีลำโพง 2 ช่องเหมือนกับด้านล่างตัวเครื่อง ส่วนด้านหลังจะมาพร้อมกับกล้องหลัก และกล้อง Ultrawide วางเรียงกันเป็นแนวดิ่ง ตามมาด้วยแฟลช LED ถึงแม้จะวางกล้องเหมือนเดิม แต่ทาง Samsung แอบเปลี่ยนสีของวงแหวนกล้องให้มีโทนสว่างมากขึ้น ทำให้รอบนี้ดูมีความล้ำ ๆ หน่อย ส่วนที่แปะชาร์จปากกาก็ยังเหมือนเดิมนะ

หน้าจอสดสวย ไม่เสียชื่อ Samsung

ด้านการแสดงผล Galaxy Tab S10 Ultra และ Galaxy Tab S10+ มาพร้อมกับหน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ซึ่งทำออกมาได้ดีทั้งสองรุ่น จอภาพมีความคมชัด สีสันสวยงามตามสไตล์ Samsung จอสวยระดับท็อป ๆ ของแท็บเล็ตฝั่ง Android แถมรอบนี้ยังมีการเคลือบสารลดแสงสะท้อนมาให้ด้วย จุดนี้เป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างอย่างมาก แท็บเล็ตที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ การที่มี Anti-reflection Screen จะสามารถทำให้มองเห็นหน้าจอได้ง่ายขึ้นหรือสบายตาขึ้น โดยเฉพาะในสถานที่กลางแจ้งหรือที่มีแสงสว่างมาก

เราลองนำจอที่ใช้เทคโนโลยีลดแสงสะท้อน Galaxy Tab S10+ มาเทียบกับ Galaxy S23 Ultra ที่ไม่ได้มี จะเห็นได้ชัดเลยว่า จอแท็บเล็ตนั้นลดแสงและเงาสะท้อนได้ดีมากๆ ยิ่งเวลาใช้งานที่แสงเยอะๆ ยิ่งรู้สึกว่าสบายตาขึ้นกว่า

ในรุ่น Galaxy Tab S10 Ultra มาพร้อมกับขนาดหน้าจอ 14.6 นิ้ว ขนาดใหญ่เต็มตา ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่เต็มตาแบบนี้ ทำให้เราสามารถนำไปใช้งานในด้านต่าง ๆ ได้แบบฟิน ๆ จะดูซีรีส์ เล่นเกม การจดหรือการวาดก็สามารถทำได้แบบสบาย ๆ

ส่วน Galaxy Tab S10+ มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 12.4 นิ้ว ขนาดกำลังดี พกพาไปทำงานข้างนอกก็ทำได้แบบง่าย ๆ ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับหน้าจอสัดส่วน 16:10 ทำให้ตอนที่ดู YouTube หรือ Netflix จะมีขอบดำด้านล่างกับด้านบนน้อยมาก

แท็บเล็ตที่มาพร้อมฟีเจอร์ AI แบบจัดเต็ม

สำหรับแฟน ๆ Samsung หลายคนอาจจะได้ลองใช้ฟีเจอร์ AI ในมือถือกันไปบ้างแล้ว แต่ด้วยพื้นที่ของหน้าจอที่มีอยู่อย่างจำกัด อาจจะใช้งานไม่ได้เต็มที่ แต่รอบนี้ Galaxy AI ถูกยัดเข้ามาใส่ใน Galaxy Tab S10 series แล้ว ทำให้เราสามารถใช้งานฟีเจอร์ AI ได้แบบเต็มที่มากขึ้น จากการที่เรานำมาใช้งานบอกเลยว่าช่วยประหยัดเวลาไปได้เยอะมาก ๆ มาดูกันดีกว่าว่ามีฟีเจอร์อะไรน่าใช้บ้าง

Circle to Search

ฟีเจอร์วงกลมเพื่อค้นหาอย่าง Circle to Search ที่มีมาก่อนในมือถือ Galaxy รุ่นต่าง ๆ ก็มาแล้วใน Galaxy Tab S10 series เราสามารถวงกลมเพื่อค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ที่เจอในหน้าจอ ผ่านการกด ปุ่ม Home ค้างไว้ จากนั้นก็ใช้ S Pen วงกลมเพื่อหาข้อมูลได้เลย เช่น ไถเว็บไซต์อยู่ดี ๆ แล้วเจอเมนูอาหารที่ไม่รู้จัก ก็สามารถวงกลมเพื่อคำตอบได้แบบง่าย ๆ

นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้ Circle to Search แปลภาษาที่เราต้องการได้ด้วยนะ จะแปลเป็นคำ หรือแปลทั้งพารากราฟ ก็สามารถทำได้แบบง่าย ๆ แค่กดปุ่ม Home และกดปุ่มแปลภาษา หรือวงกลมคำที่เราต้องการจะแปล ก็สามารถทำได้เหมือนกัน

Composer AI ช่วยเขียนอีเมล

ตากฝนกลับบ้านแล้วป่วย จะตุยอยู่แล้ว จะให้มาร่างอีเมลลางานแบบทางการก็ใช่เรื่อง แต่ใช้ Composer ทำให้ได้นะ แค่เปิดอีเมล แล้วกด Galaxy AI จากนั้นเลือก ผู้แต่ง และป้อน Prompt และ AI ก็จะคิดประโยคมาให้ เลือกได้เลยว่าจะให้เป็นประโยคสั้น หรือประโยคยาว หรือถ้ายังไม่ถูกใจก็เลือกเจนใหม่ได้ เลือกได้แล้วส่งให้หัวหน้าได้เลย และสำหรับคนที่เรียบเรียงคำพูดในหัวไม่ค่อยถูก ก็ใช้ Composer เกลาภาษาให้ดูอ่านง่ายขึ้นได้เช่นกัน

Text Summarization

สำหรับคนที่ต้องการสรุปข้อมูลเนื้อหาบนเว็บไซต์ หรือสรุปข้อมูลบน PDF ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่ใช้ Galaxy AI สรุปออกมาง่าย ๆ ไม่กี่คลิกก็ได้ข้อมูลแบบครบ ๆ ไม่ต้องเสียเวลาอ่านเยอะ แถมสรุปออกมาแล้ว ยังสามารถแปลภาษาได้อีกรอบ เช่น อยากให้สรุปพรีวิว Samsung Galaxy S24 FE ของ Droiddans ก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่ปลายนิ้ว แค่กดรูปดาว และกดสรุป ก็จะสามารถสรุปรีวิวยาว ๆ เหลือแค่ไม่กี่บรรทัด ฟีเจอร์นี้ช่วยร่นเวลาลงได้ และมีประโยชน์มาก ๆ

Sketch to Image

ฟีเจอร์แปลงภาพบุคคลในแกลลอรี่ให้กลายเป็น ภาพแนวสีน้ำ, illustration, ภาพสเก็ตช์, ภาพ Pop Art หรือภาพการ์ตูน 3 มิติ ก็มีมาให้ใช้เหมือนกับบนมือถือเป๊ะ ๆ หรือจะวาดภาพเพื่อนำมาเจนเป็นภาพ ก็สามารถทำได้เช่นกัน ซึ่งหลังจากที่เจนภาพออกมา เราก็สามารถเลือกรูปแบบที่แตกต่างกันได้อีก หรือถ้ายังไม่ชอบ ก็แค่ให้เจนภาพใหม่อีกรอบ

Chat Assist

เคยไหม คิดคำพูดเวลาจะตอบแชทคนสำคัญไม่ออก เรียบเรียงประโยคไม่ถูก และปัญหานี้จะหมดไปเพียงแค่ใช้ Chat Assist ด้วยฟีเจอร์นี้เราสามารถให้ AI ช่วยคิดคำพูด หรือเรียบเรียงประโยคให้ แค่ป้อน Prompt ให้ละเอียด ๆ ก็พอ สามารถนำไปปรับใช้ได้หลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็น ประโยคง้อแฟน, ประโยคบอกรักพ่อแม่ หรือแม้แต่คิดแคปชั่นง่าย ๆ

