ซอยรุ่นมาซะถี่เหลือเกินสำหรับแบรนด์ Xiaomi ซึ่งในบทความนี้เองทีมงานก็ได้เจ้า Mi9 Lite หรือที่รู้จักกันก่อนหน้านี้ว่าคือรุ่น Mi CC9 น้องเล็กประจำตระกูลซีรีส์ Mi9 ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์การใช้งานแบบจัดเต็มไมว่าจะเป็น Snapdragon 710 กล้องหลัง 3 ตัว กล้องหน้า 32MP หน้าจอ Amoled ในราคาสุดคุ้มเริ่มต้นแค่ 7,999 บาทเท่านั้น การใช้งานและรีวิวจะเป็นยังไงบ้างไปดูกันเลยครับ

สเปค Xiaomi Mi9 Lite

  • หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.39 นิ้ว Full HD+  สัดส่วน 19.5:9 HDR 10, Dot Drop display
  • CPU : Snapdragon 710
  • GPU: Adreno 616
  • RAM : 6GB LPDDR4X 
  • ความจุ : 64GB / 128GB UFS2.1 (เพิ่ม MicroSD ได้สูงสุด 256GB)
  • กล้องหลัง : Normal 48MP(f/1.79) + Ultra Wide 8MP(f/2.2) + Depth 2MP
  • กล้องหน้า : 32MP (f/2.0) + AI Portrait Mode
  • การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.0, ซิงค์และชาร์จไฟ USB Type C
  • เซนเซอร์ : Fingerprint บนหน้าจอ, Infrared, Face unlock
  • ซิมการ์ด : 2 ซิม Nano Hybrid
  • การเชื่อมต่อ : 4G VoLTE, NFC, WiFi 802.11ac, Bluetooth 5.0, USB Type-C
  • แบตเตอรี่ : 4,030 mAh ชาร์จไว 18 วัตต์
  • ขนาดเครื่อง : 156.8 x 74.5 x 8.67 มิลลิเมตร, น้ำหนัก 179 กรัม
  • ระบบปฏิบัติการ : Android 9 Pie ครอบทับด้วย MIUI 10.3
  • สีที่วางจำหน่าย : สีน้ำเงิน Aurora Blue, สีขาวมุก Pearl White และสีเทา Onyx Grey
  • ราคา : 7,999 บาท (6+64GB) / 8,999 (6+128GB)

ดีไซน์ตัวเครื่อง

ดูเผินๆ แล้วดีไซน์ Xiaomi Mi9 Lite แทบไม่ต่างจากตัวรุ่นพี่อย่าง Mi 9 หรือ Mi 9SE บอดี้ไซต์พอๆ กันมีกล้องหน้าเป็นติ่งเหมือนกัน ซึ่งจุดที่แตกต่างกันจริงๆ คือฝาหลังคนแบบ โดยเครื่องที่ทีมงานได้มารีวิวนั้นจะรุ่น 6 + 128GB เป็นสี Onyx Grey สีจะออกเทาเข้มติดม่วงนิดๆ วัสดุเฟรมตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียม หน้าจอเป็นกระจก Gorilla Glass 5 ส่วนฝาหลังจะเป็นกระจกธรรมดามีสกรีนตัวอักษรนิดหน่อย ผิวสัมผัสทำได้ดีไม่ลื่นมือ สามารถใช้งานมือเดียวได้สบายๆ

ความหนาตัวเครื่องถือว่าอยู่ในขนาดที่พอดีๆ ไม่บางจนเกินไป 8.67 mm น้ำหนัก 176 กรัม ด้านบนตัวเครื่องจะมีพอร์ตเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 mm ให้ พร้อมมีไมค์ตัดเสียง 2 ตัวตรงหัวด้านบนกับด้านล่างตรงลำโพง และมีเซนเซอร์ Infrared ไว้สำหรับเป็นรีโมทแอร์หรือทีวี ส่วนด้านล่างก็จะมีพอร์ต USB Type C ไว้สำหรับชาร์จไฟและซิงค์ข้อมูลปกติ

ทางด้านหน้าจอตัวเครื่อง Xiaomi Mi9 Lite ให้มาขนาด 6.39 นิ้ว แบบ Dot Drop display มีติ่งกล้องอยู่ตรงกลาง ส่วนกล้องด้านหลังก็เรียงเป็นแนวดิ่งติดกัน 3 ตัวนูนขึ้นมาเหนือฝาหลังนิดหน่อย ส่วนถาดซิมจะอยู่ที่ด้านซ้ายตัวเครื่องเป็นแบบ Hybird Slot โดยรวมแล้วงานดีไซน์การประกอบถือว่าเป็นอีกรุ่นที่ทำได้ดีมากๆ ตัวเครื่องดูแข็งแรง มีความพรีเมียมแบบเรียบง่ายไปในตัว

