หลังจาก vivo ไปเน้นตลาดกลางในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำเอาแฟนๆ รุ่นท็อปอย่างตระกูล X เซ็งไปตามๆ กัน แต่มาปีนี้มันจะไม่เป็นอย่างนั้นแล้วครับ เพราะ vivo X21 มือถือรุ่นแรกของโลกที่นำเอาเทคโนโลยีสแกนนิ้วฝังไว้บนกระจกหน้าจอได้ถูกนำเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว ว่าแต่นอกจากสแกนนิ้วบนหน้าจอแล้วยังมีอะไรอีกไหม ขอบอกว่าสเปคมันก็ไม่ธรรมดา มาอ่าน รีวิว vivo X21 ไปพร้อมๆ กันได้เลย

แกะกล่อง vivo X21

กล่อง vivo X21 นั้นถููกออกแบบมาพิเศษพร้อมกับโลโก้ FIFA World Cup ที่ทาง vivo นั้นเป็นสปอนเซอร์หลัก น่าเสียดายปีนี้อิตาลีผมไม่ได้เข้ารอบไปชิงแชมป์ด้วย

ภายในกล่องมีการแบ่งแยกอุปกรณ์ทุกชิ้นออกเป็นสัดส่วนครับ ของแถมครบชุด ไม่ต้องไปหาซื้อเพิ่ม

ตัวเครื่อง X21 บนซองมีภาพลายนิ้วมือแปะเอาไว้ด้วย เพื่อบอกว่าตำแหน่งของสแกนลายนิ้วมือนั้นอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องไปคลำหาที่อื่นหละ ส่วนบนหน้าจอก็แปะฟิล์มกันรอยมาให้แล้วด้วย

หูฟังในกล่องนี่เป็นรุ่น XE710 นะครับ เป็นหูฟัง Hi-Fi รุ่นใหม่ล่าสุดแบบ in-ear แถมมาให้ด้วย พร้อมไมโครโฟนสำหรับใข้สนทนาและปุ่มรับสาย

vivo X21 รองรับระบบชาร์จเร็ว Quick Charge 2.0 โดยหม้อแปลงนั้นจ่ายไฟ 2 ระดับคือ 5V 2A และ 9V 2A การชาร์จแบต 3200 มิลลิแอมป์ให่เต็มนั้นก็ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง

ด้านล่างตัวเครื่องยังมีช่องลับซ่อนอยู่ ซึ่งจะเป็นเคสของ X21 ที่วัสดุเหมือนจะผสมกันระหว่างซิลิโคนอ่อนๆ และพลาสติกแข็ง โดยขอบๆ ที่เป็นซิลอโคนทนั้นก็คอยป้องกันตัวเครื่องเวลาตกหรือหล่น ทำให้ปุ่มต่างๆ กดง่ายด้วย

 

สำรวจตัวเครื่อง vivo X21

หน้าจอ vivo X21 เป็นแบบ FullView และมีติ่งกล้องเล็กๆ โผล่มาหน่อยนึง (เหมือน V9) รุ่นนี้ใช้เป็นหน้าจอ Super AMOLED ความละเอียด Full HD+ ความคมชัดและสีสันนั้นสวยงาม แต่ไม่สดเว่อร์เหมือนจอ AMOLED สมัยก่อนๆ โดยทาง vivo ได้มีการปรับเรื่องสีเป็น DCI-P3 Wide Color Gamut มาแล้ว

ฝาหลังสีดำเป็นกระจกมันเงาสวยงาม แน่นอนว่าเรื่องของลายนิ้วมือคงหนีไม่พ้น แต่ด้วยความที่มันเป็นกระจก เลยเช็ดทำความสะอาดได้ง่ายกว่าพวกที่เป็นพลาสติก ถ้าส่องลงไปลึกๆ ตรงชั้นสีจะเห็นว่ามันเป็นสีดำเมทัลลิกดูหรูเลยทีเดียว

น้ำหนักตัวเครื่องนั้นหยิบๆ ขึ้นมาแล้วรู้สึกหนักกว่า V9 อยู่เหมือนกัน เพราะนอกจากฝาหลังที่เป็นกระจกแล้วตัวเฟรมหรือกรอบเครื่องนั้นยังเป็นโลหะเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับ X21 นั่นเอง ด้านล่างเป็นที่เก็บถาดซิม, ช่อง micro USB, ไมโครโฟน และลำโพง