แปลการสนทนาในแอปแชทต่างๆ ไม่ต้องก็อปไปแปลให้เมื่อย

นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์แปลภาษาแบบเรียลไทม์ คุยแชทกับคนต่างชาติในแอปแชทต่างๆ ก็สามารถแปลได้แบบทันที ไม่ต้องคัดลอก และนำไปแปลใน Google Translate ถ้าภาษาในแชทไม่ใช่ภาษาไทย ระบบจะตรวจจับ และจะแปลภาษาให้ทันที ทั้งนี้เราสามารถเลือกภาษาที่ต้องการให้แสดงได้ด้วยนะ ซึ่งฟีเจอร์ Chat Assist ถูกฝังมาใน Samsung Keyboard เราสามารถนำไปใช้ได้กับทุกแอป อันนี้สะดวกมาก ๆ

แล้วยังตั้งค่าการแสดงข้อความแชทได้ 2 แบบ แสดงเฉพาะข้อความที่แปลแล้วเท่านั้น หรือรวมทั้งต้นฉบับกับที่แปลแล้ว ก็สามารถตั้งค่าได้ง่ายๆ

Chat Assistant

AI Key

แป้นพิมพ์ที่วางขายจริงจะมีภาษาไทยมาให้ด้วยนะ

ปุ่มนี้ถูกเพิ่มเข้ามาในเคสคีบอร์ดของรุ่น Galaxy Tab S10 Ultra ตัวปุ่มจะถูกวางอยู่ข้าง Alt ฝั่งขวา ซึ่งพอมีปุ่มนี้เข้ามา ก็ทำให้เราสามารถเข้าถึง Gemini ได้เร็วยิ่งขึ้น อยู่ในแอปไหนก็เรียกใช้งานได้ตลอด เช่น ดู YouTube แล้วต้องการให้ AI สรุปข้อมูลในคลิปให้ก็สามารถทำได้ แค่กดปุ่มนี้ คัดลอกลิงค์ และนำไปวางในตัวของ Gemini และบอกให้สรุปข้อมูลให้ เพียงแค่นี้ก็จะได้ข้อมูลของวิดีโอใน YouTube ที่เราต้องการแล้ว

เช่น เราอยากสรุปข้อมูลของคลิปรีวิว Samsung Galaxy Tab S10 series ของทาง Droidsans เราก็สามารถกดปุ่ม AI เรียก Gemini ขึ้นมา และคัดลอกลิงค์ที่ว่าและนำไปวาง แค่นี้เราก็จะได้รีวิว Galaxy S10 series แบบสั้น ๆ ครบจบในไม่กี่บรรทัด

Dex Mode

เมื่อเปิดโหมดนี้ หน้าตา UI ของตัวเครื่องจะแปลงหน้าตาให้มีความคล้ายกับ PC โดยจะมีแถบแอปพลิเคชันเด้งมาที่แถบด้านล่างจอ และหน้าต่างของแอปต่าง ๆ จะสามารถย่อ ขยาย ได้เหมือนกับเรากำลังใช้ PC ยังไงอย่างงั้น ทำให้เราสามารถใช้งานแอปได้ง่ายมากกว่าเดิม สลับไปแอปนู้น ย่อแอปนี้ก็สามารถทำได้ครบ จบใน Dex Mode

Multitasking

แน่นอนนอนว่าเรื่อง Multitasking ของแท็บเล็ต Samsung สามารถทำออกมาได้อยู่ในระดับที่ดีมาตั้งแต่รุ่นที่ผ่าน ๆ มาแล้ว ในรอบนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง สามารถแบ่งหน้าจอได้สูงสุดสุดพร้อมกัน 3 หน้าต่าง จะเปิด YouTube พร้อมกับพิมพ์งานไปด้วยก็สามารถทำได้แบบสบาย ๆ โดยเฉพาะรุ่น Galaxy Tab S10 Ultra ที่มีขนาดจอใหญ่มาก ๆ นำมาแบ่งหน้าจอเป็น 3 จอ ก็ยังสามารถดูเนื้อหาแต่ละหน้าต่างได้แบบเต็ม ๆ