การใช้งานทั่วไป

แน่นอนว่าด้วยสเปคที่ Xiaomi Mi9 Lite ทั้ง Snapdragon 710 พร้อมกับ Ram 6GB การใช้งานทั่วไปลื่นไหลหายห่วง ปัดกวาดซ้ายขวาติดมือไม่มีสะดุด แต่ผิวกระจกหน้าจอไม่ได้ลื่นมากจะหนืดๆ มือนิดหน่อย ถ้าเอาไปติดฟิล์มแล้วน่าจะดีขึ้น การสแกนนิ้วบนหน้าจอทำได้ดีไม่มีติดขัดอะไร สแกน 10 ครั้งติดทั้ง 10 ครั้ง

เคสที่แถมมาให้ในกล่องจะเป็นแบบ TPU ใสสีดำเข้ากับตัวเครื่อง คลุมมิดทั้งปุ่มด้านข้าง เจาะรูตรงเซนเซอร์พอร์ตต่างๆ ได้อย่างพอดี และตัวเคสค่อนข้างข้างพอสมควรทำให้สามารถวางติดกับพื้นได้สนิทโดยไม่โดนกล้องหลัง

ฟีเจอร์ที่เพิ่มมากสำหรับ MIUI 10.3.6 ในรุ่นนี้ คือมี Dark Mode ใช้ช่วยให้ใช้งานสบายตาขึ้นเวลากลางคืน และช่วยประหยัดแบตนิดหน่อยอีกด้วย วิธีการเปิดคือไปที่ การตั้งค่า -> การแสดงผล -> โหมดมืด

การใช้งานกลางแจ้งสำหรับ Xiaomi Mi9 Lite ถือว่าทำได้ดีมาก เห็นชัดเจนเลยแบบไม่ต้องเพ่ง ความสว่างสูงสุด 600 nits

GPS สามารถทำทางได้ดี ค้นหาไว ติดหนึบกับรถไม่มีปัญหาอะไร แต่ในตอนแรกที่เปิดเข้ามาครั้งแรกจะมีจังหวะตำแหน่งเด้งไปมาบ้างนิดหน่อย

อะแดปเตอร์ชาร์จที่แถมมาในกล่องจะเป็นขนาด 18w เท่ากับที่ตัวเครื่อง Xiaomi Mi9 Lite รองรับพอดี ซึ่งในกล่องจะไม่มีหูฟังแถมมาให้นะครับ ต้องไปซื้อหาใช้งานแยกกันเอาเอง

กล้องถ่ายภาพ

ทางด้านกล้องของ Xiaomi Mi9 Lite ก็ถือว่าถอดแบบว่าจะรุ่นพี่ตัวท็อป Mi9 เลยก็ว่าได้ที่ใช้เป็นกล้องหลัง 3 ตัว ตัวหลักใช้เซนเซอร์ Sony IMX586 ความละเอียด 48MP f/1.79 ถ่ายที่มืดได้สบาย, กล้อง Ultra Wide มุมกว้าง 118 องศา ความละเอียด 8MP f/2.2 และกล้องจับความลึก 2MP สำหรับถ่ายแบบหน้าชัดหลังเบลอ หรือโหมด Portrait นั่นเอง

ส่วนกล้องหน้าถือเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้เลยที่ให้มากกว่าใครในแบรนด์ Xiaomi ด้วยกัน คือให้ความละเอียดมา 32MP f/2.0 พร้อม AI Portrait Mode ช่วยภาพที่ได้สวยงามมากยิ่งขึ้น

สำหรับการถ่ายวิดีโอของ Xiaomi Mi9 Lite ทั้งกล้องหลังสามารถถ่ายได้ความละเอียดสูงสุด 4K 30fps / Full HD 60fps และกล้องหน้าถ่ายได้ความละเอียดสูงสุด Full HD 60fps

ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหลัง Xiaomi Mi9 Lite

เปรียบเทียบ เปิด-ปิด NIGHT MODE

(ซ้ายปิด, ขวาเปิด Night Mode)

เปรียบเทียบระยะภาพถ่ายแต่ละช่วง

(ซ้าย Ultra Wide x0.6, กลาง Normal x1, ขวา Tele  x2)

ตัวอย่างภาพถ่าย Portrait กล้องหลัง

(ซ้าย f/1.0, กลาง f/3.2, ขวา f/16)

ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหน้า

(เรียงจากซ้ายไปขวา Auto, f/1.0, f/4.5, f/16)

ทดสอบประสิทธิภาพ

Xiaomi Mi9 Lite มาพร้อมกับชิปเซ็ต Snapdragon 710 ระดับกลางค่อนบน พร้อม Ram 6 GB ผลการทดสอบด้วย AnTuTu ได้คะแนนอยู่ที่ 173,710 คะแนน ส่วน ROM นั้นใช้เป็นตัว UFS 2.1 ทดสอบออกมาแล้วมีความเร็วในการอ่าน 457.31 MB/s และการเขียน 237.51 MB/s