ลองจิ้มถาดซิมออกมา ข้างในเป็นช่องแบบ Hybrid นะครับ ซิมแรกใส่ไปเลยเป็น nano SIM ส่วนช่องที่สองก็ตบตีกันเอาเอง ว่าจะเป็นซิมเบอร์รอง หรือเป็น micro SD เพิ่มเม็มเติมความจุที่มีอยู่แล้ว 128GB ให้มันมากขึ้นไปอีก

ด้านบนมีรูเล็กๆ นั่นคือไมค์ตัดเสียงรบกวนเวลาใช้สาย ส่วนช่องใหญ่ๆ นั่นคือรูหูฟัง 3.5 มม ไง เพราะในตัวเครื่อง vivo X21 นั้นใส่ชิปเสียง Hi-Fi อย่าง AK4376A มาให้ด้วย

ปุ่มกดอยู่ทางด้านขวาทั้งหมด ที่อยู่ตำแหน่งตรงกลางเครื่องเลยคือปุ่มพาวเวอร์ (นิ้วบังอยู่) ส่วนปุ่มปรับเสียงก็จะอยู่ถัดขึ้นไป

ติ่งจอด้านบนมีกล้องหน้า 12MP (ถ่ายได้ 24MP) ลำโพงสนทนา เซนเซฮร์วัดแสง และเซนเซอร์วัดระยะ ซึ่งกล้องหน้านี้ยังสามารถใช้ในการสแกนเพื่อทำการปลดล็อคด้วยใบหน้าได้ด้วยอินฟราเรดเซนเซอร์ 1024 จุด ในภาพจะเห็นสัญลักษณ์ 4G ทั้ง 2 ซิม แปลว่ารองรับ Dual 4G และ Dual VoLTE

กล้องหลังคู่ ความละเอียด 12MP + 5MP สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ ทำ Portrait Mode เป็นหลัก แล้วก็สามารถปรับตั้งค่าจุดโฟกัส ระดับความเบลอได้

 

ฟีเจอร์น่าสนใจของ vivo X21

ฟีเจอร์ที่โดดเด่นของ vivo X21 ที่ไม่มีใครเหมือนและยังเป็นรุ่นเดียวในโลกตอนนี้ก็คือการสแกนลายนิ้วมือด้วยเซนเซอร์ที่ฝังเอาไว้บนหน้าจอนั่นเอง เรียกว่าเป็นค่ายแรกที่กล้าทดลองก่อนใคร ซึ่งจากที่ได้ทดลองใช้งานมา มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียต่างจากปกติอยู่นิดหน่อย

ขั้นตอนการลงทะเบียนนิ้วก็ปกติ ไม่ได้แตกต่างจากรุ่นที่มีช่องสำหรับสแกนนิ้วครับ แตะลงไปบนหน้าจอได้เลย แต่จะมีข้อความว่าต้องกดนิ้วลงไปให้แน่นๆ หน่อย พอแตะๆ ไปเรื่อยๆ จนมันเก็บรายละเอียดนิ้วมือเราครบก็พร้อมใช้งานได้แล้ว

เวลาสแกนลายนิ้วมือปุ๊บ มันก็จะมีอนิเมชั่น แว๊บ! สวยงามขึ้นมา ก่อนที่จะปลดล็อคหน้าจอขึ้นมาให้เราได้ใช้งานกัน ข้อดีคือมันเท่ห์มากเลย อนิเมชั่นสวยอีกต่างหาก ฮ่าๆ แต่จะมีบางครั้งที่ต้องกดนิ้วลงไปนิดหน่อย คือไม่เหมือนกับเซนเซอร์สแกนในปัจจุบันที่แค่แตะๆ ก็ไปแล้ว (แต่บางครั้งแตะๆ ก็ไปแล้วเหมือนกัน แต่ถ้าจะเอาชัวร์ก็ออกแรงจิ้มนิดนึง