ชิปเซตค่ายใหม่ แต่เร็วแรงไม่มีเปลี่ยน

หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบนี้ คือ การเปลี่ยนมาใช้ชิปเซตฝั่ง MediaTek จากเดิมที่ใช้ชิปจาก QualComm มาโดยตลอด โดยรอบนี้มาพร้อมกับชิป Dimensity 9300+ ขนาด 4nm หลายคนอาจจะสงสัยว่าชิปนี้แรงพอสำหรับการใช้งานไหมนะ จากการใช้งานทั่วไปบอกเลยว่า หายห่วงกันไปได้ สามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล ไม่มีข้อติเลย ไม่ว่าเป็นการใช้งานท่องเว็บไซต์ การพิมพ์เอกสาร การจดบันทึก รวมถึงการวาด แน่นอนว่าทำออกมาได้แบบสบาย ๆ อยู่แล้ว

ผลการทดสอบ GeekBench

Samsung Galaxy Tab S10 Ultra ทำคะแนน Single-Core ไปที่ 2096 คะแนน และคะแนน Multi-Core ทำคะแนนไปได้ 6749 คะแนน ส่วน Galaxy Tab S10+ ทำคะแนน Single-Core ไปที่ 1948 คะแนน และคะแนน Multi-Core ที่ 6423 คะแนน ซึ่งคะแนนที่ได้ออกมาก็เทียบเท่ากับ Snapdragon 8 Gen 3 นั่นเอง

ทดสอบการเล่นเกม

ในการเล่นเกมระดับสูง ๆ แน่นอนว่าแท็บเล็ตระดับเรือธงอย่าง Galaxy Tab S10+ และ Galaxy Tab S10 Ultra สามารถเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล เกมไหน ๆ ก็สามารถรันได้หมด แถมระบบระบายความร้อนในตัวเครื่องรอบนี้ยังมีการอัปเกรดให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม 1.48% ทำให้สามารถจัดการกับความร้อนได้ดีมากกว่าเดิม จริง ๆ การอัปเกรดนี้อาจไม่ได้แตกต่างจากรุ่นเดิมมาก เพราะแท็บเล็ตมีพื้นที่ตัวเครื่องใหญ่กว่าโทรศัพท์ ทำให้สามารถระบายความร้อนได้ดีอยู่แล้ว

Ray Tracing

แต่สิ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามาในรอบนี้คือ Ray Tracing เทคโนโลยีกราฟิกคำนวณแสง เพื่อให้กราฟิกในเกมมีความสมจริงมากขึ้น ซึ่งมีเกมที่รองรับอยู่ตอนนี้ทั้งหมด 4 เกม ได้แก่ DIABLO IMMORTAL,  Racing Master, TARIS LAND และ NIGHT CROWS ทางเรามีการนำไปทดสอบเกม DIABLO IMMORTAL และ TARIS LAND ส่วนเกมสุดฮิตทั่วไปอย่าง PUBG MOBLIE หรือ Genshin Impact ทางทีมงานก็มีการนำไปทดสอบเช่นกัน ผลการทดสอบคือ เกมทั้งหมดสามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่มีกระตุก แถมความร้อนก็แทบจะไม่มีให้เห็นเลย

บางเบา แต่ถึกทน กันน้ำกันฝุ่น IP68

อีกจุดเด่นของ Galaxy Tab S10 series คือมาพร้อมกับมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น IP68 สามารถกันน้ำได้ลึกสูงสุด 1.5 เมตร นาน 30 นาที ซึ่งแท็บเล็ตในปัจจุบันนี้น้อยรุ่นมากที่จะกันน้ำกันฝุ่น (จริง ๆ รุ่นก่อนก็มีมาให้) ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากสำหรับคนที่ต้องพกไปแท็บเล็ตไปทำงานข้างนอกบ่อย ๆ เวลาถือไปข้างนอกแล้วเจอท้องฟ้ามืด ๆ คนใช้แท็บเล็ต หรือโน๊ตบุ๊กก็จะใจสั่นหน่อย แต่คนถือ Galaxy Tab S10 series ก็เดินไปลุยโลด ส่วนใครที่ใช้ปากกาบ่อย ๆ ก็ไม่ต้องห่วงไปเพราะปากกา S Pen ก็กันน้ำเหมือนกัน ไม่ต้องห่วงเลย