ทดสอบเล่นเกม ROV ปรับภาพกราฟิกระดับสูง เปิดโหมด High Framerate ได้ค่า FPS เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 58-60 FPS ลื่นไหลไม่มีสะดุด มีอาการร้อนนิดหน่อยเมื่อเล่นนานๆ แต่การทัชหนืดมือแนะนำควรติดฟิล์มกันรอยแก้ได้

มาดูเกม PUBG กันบ้างค่า default ที่เกมตั้งค่าให้ตอนแรกกราฟิคมาเป็นแบบ HD เฟรมเรท สูง ก็สามารถเล่นได้ลื่นไหลดีเยี่ยม ทัชติดไม่มีเพี้ยน

แบตเตอรี่

Xiaomi Mi9 Lite ให้แบตเตอรี่มาขนาด 4,030 mAh รองรับอะแดปเตอร์ชาร์จไว 18W รองรับการทำงานหนักๆ ในหนึ่งวันเต็มๆ ได้สบายหายห่วง ทดสอบทั้งเล่นเกมดู YouTube ทั้งวันแบตเหลือประมาณ 15-20% พอใช้เช้าวันถัดไปได้อยู่นิดๆ หน่อย ส่วนการชาร์จจาก 0-100% ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งด้วยกัน

สรุป

สำหรับ Xiaomi Mi9 Lite จากการใช้งานมาตลอดทั้งสัปดาห์ส่วนตัวถือว่าประทับใจมาก ทั้งในส่วนของหน้าจอ Amoled ที่ทั้งสวยและชัดโดดเด่นกว่าใครเพื่อนที่ราคาใกล้เคียงกัน ชิปเซ็ต Snapdragon 710 ผสานกับ Ram 6GB ทำให้สามารถทำงานได้รวดเร็วลื่นไหลไม่มีปัญหา รวมถึงในเรื่องกล้องที่ทำได้ดีแบบไม่มีกั๊ก ภาพกลางคืนก็สวย จัดแสดงได้ดี ถ่ายวิดีโอได้ทั้ง 4K 30fps และ Full HD 60fps ซึ่งบางรุ่นจะถ่าย Full HD ได้แค่ 30fps เท่านั้น

ที่พิเศษเลยคือแบตเตอรี่ที่ให้ขนาดมาถึง 4,030 mAh มากกว่ารุ่นพี่ Mi9 เสียอีก พกพาไปใช้งานหนักๆ ทั้งวันได้สบาย งานประกอบก็ทำได้ดีใช้กระจก Gorilla Glass 5 เฟรมอะลูมิเนียม แต่สิ่งที่มันทำให้หงุดหงิดคือ MIUI ของตัวเครื่องนี่แหละที่ยังคงมีโฆษณามาตามหลอกหลอนไม่หาย ซึ่งสามารถปิดได้โดยไปที่การตั้งค่าของแอพนั้นแล้วกดปิด ข้อเสนอแนะ 

อย่างไรก็ตามบอกกันตามตรงในช่วงงบประมาณ 7,000 – 8,000 ตัวเลือกมีเยอะมาก แม้กระทั่งแบรนด์ Xiaomi ด้วยกันเองยังออกราคาทับกันยับ โดยเฉพาะระหว่างรุ่นนี้ Mi9 Lite กับ Redmi Note 8 Pro ที่อาจจะยังทำให้ใครหลายคนลังเล ส่วนตัวยังมองว่า Mi9 Lite รวมๆ ยังดูดีกว่า แต่ถ้าจริงจังเกมมิ่งก็แนะนำไป Redmi Note 8 Pro เลยจะสุดทางกว่าครับผม

ข้อดี

  • จอ AMOLED สีสวย ใช้งานกลางแจ้งได้สบายไม่มีปัญหา
  • กล้องหน้าความละเอียด 32MP f/2.0 ให้มาเยอะมากสุดในรุ่น
  • สเปคแรงคุ้มราคา Snapdragon 710 + Ram 6GB เพียงพอทุกการใช้งาน
  • สแกนนิ้วมือใต้หน้าจอ รวดเร็วไม่มีวืด
  • พอร์ตเชื่อมต่อ USB type C รองรับชาร์จไว 18w
  • แบตเตอรี่ 4,030 mAh ใช้งานเล่นเกมหนักๆ ได้ทั้งวัน
  • มีรูเสียบหูฟัง 3.5 mm
  • มี Infrared ใช้เป็นรีโมทแอร์ ทีวีได้
  • มี Dark Mode แล้ว

ข้อพิจารณา

  • มีโฆษณาบนแอพพื้นฐานที่ติดมากับเครื่อง (ปิดได้โดยการ ปิดข้อเสนอแนะ)
  • ถาด Sim เป็นแบบ Hybird
  • หาซื้อตามหน้าร้านค่อนข้างยาก