อีกฟีเจอร์นึงก็คือการสแกนใบหน้านั่นเอง ซึ่งจากที่ลองก็พบว่าแม่นยำและเร็วกว่า V9 ด้วย น่าจะเป็นเพราะตัวเซนเซอร์อินฟราเรดและชิปเซ็ทที่ทำงานได้เร็วขึ้นนั่นเอง และถ้าเราใช้งานร่วมกับฟังก์ชั่น “ยกแล้วกลับมาใช้งาน” แค่ยกขึ้นมากพอมันสแกนเจอหน้าเราก็ปลดล็อคหน้าจอให้เลย สะดวกมาก (แต่เอาจริงๆ มันก็ไม่เท่เท่าสแกนนิ้วใต้จออะ)

ส่วนของหน้าจอ FullView นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่แล้ว แต่บางคนอาจจะเปลี่ยนมาเป็นรุ่นแรก ก็ต้องขออธิบายว่าแุถบด้านบนนั้นจะเป็นส่วนที่เอาไว้แสดงผลการแจ้งเตือน เวลา และนาฬิกา รวมถึงสัญลักษณ์ต่างๆ ซะมากกว่า และ FunTouch OS 4.0 หากสไลด์จากขอบบนของจอลงมา จะเป็นรายการแจ้งเตือนต่างๆ แต่หากสไลด์นิ้วจากด้านล่างจะเป็นพวกสวิช เปิด/ปิด ฟังก์ชั่น หรือปุ่มทางลัดทั้งหลาย

ระบบแบ่งหน้าจอหรือ Multi Windows ของ vivo นั้นมีวิธีเรียกง่ายๆ คือการลากสามนิ้วบนหน้าจอแอป หากแอปไหนแบ่งได้ก็จะมีการแหวกหน้าจออีกซึกนึงขึ้นมาเพื่อให้ให้เปิดแอปที่สอง

นอกจากนั้นเรายังสามารถเรียกหน้าต่าง pop up สำหรับพิมพ์ข้อความตอบกลับ เวลาเราเล่นเกม ดูหนัง แล้วมีแจ้งเตือนเข้ามา เราไม่ต้องสลับแอปออกไป แต่จะเป็นหน้าต่างที่เรียกว่า แยกหน้าจอข้อความ ปรากฏขึ้นมา

หรือหากอยากจะดูไปแล้วนึกขึ้นได้ว่าต้องส่งข้อความหาเพื่อน ก็ลาก 3 นิ้วลงมาเพื่อเลือกเปิดแอปได้เช่นเดียวกัน ซึ่งลักษณะจะเป็นหน้าต่างลอยขึ้นมา ไม่ได้แบ่งหน้าจอไปแบบ Multi Window

แต่ถ้าหากเราเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิมากๆ ไม่ต้องมาแจ้งเตือนอะไรทั้งนั้น เพื่อนห้ามทัก แฟนห้ามแชท ก็ให้ใช้ Game Mode เป็นตัวช่วยปิด ให้มันบล็อคทุกสิ่งอย่างไปเลย ไม่ต้องมายุ่ง ปิดได้แม้กระทั่งคนโทรเข้า

หากใครอยากได้หน้าจอโล่งๆ เต็มๆ ไม่อยากมีแถบนำทาง (ปุ่มโฮม ย้อนกลับ แอปล่าสุด) ด้านล่าง เราสามารถเลือกเปลี่ยนรูปแบบกานำทางได้ โดยเปลี่ยนเป็นแบบ gesture หรือลากนิ้วแทน โดยการลากนิ้วจากตำแหน่งล่างซ้ายของจอขึ้นมาคือทางซ้ายคือเปิดแผง shortcut, ลากนิ้วจากด้าล่างบริเวณกลางจอขึ้นคือกลับหน้าโฮม และหากค้างนิ้วเอาไว้คือดูรายการแอปทั้งหมดที่เปิด  และลากนิ้วจากทางขวาล่างขึ้นมาคือปุ่มย้อนกลับ

แต่ในโหมดการใช้ท่าทางแทน 3 ปุ่มมันจะมีบั๊กตรงที่พื้นที่ด้านล่างจะถูกกันเอาไว้ ที่เราเห็นเป็นแถบดำๆ ด้านขวาครับ คือแอปจะแสดงผลไม่เต็มจอ