ลำโพงกระหึ่ม สมแท็บเล็ตเรือธง

รอบนี้ทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับลำโพง 4 ตัว แน่นอนว่าถูกจูนเสียงโดย AKG เหมือนเดิม ในการใช้งานจริงเราค่อนข้างประทับใจ (ก็เป็นแท็บเล็ตระดับเรือธงนี่เนาะ) แน่นอนว่าพวกรายละเอียดเสียง เบส มาครบ แถมความดังก็ดังกระหึ่ม ไม่แพ้โน๊ตบุ๊ก หรือแท็บเล็ตรุ่นอื่น ๆ แน่นอน

AI-based Dialogue Boost

Galaxy Tab S10 series มี AI บูสต์เสียงอัจฉริยะ สำหรับสายคอนเทนต์วิดีโอน่าจะชอบสิ่งนี้เป็นพิเศษ ฟีเจอร์นี้จะมาช่วยบูสต์เสียงตัวละครให้มีความคมชัดมากกว่าเดิม แก้ปัญหาเวลาที่หนังมีเสียงเอฟเฟกต์เยอะ ๆ ซึ่งตอนนี้รองรับบน Netflix, YouTube, Google Movies & TV, Prime Video และ Hulu

แบตเตอรี่ความจุเท่าเดิม

ในด้านของแบตเตอรี่ ในรุ่น Galaxy Tab S10+ มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 10,090mAh ส่วน Galaxy Tab S10 Ultra จะมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 11,200mAh ซึ่งเป็นขนาดแบตเตอรี่เท่ากับรุ่นที่แล้ว รวมถึงความเร็วในการชาร์จ ก็รองรับที่ 45W เท่าเดิมอีกด้วย

ทาง Droidsans ได้มีการนำไปทดสอบ Galaxy Tab S10+ โดยตั้งค่าความสว่างแบบอัตโนมัติ และใช้พิมพ์งาน ค้นหาข้อมูลผ่าน Samsung Internet รวมถึงมีการใช้ฟีเจอร์ AI ต่าง ๆ ในการทำงาน ใช้งานตั้งแต่ช่วง 10.00 น. จนถึง 18:35 น. ผลคือ Screen On Time ทั้งหมดประมาณ 7 ชม. 40 นาที แบตเตอรี่เหลืออยู่ประมาณ 10%

สเปค Samsung Galaxy Tab S10+

  • จอภาพ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 12.4 นิ้ว
    • ความละเอียด 2800 x 1752 พิกเซล
    • อัตรารีเฟรช 120Hz
    • ความสว่างสูงสุด 650 นิต
    • เคลือบสารลดแสงสะท้อน
    • รองรับ S Pen
  • ชิปเซต Dimensity 9300+
  • หน่วยความจำ 12GB
  • สตอเรจ 256GB
    • รองรับ micro SD สูงสุด 1.5TB
  • กล้องหลัง 13 + 8MP อัลตราไวด์
  • กล้องหน้า 12MP อัลตราไวด์
  • ลำโพงสเตอรีโอ 4 ตัว
  • เครือข่าย 5G (เฉพาะรุ่น 5G)
  • การเชื่อมต่อ
    • Wi-Fi 6E
    • Bluetooth 5.3
  • แบตเตอรี่ 10,090mAh
    • รองรับชาร์จไว 45W
  • เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
  • ทนน้ำทนฝุ่น IP68
  • ระบบปฏิบัติการ One UI 6 บนพื้นฐาน Android 14
  • ขนาด 185.4 x 285.4 x 5.6 มม.
  • น้ำหนัก 571 / 576 กรัม (รุ่น Wi-Fi / รุ่น 5G)

สเปค Samsung Galaxy Tab S10 Ultra

  • จอภาพ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 14.6 นิ้ว
    • ความละเอียด 2960 x 1848 พิกเซล
    • อัตรารีเฟรช 120Hz
    • ความสว่างสูงสุด 930 นิต
    • เคลือบสารลดแสงสะท้อน
    • รองรับ S Pen
  • ชิปเซต Dimensity 9300+
  • หน่วยความจำ 12GB
  • สตอเรจ 512GB
    • รองรับ micro SD สูงสุด 1.5TB
  • กล้องหลัง 13 + 8MP อัลตราไวด์
  • กล้องหน้า 12 + 12MP อัลตราไวด์
  • ลำโพงสเตอรีโอ 4 ตัว
  • เครือข่าย 5G
  • การเชื่อมต่อ
    • Wi-Fi 7
    • Bluetooth 5.3
  • แบตเตอรี่ 11,200mAh
    • รองรับชาร์จไว 45W
  • เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
  • ทนน้ำทนฝุ่น IP68
  • ระบบปฏิบัติการ One UI 6 บนพื้นฐาน Android 14
  • ขนาด 208.6 x 326.4 x 5.4 มม.
  • น้ำหนัก 723 กรัม

สรุป

จากการใช้งานจริงที่เราไปทดสอบมาให้ รอบนี้ถือว่าทั้ง Galaxy Tab S10+ และ Galaxy Tab S10 Ultra ก็ยังเป็นแท็บเล็ตเรือธงฝั่ง Android อันดับต้น ๆ ในตลาดตอนนี้ที่ทำประสิทธิภาพโดยรวมออกมาได้ดีมาก ๆ ในรุ่นก่อนก็ทำออกมาได้ดีแล้ว แต่ในรอบนี้มีการเพิ่ม AI เข้ามา ทำให้การทำงานด้านต่าง ๆ สามารถทำได้ง่ายมากขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก

และรีวิวที่ทุกคนได้อ่านกันอยู่ตอนนี้ ทาง Droidsans ได้มีการใช้ Galaxy Tab S10+ ในการทำรีวิวนี้ขึ้นมา ผลคือ สามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา การใช้งานจริง ค่อนข้างตอบโจทย์ในหลาย ๆ ด้าน อาจจะมีเรื่องของ Touchpad ที่ตัวเคสไม่มีให้ ทำให้การใช้งานตะกุกตะกักอยู่บ้างในช่วงแรก แต่ใช้ไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มชิน และหากใครอยากดูรีวิวในเว็บไซต์ยังไม่เห็นภาพ ก็ไปดูรีวิวในช่อง YouTube ของเราได้นะ

ข้อดี

  • แถมเคสแป้นพิมพ์มาให้
  • แถมปากกามาให้
  • หน้าจอสัดส่วน 16:9
  • หน้าจอเคลือบสารกันแสงสะท้อน
  • แท็บเล็ตรุ่นเดียวที่มีฟีเจอร์ AI (ในตอนนี้)
  • กันน้ำกันฝุ่น
  • เฟรมเครื่องแข็งแรง

ข้อสังเกต

  • แอปพลิเคชันบางแอปยังไม่มีรองรับ เช่น Procreate
  • ราคาค่อนข้างสูง
  • Tab S10+ แบตเตอรี่หมดค่อนข้างเร็ว
  • หน้าจอเป็นรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย
  • ตัวเครื่องค่อนข้างหนัก
  • ตัวเคสที่แถมมาให้ไม่มี Touchpad

ราคา และโปรโมชัน

ซัมซุงจะเริ่มจำหน่าย Galaxu Tab S10 series ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคมเป็นต้นไป Galaxy Tab S10+ มีทั้งรุ่น Wi-Fi และ 5G ส่วน Galaxy Tab S10 Ultra มีเฉพาะรุ่น 5G ในราคาดังนี้

  • Galaxy Tab S10+ (Wi-Fi) – ราคา 36,900 บาท
  • Galaxy Tab S10+ (5G) – ราคา 41,900 บาท
  • Galaxy Tab S10 Ultra (5G) – ราคา 52,900 บาท

พิเศษ สำหรับลูกค้าที่ซื้อ Galaxy Tab S10+ หรือ Galaxy Tab S10 Ultal ระหว่างวันที่ 3 ตุลาคม ถึง 3 พฤศจิกายน รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมจากซัมซุงดังนี้

  • แถมฟรี เคสคีย์บอร์ด Book Cover Keyboard Slim มูลค่า 5,990 และ 6,990 บาท
  • ส่วนลดออนท็อป 6,000 บาท จากราคาประเมิน เมื่อเข้าร่วมแคมเปญ ‘เก่าแลกใหม่’ โดยเปิดให้แลกทั้งมือถือและแท็บเล็ตหลากหลายรุ่น

(ดูรายชื่ออุปกรณ์ที่เข้าร่วมแคมเปญ ‘เก่าและใหม่’ ได้ที่เว็บไซต์ samsung.com)