แต่ถ้าเปิด 3 ปุ่มนำทางปกติจะไม่เป็น จะเห็นว่ามิวสิควิดีโอนั้นขยายเต็มพื้นที่จอไปจนสุดทางขวาได้นั่นเอง

นอกจากนั้นก็ยังมีพวกฟีเจอร์พิเศษต่างๆ เช่นการบันทึกหน้าจอได้หลากหลายรูปแบบ คือเลือกแคปจอทีละส่วนได้ หรืออัดเป็นวิดีโอก็ทำได้ แล้วก็มีการควบคุมท่าทางต่างๆ ยกเครื่องแนบหูเพื่อรับสาย หรือเสียงริงโทนจะค่อยๆ เบาลงเมื่อเรายกเครื่องขึ้นมาแล้ว และการวาดสัญลักษณ์ต่างๆ บนหน้าจอ เพื่อเรียกใช้งานแอปต่างๆ แบบรวดเร็ว

 

ประสิทธิภาพตัวเครื่อง vivo X21

ชิป Snapdragon 660 นั้นถือว่าเป็นชิปตัวท็อปในกลุ่ม midrange เลยก็ว่าได้ ประสิทธิภาพดี ลื่นไหลสุดๆ เพราะเหนือกว่านี้ก็ต้อง Snapdragon 835 หรือ 845 แล้ว ผลทดสอบจาก Antutu ถือว่าทำได้ดี 143441 คะแนน

การเล่นเกมนี่ก็เปิดกราฟิคได้เกือบสุด RoV นี่เนียนๆ ที่ 50-60 FPS ตลอดเกม อย่างในภาพนี้ซัดกันนัวยัง FPS ยัง 55

PUBG เปิดเข้าเกมมา กราฟิคถูกเปิดเอาไว้ที่ระดับกลาง ซึ่งระหว่างเล่นก็ราบรื่น ไม่ติดขัดอะไรเลย

หน่วยความจำภายในเป็น eMMC ความเร็วในการอ่านอย่ที่ 298-300 MB/s การเขียนอยู่ที่ 193 MB/s และตัวเครื่องยังรองรับ Project Treble อีกด้วย ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าทาง vivo เองก็ได้ร่วมมือกับ Google ในการนำเครื่องเข้ามาทดสอบเป็น Android P Beta

ระบบเสียง Hi-Fi ของ X21 ที่ผ่าน DAC นั้นเจ๋งตรงที่ vivo เปิดให้ใช้งานได้กับเล่นเพลงทุกตัว แม้กระทั่ง YouTube อิอิ จากลองฟังเพลงผ่าน XE710 ที่ให้มาในกล่องนั้นเสียงใสมาก เบสมาเป็นลูกๆ แนวกระชับๆ ใครชอบฟังเพลงแนว ป๊อป เน้นเสียงร้องและเครื่องดนตรีน่าจะชอบ แต่สายเบสหนักๆ อาจจะรู้สึกว่ามันไม่ลึกเท่าที่ควร (ยังไม่ได้ลองหาหูฟังตัวอื่นมาลองเทียบนะครับ)

 

กล้องถ่ายภาพ vivo X21

กล้องหลังคู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล + 5 ล้านพิกเซลเน้นการถ่าย Portrait เป็นหลักอยู่แล้ว การมาของ Dual Pixel Sensor นั้นช่วยให้สามารถจับโฟกัสได้เร็วขึ้น

ซึ่งทุกภาพที่ถ่ายแบบ Portrait นั้น เราสามารถจะนำมาปรับแต่งค่าได้ทีหลัง โดยเข้าไปดูใน Gallery หาภาพที่มีสัญลักษณ์รูรับแสง แล้วเข้าไปทำการ Refocus ได้ ส่วนเรื่องการเบลอขอบนั้น ก็ถือว่าทำได้เนียนอยู่ แต่ก็ยังมีเอ๋อๆ บ้างนิดหน่อย

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง

คุณภาพของเซนเซอร์นั้นถือว่าใช้ได้เลยทีเดียวครับ ทั้งการโฟกัสที่เร็วขึ้น สีสันและการไล่โทนสีของโหมด HDR แม้จะมีขนาดแค่ 12 ล้านพิกเซล แต่ถ้าเกิดใครอยากเปิดเป็น 24 ล้านก็มีให้เปิดในการตั้งค่า อันล่างสุดเลย ว่าแล้วก็มาพูดถึงอีกฟีเจอร์นึงเลยคือภาพถ่าย AR ที่สามารถใช้งานได้ทั้งกล้องหน้าและหลัง

ซึ่งนอกจากจะใช้ถ่ายภาพได้แล้ว ยังสามารถกดค้างเพื่ออัดเป็นคลิปสั้นๆ ได้ด้วย

กล้องหน้า 12 ล้านพิกเซลเองก็สามารถอัพไปเป็น 24 ล้านพิกเซลได้ และมีฟีเจอร์ต่างๆ ไม่แพ้กล้องหลัง ที่สำคัญมี AI Face Beauty เหมือน V9 ลองถ่ายออกมาแล้วก็จะประมาณนี้

ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า

สเปค vivo X21

  • Funtouch OS 4.0 (Android 8.1)
  • ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 660 AIE
  • หน้าจอ Super AMOLED ขนาด 6.28 นิ่้ว  อัตราส่วน 19:9 FHD+  (2280 x 1080)
  • RAM 6GB
  • ROM 128GB (เพิ่ม micro SD ได้สูงสุด 256GB)
  • กลัองหลังคู่ 12MP Dual Pixel Sensor (เซนเซอร์จริง 24MP) f/1.8 + 5MP f/2.4
  • กล้องหน้า 12MP Dual Pixel Sensor (เซนเซอร์จริง 24MP) f/2.0
  • รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K
  • เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้กระจกหน้าจอ + ปลดล็อคด้วยใบหน้า
  • ชิปเสียง AK4376A และเทคโนโลยี Deep Field
  • ช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot รองรับ Dual 4G / Dual VoLTE
  • Bluetooth 5.0, WiFi 2.4GHz/5GHz
  • แบตเตอรี่ 3200 มิลลิแอมป์
  • ขนาดตัวเครื่อง 7.37 x 154.45 x 74.78 มม.
  • น้ำหนัก 156 กรัม
  • สีที่วางจำหน่าย ดำ, แดง
  • ราคาเปิดตัว 19,990 บาท

 

สรุปประสบการณ์ใช้งาน

vivo X21 เป็นมือถือที่มีเอกลักษณ์ในเรื่องของฟีเจอร์ที่ไม่มีใครเหมือน และเป็นรายแรกนั่นคือการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ ซึ่งล้ำหน้าค่ายอื่นๆ ไปหนึ่งสเต็ป ส่วนสเปคอื่นๆ นั้นก็ถือว่าทำออกมาได้ครบ ตอบสนองการใช้งานทั่วไปได้แบบไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นสายเกมหรือสายเซลฟี่ก็สามารถจะแฮปปี้กับมือถือเครื่องนี้ได้ วัสดุงานประกอบก็ดี สีดำสวยหรูคลาสสิค ส่วนสีแดงนั้นก็เผ็ดจริงจัง

Play video

ส่วนตัวผมยกให้เป็นหนึ่งในรุ่นที่ทำออกมาได้ดีในทุกๆ ด้าน อ้อ แต่จะมีเรื่องของแบตเตอรี่นิดนึงที่ตอนลองใช้ 2 ซิมยาวๆ แล้วเหมือนจะอยู่ได้แค่ประมาณวันเดียวในการใช้งานปกติ แต่ก็คือถือได้ถึงดึกๆ คือกลับบ้านทันชาร์จแน่นอน (ยกเว้นจะไปต่อ) ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะ Snapdragon 660 AIE นั้นอาจจะใช้พลังงานมากกว่าพวก 630 / 636 หรือเปล่า (ขอติดไว้เดี๋ยวจะลองใช้ซิมเดียวแล้วมาอัพเดทเพิ่มให้)

แต่ด้วยราคาที่เปิดตัวมาค่อนข้างสูง งานนี้ก็ต้องวัดใจทั้งผู้ใช้งานทั่วไป ที่สนใจอยากลองเทคโนโลยีใหม่ๆ และแฟนๆ ของ vivo ด้วยว่าสนใจอยากจะเปลี่ยนเป็นมือถือรุ่นท็อปของค่ายหรือไม่